Pages

Thursday, July 21, 2011

บทเพลงที่มาจากชีวิต










บทเพลงที่มาจากชีวิต
โดย  พิษณุ    อรรฆภิญญ์














(ปกหน้าด้านใน)
























เอกสารหมายเลข  37


                                                                    (ปกรอง)








บทเพลงที่มาจากชีวิต
โดย  พิษณุ    อรรฆภิญญ์







ผู้ถวายเพื่อพันธกิจการพิมพ์หนังสือเล่มนี้
โรงเรียนวัฒนาวิยาลัย
และบริษัท เบล็สซิงการพิมพ์ จำกัด




(ปกรองด้านใน)

ภาพปก 

ปกหน้า - คณะนักร้องนักเรียนวัฒนาวิทยาลัย

ปกหลัง- คณะนักร้องคริสตจักรวัฒนา



เอกสารชุดนี้พิมพ์ด้วยเงินที่มาจากผู้บริจาค
เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่านทั่วไป โดยไม่จำหน่าย
ท่านที่ประสงค์จะสนับสนุนพันธกิจนี้หรือต้องการเอกสารเล่มอื่น ๆ
โปรดติดต่อที่  พิษณุ  อรรฆภิญญ์
2508/1011  ถนนดินแดง
กรุงเทพฯ    10320
โทร.  0-2642-8142  กด  0  ,  Fax.  0-2247-7829





                พิมพ์ครั้งที่  1     มิถุนายน   2003   จำนวน  5000  เล่ม
พิมพ์ที่ บริษัท เบล็สซิงการพิมพ์ จำกัด โทร. 0-2233-8007, 0-2234-9611

คำขอบคุณ

            บทเพลงที่มาจากชีวิต  เล่มนี้ ได้รับการสนับสนุนเพื่อพันธกิจการพิมพ์ จากโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย  ด้วยจุดประสงค์  เพื่อเป็นการให้เกียรติแก่อาจารย์จันทร์แรม  พันธุพงศ์  สตรอสบอก  ในวาระที่ครบเกษียณอายุ  ในการทำงานที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย   แต่อาจารย์จันทร์แรมยังอยู่กับเรา  ยังรับใช้งานขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไป  คือทั้งที่โรงเรียนและที่คริสตจักรวัฒนา

                อาจารย์จันทร์แรมได้ทุ่มเทและให้ชีวิตแก่ดนตรีคริสตจักรมาตลอด   ดังนั้น บทเพลงที่มาจากชีวิต เล่มนี้  จึงเหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับท่าน  ที่จะเป็นของขวัญแห่งการขอบพระคุณที่มาจากพวกเรา ทั้งโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยและ คริสตจักรวัฒนา

 เราก็ต้องขอบพระคุณโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยที่ให้การสนับสนุนการพิมพ์หนังสือเล่มนี้  ซึ่งจะเกิดประโยชน์มากมายเมื่อจ่ายแจกออกไป  คือผู้อ่านทั่วไปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งคริสตจักรที่อยู่ห่างไกล


   พิษณุ   อรรฆภิญญ์



อาจารย์จันทร์แรมยังอยู่กับเรา
               
เหมือนอยู่ในสวรรค์  นักการธนาคารผู้หนึ่งพูดด้วยความซาบซึ้งหลังจาก Candle  Light  Service เสร็จสิ้นลง

                ท่านผู้นี้ได้รับการศึกษาจากหลายประเทศในยุโรปและได้รับปริญญาเอกจากอังกฤษ  เป็นผู้หนึ่งที่พยายามมาร่วม Candle Light  Service  หลายปีติดต่อกัน  บางครั้งถึงกับมานอนค้างอยู่ที่บ้านศิษยาภิบาล ในคืนวันที่  24 ธันวาคม  เพื่อจะให้แน่ใจว่าจะได้เข้าร่วมนมัสการ Candle light  Service  ทัน  Candle Light Service  นับว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งทางดนตรีในกรุงเทพฯที่เกิดขึ้นในวันคริสตมาสอันเป็นผลงานของนักเรียนและโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยที่ได้ทำต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน  เนื่องจากในระยะหลัง ๆ มีผู้คนมาร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก  และจำนวนนักเรียนของวัฒนาวิทยาลัยก็เพิ่มมากขึ้น   สถานที่คือโบสถ์ของคริสตจักรวัฒนาไม่สามารถที่จะรับผู้คนได้หมด  ในที่สุดจึงได้งดการนมัสการ Candle Light Service สำหรับชุมชนทั่วไปเสีย  แต่ยังคงทำกันอยู่ในโรงเรียนสำหรับนักเรียนและครูอาจารย์โรงเรียนวัฒนาฯ

