Pages

Thursday, July 21, 2011

เรื่องราวของทหารพระคริสต์

เรื่องราวของทหารพระคริสต์
โดยพิษณุ    อรรฆภิญญ์

                ทหารของพระคริสต์นั้นมีจริงๆ  เป็นนิกายหนึ่งที่เรียกว่า  Salvation Army  ที่ปกครองกันแบบทหาร  มีเครื่องแบบมียศและนมัสการด้วยวงดุริยางค์  แต่โครงการทหารพระคริสต์ซึ่งพวกเราที่คริสตจักรวัฒนารู้จักกันดีนั้น  เป็นโครงการที่รวบรวมเงินเพื่อส่งไปให้ผู้รับใช้ที่อยู่ในถิ่นทุรกันดารห่างไกล  ท่ามกลางความขาดแคลนของพวกเขา  เงินซึ่งเล็กน้อยที่มาจากพวกเราก็ได้กลายเป็นคุณค่ามหาศาลแก่จิตใจของผู้รับใช้เหล่านั้น ที่เราต้องการให้เขาใช้เงินนี้เพื่อการฉลองคริสตมาสในครอบครัวของพวกเขาเท่านั้น
                โครงการนี้มีจุดเริ่มต้นอย่างประหลาด         คือเมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ดูแล คริสตจักรวัฒนาอยู่  วันหนึ่งได้เดินข้ามสะพานไปโรงเรียน  เห็นนักเรียนนั่งอยู่กันเป็นกลุ่ม ๆ ใต้ต้นไม้บ้าง บนบันไดขึ้นตึกเรียนบ้าง  นักเรียนเห็นข้าพเจ้าก็ทักทายว่า สวัสดีคุณครู  ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่านักเรียนกำลังขะมักเขม้น ก้มหน้าก้มตากันถักไหมพรหม ข้าพเจ้าไปยืนอยู่ข้าง ๆ  แต่พวกเขาก็ ถัก..ถัก..ถัก ราวกับว่าเป็นงานเร่งด่วน จึงถามนักเรียนว่า ถักเอาไปทำอะไรกัน  ถักผ้าพันคอส่งไปให้ทหารที่ชายแดนค่ะ  นักเรียนตอบ   คำตอบของพวกเขา ทำให้ข้าพเจ้า เกิดปิ๊งขึ้นมา ถามในใจว่า  แล้วทหารของพระคริสต์ที่อยู่ตามชายแดนห่างไกลนั้นมีใครบ้างที่เหลียวแลและคิดถึงพวกเขา
                วันนั้นคงจะเป็นราวปี ค.ศ. 1975  ที่สงครามระหว่างค่ายคอมมิวนิสต์กับค่ายเสรีประชาธิปไตย กำลังขบเคี่ยวกันอย่างรุนแรง  ทหารและตำรวจล้มตายมากมาย เพื่อต่อต้านกับคอมมิวนิสต์  พระเจ้าอยู่หัวต้องพระราชทานเพลิงศพปีละหลาย  ๆ ครั้ง  และประเทศไทยเองก็อยู่ในภาวะที่ไม่แน่นอนว่าอะไรจะเกิดขึ้น
