เรื่องราวของทหารพระคริสต์
โดยพิษณุ อรรฆภิญญ์
ทหารของพระคริสต์นั้นมีจริงๆ เป็นนิกายหนึ่งที่เรียกว่า Salvation Army ที่ปกครองกันแบบทหาร มีเครื่องแบบมียศและนมัสการด้วยวงดุริยางค์ แต่โครงการทหารพระคริสต์ซึ่งพวกเราที่คริสตจักรวัฒนารู้จักกันดีนั้น เป็นโครงการที่รวบรวมเงินเพื่อส่งไปให้ผู้รับใช้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกล ท่ามกลางความขาดแคลนของพวกเขา เงินซึ่งเล็กน้อยที่มาจากพวกเราก็ได้กลายเป็นคุณค่ามหาศาลแก่จิตใจของผู้รับใช้เหล่านั้น ที่เราต้องการให้เขาใช้เงินนี้เพื่อการฉลองคริสตมาสในครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น
โครงการนี้มีจุดเริ่มต้นอย่างประหลาด คือเมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ดูแล คริสตจักรวัฒนาอยู่ วันหนึ่งได้เดินข้ามสะพานไปโรงเรียน เห็นนักเรียนนั่งอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ ใต้ต้นไม้บ้าง บนบันไดขึ้นตึกเรียนบ้าง นักเรียนเห็นข้าพเจ้าก็ทักทายว่า “สวัสดีคุณครู” ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่านักเรียนกำลังขะมักเขม้น ก้มหน้าก้มตากันถักไหมพรหม ข้าพเจ้าไปยืนอยู่ข้าง ๆ แต่พวกเขาก็ “ถัก..ถัก..ถัก” ราวกับว่าเป็นงานเร่งด่วน จึงถามนักเรียนว่า “ถักเอาไปทำอะไรกัน” “ถักผ้าพันคอส่งไปให้ทหารที่ชายแดนค่ะ” นักเรียนตอบ คำตอบของพวกเขา ทำให้ข้าพเจ้า “เกิดปิ๊งขึ้นมา” ถามในใจว่า แล้วทหารของพระคริสต์ที่อยู่ตามชายแดนห่างไกลนั้นมีใครบ้างที่เหลียวแลและคิดถึงพวกเขา
วันนั้นคงจะเป็นราวปี ค.ศ. 1975 ที่สงครามระหว่างค่ายคอมมิวนิสต์กับค่ายเสรีประชาธิปไตย กำลังขบเคี่ยวกันอย่างรุนแรง ทหารและตำรวจล้มตายมากมาย เพื่อต่อต้านกับคอมมิวนิสต์ พระเจ้าอยู่หัวต้องพระราชทานเพลิงศพปีละหลาย ๆ ครั้ง และประเทศไทยเองก็อยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอนว่าอะไรจะเกิดขึ้น
วันนั้น ข้าพเจ้าหวนระลึกถึงวันหนึ่งที่ไปฉลองคริสตมาสกับคริสตจักรที่อยู่ในป่าในดง ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าบ้านสมาชิกเกือบทุกหลังประดับประดาสวยงาม แต่บ้านศิษยาภิบาลไม่มีอะไรเลย ตัวศิษยาภิบาลเองก็ไม่ได้อยู่บ้าน แต่ต้องออกจากบ้านไปนำนมัสการฉลองคริสตมาสบ้านโน้นบ้านนี้ และมักจะเป็นบ้านที่อยู่ไกล ๆ ทิ้งลูกเมียไว้ข้างหลัง ไม่มีการฉลองของครอบครัว ไม่มีอาหารมื้อพิเศษ ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่หัวบันไดบ้าน สังเกตเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา มีคนหนึ่งนุ่งกางเกงตูดขาด ทั้ง ๆ ที่กำลังฉลองคริสตมาสกันทุกบ้านทุกช่อง จึงถามคนที่นั่งอยู่ด้วยข้าง ๆ ว่า “นั่นลูกใคร นุ่งกางเกงตูดขาด” “ก็ลูกศิษยาภิบาลนะซิ” เขาตอบ วันนั้น เมื่อนักเรียนวัฒนาถักผ้าพันคอบอกข้าพเจ้าว่า ทำเพื่อสำหรับทหารชายแดน ภาพของศิษยาภิบาลที่อยู่ตามถิ่นทุรกันดารที่ข้าพเจ้าได้พบได้ประสบมานั้นก็แว๊บเข้ามาในสมองว่า เราก็ต้องให้กำลังใจแก่ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ทำงานอย่างเสียสละและยากจน ให้เป็นทหารของพระคริสต์ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา คริสตจักรวัฒนาก็ได้เริ่มรวบรวมเงินส่งไปให้ทหารของพระคริสต์ที่อยู่ในสภาพยากจน และห่างไกล จนเราก็ไม่รู้จักเขา เพื่อว่าเงินที่ส่งไปนั้นจะเป็นการหนุนใจพวกเขาบ้าง โดยทุกครั้งต้องกำชับว่า เงินนี้ไม่ได้ให้คริสตจักร ให้ท่านสำหรับฉลองคริสตมาสสำหรับครอบครัว
บัดนี้ผ่านไปแล้ว 25 ปี ลองนั่งคำนวณดูว่าเงินที่เราได้รวบรวมส่งไปนั้นมีมูลค่าสักเท่าไร แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือความรู้สึกชื่นชมยินดีและสำนึกในพระคุณของพระเจ้าที่พวกเขาได้รับจากการหนุนใจของพวกเรา