                ดนตรี   การร้องเพลง  และคณะนักร้องนั้น    นับว่าเกิดขึ้นมาพร้อมกับโรงเรียนวัฒนาฯ    มีกิจกรรมและประเพณีที่ทำกันจนเป็นกิจวัตรปกติ     ที่ทำให้โรงเรียนนี้มีชื่อเสียงในเรื่องเพลง     การร้องเพลงประสานเสียง     และยังผลิตนักดนตรีออกไปมากมาย  มีชื่อเสียงในระดับชาติ  คงจะไม่เกินไปถ้าจะกล่าวว่าผลผลิตในเรื่องเพลง ผู้ประพันธ์เพลงที่มีชื่อเสียง ซึ่งออกไปจากโรงเรียนด้วยกันแล้ว  ก็ต้องนับว่าจำนวนมากที่สุดนั้นออกมาจากโรงเรียนวัฒนาฯ
               
ภายใต้การนำและการฝึกของอาจารย์จันทร์แรม  คณะนักร้องประสานเสียงวัฒนาวิทยาลัย ได้มีโอกาสออกไปร้องเพลงในพิธีและการแสดงต่าง ๆ หลายครั้งหลายคราว  ในช่วง  4-5 ปีที่ผ่านมา  คณะนักร้องวัฒนาวิยาลัยได้ออกไปแสดงในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐประชาชนจีน  ฮ่องกง  และมาเก๊า  การออกไปร้องเพลงถึงต่างประเทศนี้  สิ่งดีที่เกิดขึ้นนอกจากการร้องเพลงแล้วก็คือ ทำให้เกิดความรักความสามัคคีกันในคณะนักร้อง  ทุกคนรู้ว่าความสำเร็จของคณะนักร้องนั้น  เกิดขึ้นได้เพราะทุกคนยอมเหน็ดเหนื่อย  อดทน และพร้อมที่จะเสียสละ  อันเป็นลักษณะของการทำงานแบบ  Teamwork ที่ทำให้นักร้องทุกคนมีความภาคภูมิใจในผลงานที่พวกเขาได้ทุ่มเทมาด้วยกัน นี่คือความประทับใจของอาจารย์จันทร์แรมที่ได้รับจากลูกศิษย์

                ความรักดนตรี  รักการร้องเพลง  และการร้องเพลงประสานเสียง ที่ทำให้วัฒนาวิทยาลัยมีชื่อเสียงนั้น   มิได้เกิดขึ้นจากการทำงานเพียงปีสองปี  แต่เมื่อพลิกไปดูประวัติศาสตร์ตอนไหนของโรงเรียนก็จะพบว่ามีเรื่องของดนตรีและเพลงอยู่ด้วยเสมอ  อาจารย์จันทร์แรม  พันธุพงศ์  สตรอสบอก  เล่าว่า คุณครูผิน  หิตะศักดิ์  เก็บหนังสือเพลงเก่า ๆ ไว้  และท่านก็มักจะร้องเพลงเหล่านั้นได้ทั้งหมด แม้ว่าท่านชรามากแล้วก็ตาม

                นักเรียนวัฒนาต้องร้องเพลงกันเกือบทุกเช้า  ก็เพราะพวกเขาต้องเข้านมัสการในโบสถ์ซึ่งเป็นโอกาสอบรมจิตใจ  และความพร้อมทาง  E.Q.  ดังนั้นนักเรียนจึงคุ้นเคยกับทำนองและวิธีการร้องตามแบบของตะวันตก ในครั้งกระโน้นโรงเรียนจะสั่งหนังสือเพลง Youth  Hymnal   จากสหรัฐฯมาใช้สำหรับร้องในการนมัสการที่โบสถ์สลับกับเพลงนมัสการภาษาไทย  ศิษย์เก่าของวัฒนา  เมื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศจึงไม่เคอะเขิน  เมื่อไปร่วมนมัสการกับโบสถ์ฝรั่ง  เพราะพวกเขาเคยร้องเพลงเหล่านั้นมาก่อนแล้ว 