                วันนั้น ข้าพเจ้าหวนระลึกถึงวันหนึ่งที่ไปฉลองคริสตมาสกับคริสตจักรที่อยู่ในป่าในดง  ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าบ้านสมาชิกเกือบทุกหลังประดับประดาสวยงาม  แต่บ้านศิษยาภิบาลไม่มีอะไรเลย  ตัวศิษยาภิบาลเองก็ไม่ได้อยู่บ้าน  แต่ต้องออกจากบ้านไปนำนมัสการฉลองคริสตมาสบ้านโน้นบ้านนี้  และมักจะเป็นบ้านที่อยู่ไกล ๆ ทิ้งลูกเมียไว้ข้างหลัง ไม่มีการฉลองของครอบครัว ไม่มีอาหารมื้อพิเศษ  ข้าพเจ้านั่งอยู่ที่หัวบันไดบ้าน สังเกตเห็นเด็กกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา มีคนหนึ่งนุ่งกางเกงตูดขาด ทั้ง ๆ ที่กำลังฉลองคริสตมาสกันทุกบ้านทุกช่อง  จึงถามคนที่นั่งอยู่ด้วยข้าง ๆ ว่า นั่นลูกใคร นุ่งกางเกงตูดขาด  ก็ลูกศิษยาภิบาลนะซิ  เขาตอบ วันนั้น เมื่อนักเรียนวัฒนาถักผ้าพันคอบอกข้าพเจ้าว่า ทำเพื่อสำหรับทหารชายแดน  ภาพของศิษยาภิบาลที่อยู่ตามถิ่นทุรกันดารที่ข้าพเจ้าได้พบได้ประสบมานั้นก็แว๊บเข้ามาในสมองว่า  เราก็ต้องให้กำลังใจแก่ผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ทำงานอย่างเสียสละและยากจน  ให้เป็นทหารของพระคริสต์  ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา  คริสตจักรวัฒนาก็ได้เริ่มรวบรวมเงินส่งไปให้ทหารของพระคริสต์ที่อยู่ในสภาพยากจน และห่างไกล จนเราก็ไม่รู้จักเขา  เพื่อว่าเงินที่ส่งไปนั้นจะเป็นการหนุนใจพวกเขาบ้าง  โดยทุกครั้งต้องกำชับว่า   เงินนี้ไม่ได้ให้คริสตจักร  ให้ท่านสำหรับฉลองคริสตมาสสำหรับครอบครัว
                บัดนี้ผ่านไปแล้ว 25 ปี  ลองนั่งคำนวณดูว่าเงินที่เราได้รวบรวมส่งไปนั้นมีมูลค่าสักเท่าไร  แต่สิ่งสำคัญกว่านั้น คือความรู้สึกชื่นชมยินดีและสำนึกในพระคุณของพระเจ้าที่พวกเขาได้รับจากการหนุนใจของพวกเรา
เคล็ดแห่งชีวิต