เคล็ดแห่งชีวิต
โดย พิษณุ อรรฆภิญญ์
ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาว หรือคนเฒ่าคนแก่คนชราก็ตาม สิ่งหนึ่งที่คนทุกรูปทุกนามแสวงหาก็คือ สภาพจิตที่ไร้ทุกข์ ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า ความสุข Happiness แต่เมื่อเราอ่านดูในจดหมายสั้น ๆ ของท่านเปาโลที่เขียนขณะที่ท่านกำลังเป็นนักโทษที่กรุงโรมไปถึงพวกคริสเตียนที่เมืองฟิลิปปีนั้น ไม่มีคำว่าความสุขเลย แต่มีคำว่า ชื่นชมยินดี อยู่ในจดหมายฉบับสั้น ๆ นี้ถึง 16 ครั้ง
ความสุขเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันคริสตมาส เมื่อเราได้แกะกล่องของขวัญ เมื่อเราได้เดินไปกับคนที่รักตามชายทะเล เมื่อเราได้นั่งชมภาพยนตร์ที่ถูกใจ แต่ความสุขเหล่านี้ก็จะหมดไปเมื่อของขวัญในกล่องนั้นเป็นสนิมไปแล้ว หรือคนที่เราเคยเดินไปด้วยกันนั้นทำให้เราต้องขมขื่น และความสุขก็หมดไปเมื่อเราออกมาจากโรงภาพยนตร์ แต่คำที่ท่านเปาโลใช้คำว่า ชื่นชมยินดี หรือยินดีนั้น ท่านเขียนในขณะที่ท่านเป็นนักโทษรอการประหาร ในขณะที่ไม่มีความมั่นคงแน่นอนใด ๆ เมื่อท่านต้องอดอยากและเจ็บป่วย ท่านก็ยังมีความชื่นชมยินดี
ในวาระที่เราทั้งหลายฉลองวันสำคัญของเรา เช่นวันเกิด เรามีความสุขมาก ที่ได้พบเพื่อนฝูงเก่า ๆ อาหารการกินที่เอร็ดอร่อย และเกียรติยศที่ได้รับ แต่งานเลี้ยงก็มีเวลาที่เลิกลากัน แล้วเราก็กลับไปมีชีวิตปกติของเราอีกครั้งหนึ่ง ในวัยชรา หรือชีวิตของผู้ที่สูงอายุนั้น สิ่งที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แสวงหานั้นคืออะไร คงไม่ใช่ความสุขชั่วครู่ชั่วยามที่มีผู้ทำให้แก่เรา ซึ่งเราก็ขอบพระคุณท่านเหล่านั้น แต่เราอยากจะได้ความชื่นชมยินดีใช่ไหม ที่จะอยู่กับเราทุกวันในเวลาที่ว้าเหว่ เงียบเหงา เจ็บป่วย ความไม่สะดวกที่เกิดจากความอ่อนแอของสังขาร และเป็นบุคคลเหมือนถูกโลกลืม ในเวลาเช่นนั้นเราคงอยากจะได้เคล็ดลับแห่งชีวิต อย่างที่ท่านเปาโลได้ประสบและหยิบยื่นให้แก่เรา คือ ความชื่นชมยินดี
ท่านเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงคริสตจักรที่เมืองฟิลิปปี เมืองที่ท่านถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกใส่ขื่อทั้งขาและแขน ขังอยู่ในคุก แต่ประสบการณ์แห่งความทุกข์เหล่านั้นเป็นอดีตที่ท่านไม่พูดถึงเลย แต่กลับพูดในความทรงจำอันเกิดจากความรักของพี่น้องที่นั่น ที่ทำให้ท่านยินดี ผู้สูงอายุทั้งหลาย ผ่านชีวิตมามากมาย ก็ย่อมจะมีประสบการณ์ที่สุขและทุกข์ปนกัน มีความขมขื่นที่เกิดขึ้น ความอกตัญญูของผู้ที่ไม่รู้จักบุญคุณ สิ่งเหล่านี้วกเวียนกลับไปมาอยู่ในสมอง เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้เอง เราจะหลุดพ้นออกจากประสบการณ์ที่เจ็บปวดเหล่านั้นได้อย่างไร จะเอาน้ำมาล้างคงไม่หมด จะให้วันเวลาเป็นเครื่องกลบเกลื่อนก็ไม่ได้ สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือให้สมองของเราเต็มเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี
แต่ความชื่นชมยินดีอย่างที่พูดถึงนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นเองได้ง่าย ๆ หรือคิดเพ้อฝันไป แต่ท่านเปาโลได้แสดงให้เราเห็นในจดหมายของท่านว่า ความชื่นชมยินดีที่ท่านมีนั้นเป็นชีวิตที่ อยู่ในพระคริสต์ มาจากพระคริสต์ อยู่เพื่อพระคริสต์ ซึ่งทำให้ชีวิตของคนที่กำลังรอคอยการตัดสินพิพากษาให้ถึงแก่ความตายนั้น เป็นชีวิตที่ชื่นชมยินดี มีความหวัง มีอนาคต และชีวิตทุกวันก็มีความหมาย เพราะรู้ว่าเขามีชีวิต อยู่เพื่อพระคริสต์
No comments:
Post a Comment