                ดนตรี  เพลง  และคณะนักร้องของโรงเรียนวัฒนาฯนั้น ได้รับการปลูกฝังและทะนุถนอมต่อเนื่องกันมาตลอดประวัติศาสตร์ของโรงเรียน  ผู้ที่ให้การฝึกและอบรมดนตรีและเพลงนั้น  แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม  ท่านเหล่านั้นเป็นผู้ที่มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับกันในความสามารถ    เป็นผู้ที่ทุ่มเทให้แก่โรงเรียนอย่างแท้จริง  ผู้หนึ่งก็คือ อาจารย์จันทร์แรม พันธุพงศ์ สตรอสบอก  ท่านได้มีส่วนสร้างดนตรีการในหัวใจให้แก่วัฒนาฯมานานกว่า 20 ปี   เป็นช่วงเวลาแห่งการทุ่มเทและทำงานหนัก  ต้องสอนเพลงในการนมัสการของนักเรียนที่โบสถ์ เพลงพิเศษของนักเรียนในโอกาสต่าง ๆ และต้องรับผิดชอบเรื่องซึ่งเป็นหน้าตาของโรงเรียนในพิธีการต่าง ๆ  งานหนักประจำปีที่ได้ทำสืบเนื่องกันมานาน และจะต้องเป็นงานซึ่งมีผลงานที่เรียกว่าชิ้นโบว์แดงทุกปีก็คือ เพลงสำหรับ Candle Light  Service เพลงในการนมัสการให้โอวาทแก่นักเรียนที่จะสำเร็จการศึกษาและเพลงซึ่งจะต้องซาบซึ้งที่สุดในวันรับ ประกาศนียบัตร ซึ่งเรียกกันติดปากว่า ดีโพลมา

                ทุกคนใจหายเมื่อทราบว่า อาจารย์จันทร์แรม  พันธุพงศ์  สตรอสบอก  เป็นผู้หนึ่งที่ถึงวาระเกษียณ  ถึงแม้ตลอดเวลาที่อาจารย์ทำงานในโรงเรียนนั้น  อาจารย์ทำในฐานะของอาจารย์พิเศษ แต่ก็ต้องมีวาระเกษียณด้วยตามระเบียบของโรงเรียนและสภาคริสตจักรในประเทศไทย แต่ทุกคนก็โล่งใจ  เมื่อได้ทราบว่าอาจารย์จันทร์แรมยังไม่ไปไหน จะยังให้เวลาและความสามารถแก่โรงเรียนต่อไปในฐานะที่ปรึกษาด้านดนตรีและการขับร้องประสานเสียง  อาจารย์จันทร์แรมกล่าวว่า  เป็นการดีที่มีวาระเช่นนั้น  เพราะเท่ากับว่าให้มีกำหนดไว้ที่จะวางมือ   เพื่อคนรุ่นใหม่จะได้มีโอกาสรับช่วง  ด้วยความคิดใหม่  นวัตกรรมใหม่และความก้าวหน้าที่จะสร้างดนตรีการในหัวใจ  ต่อเนื่องจากมรดกที่ได้สั่งสมกันมานานจนถึงพวกเราวันนี้  แล้วเราจะได้เห็นความก้าวหน้าใหม่ ๆ ต่อไป   