โดย พิษณุ  อรรฆภิญญ์


                ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาว หรือคนเฒ่าคนแก่คนชราก็ตาม  สิ่งหนึ่งที่คนทุกรูปทุกนามแสวงหาก็คือ  สภาพจิตที่ไร้ทุกข์  ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า ความสุข Happiness  แต่เมื่อเราอ่านดูในจดหมายสั้น ๆ ของท่านเปาโลที่เขียนขณะที่ท่านกำลังเป็นนักโทษที่กรุงโรมไปถึงพวกคริสเตียนที่เมืองฟิลิปปีนั้น    ไม่มีคำว่าความสุขเลย  แต่มีคำว่า ชื่นชมยินดี อยู่ในจดหมายฉบับสั้น ๆ นี้ถึง 16 ครั้ง 
                ความสุขเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในวันคริสตมาส  เมื่อเราได้แกะกล่องของขวัญ  เมื่อเราได้เดินไปกับคนที่รักตามชายทะเล  เมื่อเราได้นั่งชมภาพยนตร์ที่ถูกใจ  แต่ความสุขเหล่านี้ก็จะหมดไปเมื่อของขวัญในกล่องนั้นเป็นสนิมไปแล้ว  หรือคนที่เราเคยเดินไปด้วยกันนั้นทำให้เราต้องขมขื่น  และความสุขก็หมดไปเมื่อเราออกมาจากโรงภาพยนตร์  แต่คำที่ท่านเปาโลใช้คำว่า ชื่นชมยินดี หรือยินดีนั้น  ท่านเขียนในขณะที่ท่านเป็นนักโทษรอการประหาร  ในขณะที่ไม่มีความมั่นคงแน่นอนใด ๆ   เมื่อท่านต้องอดอยากและเจ็บป่วย  ท่านก็ยังมีความชื่นชมยินดี 
ในวาระที่เราทั้งหลายฉลองวันสำคัญของเรา  เช่นวันเกิด  เรามีความสุขมาก ที่ได้พบเพื่อนฝูงเก่า ๆ  อาหารการกินที่เอร็ดอร่อย  และเกียรติยศที่ได้รับ   แต่งานเลี้ยงก็มีเวลาที่เลิกลากัน  แล้วเราก็กลับไปมีชีวิตปกติของเราอีกครั้งหนึ่ง   ในวัยชรา หรือชีวิตของผู้ที่สูงอายุนั้น  สิ่งที่ผู้อาวุโสเหล่านี้แสวงหานั้นคืออะไร  คงไม่ใช่ความสุขชั่วครู่ชั่วยามที่มีผู้ทำให้แก่เรา  ซึ่งเราก็ขอบพระคุณท่านเหล่านั้น  แต่เราอยากจะได้ความชื่นชมยินดีใช่ไหม  ที่จะอยู่กับเราทุกวันในเวลาที่ว้าเหว่  เงียบเหงา เจ็บป่วย  ความไม่สะดวกที่เกิดจากความอ่อนแอของสังขาร  และเป็นบุคคลเหมือนถูกโลกลืม  ในเวลาเช่นนั้นเราคงอยากจะได้เคล็ดลับแห่งชีวิต อย่างที่ท่านเปาโลได้ประสบและหยิบยื่นให้แก่เรา  คือ ความชื่นชมยินดี 
                ท่านเปาโลเขียนจดหมายฉบับนี้ไปถึงคริสตจักรที่เมืองฟิลิปปี  เมืองที่ท่านถูกตี ถูกเฆี่ยน ถูกใส่ขื่อทั้งขาและแขน  ขังอยู่ในคุก  แต่ประสบการณ์แห่งความทุกข์เหล่านั้นเป็นอดีตที่ท่านไม่พูดถึงเลย  แต่กลับพูดในความทรงจำอันเกิดจากความรักของพี่น้องที่นั่น ที่ทำให้ท่านยินดี  ผู้สูงอายุทั้งหลาย ผ่านชีวิตมามากมาย  ก็ย่อมจะมีประสบการณ์ที่สุขและทุกข์ปนกัน  มีความขมขื่นที่เกิดขึ้น  ความอกตัญญูของผู้ที่ไม่รู้จักบุญคุณ  สิ่งเหล่านี้วกเวียนกลับไปมาอยู่ในสมอง  เหมือนกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อไม่กี่วันนี้เอง  เราจะหลุดพ้นออกจากประสบการณ์ที่เจ็บปวดเหล่านั้นได้อย่างไร  จะเอาน้ำมาล้างคงไม่หมด  จะให้วันเวลาเป็นเครื่องกลบเกลื่อนก็ไม่ได้  สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือให้สมองของเราเต็มเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี 
                แต่ความชื่นชมยินดีอย่างที่พูดถึงนี้ ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นเองได้ง่าย ๆ หรือคิดเพ้อฝันไป  แต่ท่านเปาโลได้แสดงให้เราเห็นในจดหมายของท่านว่า  ความชื่นชมยินดีที่ท่านมีนั้นเป็นชีวิตที่   อยู่ในพระคริสต์   มาจากพระคริสต์  อยู่เพื่อพระคริสต์  ซึ่งทำให้ชีวิตของคนที่กำลังรอคอยการตัดสินพิพากษาให้ถึงแก่ความตายนั้น  เป็นชีวิตที่ชื่นชมยินดี  มีความหวัง  มีอนาคต และชีวิตทุกวันก็มีความหมาย  เพราะรู้ว่าเขามีชีวิต อยู่เพื่อพระคริสต์

No comments:

Post a Comment