พัฒนาดนตรีให้แก่คริสตจักร

                เพียงเดินข้ามสะพานไปอีกฝั่งหนึ่งของคลอง 5 นาทีก็ถึงโบสถ์คริสตจักรวัฒนาแล้ว  จึงทำให้อาจารย์จันทร์แรม พันธุพงศ์  สตรอสบอก  เกือบจะกลายเป็นศาสนาจารย์หรือศิษยาภิบาลฝ่ายดนตรีของคริสตจักรวัฒนาไป  อาจารย์เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเรื่องดนตรีของคริสตจักร  โดยเฉพาะในการนมัสการและคณะนักร้องของคริสตจักร  และยังให้เวลาในการพัฒนาด้านดนตรีแก่คนรุ่นใหม่  จัดให้นักดนตรีรุ่นเล็ก ๆ ได้มีโอกาสแสดงความสามารถของตน  ซึ่งก็เป็นเวลาเดียวกันที่จะได้เห็นศักยภาพทางดนตรีของคนรุ่นใหม่ที่จะเป็นผู้นำของคริสตจักรต่อไป  ปริมาณงานที่ได้กล่าวมาแล้วนี้  ถ้าเป็นคริสตจักรในสหรัฐอเมริกา  นี่ก็คืองานเต็มเวลาซึ่งคริสตจักรจะต้องจ้างศาสนาจารย์ที่เป็นนักดนตรีมาทำหน้าที่เป็นศิษยาภิบาลฝ่ายดนตรีของคริสตจักร
                แต่ที่อาจารย์จันทร์แรมได้ทำมากกว่าศิษยาภิบาลฝ่ายดนตรีจะต้องทำก็คือ  แปลเพลงเป็นภาษาไทย  เพื่อให้นักร้องของคริสตจักรได้ร้อง   งานเช่นนี้ศิษยาภิบาลทางดนตรีของคริสตจักรในอเมริกาไม่ต้องทำ  เพราะเพลงของเขาก็เป็นภาษาของเขาทั้งหมดอยู่แล้ว  ศิษยาภิบาลทางดนตรีก็มีหน้าที่ไปเลือกแล้วก็สั่งมาใช้  อาจารย์จันทร์แรมได้แปลเพลงออกมาแล้ว  จำนวนมากมาย  ส่วนมากก็ให้นักร้องได้ร้องกันครั้งเดียว  แล้วก็ทำเพลงบทใหม่สำหรับร้องกันต่อไปอีก
                อาจารย์จันทร์แรม  นอกจากจะแปลและเรียบเรียงเสียงประสานให้แก่เพลงต่าง ๆ มากมายแล้ว  ยังได้ประพันธ์เนื้อร้องและทำนองไว้อีกหลายบท  เช่น เมื่ออาจารย์จันทร์แรมเริ่มงานที่โรงเรียนวัฒนานั้น  ได้ให้ข้อสังเกตว่า   เพลงส่วนใหญ่ของโรงเรียน เป็นเพลงลา      จึงได้พยายามหาเพลงใหม่ให้แก่โรงเรียน   นอกจากจะประพันธ์ขึ้นเองแล้ว    ก็ยังได้ฝากความทรงจำไว้ให้แก่โรงเรียนและนักเรียน  โดยได้ประพันธ์เพลงใหม่ชื่อว่า  วัฒนาวิทาลัย  ข้อความใต้ชื่อเพลงมีความว่า ทำนอง-เสียงประสาน : จันทร์แรม สตรอสบอร์ก เนื้อร้อง : นักเรียน ม.ศ.5  ปี  2524 และยังได้ประพันธ์เพลงสำหรับเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นให้โรงเรียนและโบสถ์ เช่นในวันครู วันพ่อ วันแม่ เป็นต้น ชื่อของ อาจารย์จันทร์แรม จะเป็นอมตะ เพราะในเพลงไทยนมัสการ(เล่มแดง) มีผลงานอยู่ 3 บท ที่เราร้องกันทั่วประเทศไทย
การฝึกซ้อมนักร้องต้องทำกันวันเสาร์เย็น  จึงเป็นเวลาที่อาจารย์จันทร์แรมต้องกำหนดเวลาไว้ให้แก่คริสตจักร  ไม่มีโอกาสที่จะไปงานอื่นใดที่จัดขึ้นในวันเสาร์บ่ายหรือเย็น   แม้จะเป็นงานแต่งงานของคนที่สนิทก็ตาม  ที่ทำได้อย่างดีก็ฝากซองบัตรอวยพรไปเท่านั้น  เพราะอาจารย์จันทร์แรมรู้ดีว่า  ถ้าไปงานอื่นก็ต้องทิ้งนักร้องของคริสตจักรไว้  หรืออาจต้องยกเลิกการซ้อมไป  นั่นหมายความว่ากระทบกระเทือนไปถึงผู้ที่มีเจตนาจะรับใช้พระเจ้าด้วยการถวายเสียงอีกไม่ต่ำกว่า 20  คน  นักร้องเหล่านี้ส่วนมากเป็นผู้ที่มีตำแหน่งหน้าที่การงานต้องรับผิดชอบงานสำคัญและครอบครัว  แต่ก็ยอมให้เวลาที่จะมาซ้อมเพลงกันทุกวันเสาร์จนดึกดื่น  ส่วนมากบ้านก็อยู่ไกลกันทั้งนั้น  ต้องขับรถกันไม่ต่ำกว่า  1  ชั่วโมงโดยเฉลี่ย  แล้วจะให้ทิ้งคณะนักร้องได้อย่างไร  อาจารย์จันทร์แรมกล่าว
                งานหลักสำคัญที่โบสถ์ก็คือการฝึกคณะนักร้องที่จะต้องร้องเป็นประจำในการนมัสการของโบสถ์  และก็ยังมีโอกาสสำคัญพิเศษต่าง ๆ ที่คณะนักรัองจะต้องร้องอีกด้วย  เช่นงานแต่งงาน  งานศพ  และพิธีต่าง ๆ ของภาคและของสภาคริสตจักรฯ เป็นต้น 
                อาจารย์จันทร์แรม มีความพยายามที่จะให้การนมัสการของโบสถ์และการร้องเพลงมีชีวิตชีวา  ดังนั้น จึงต้องเตรียมเพลงที่จะใช้ในการนมัสการ  เพื่อสอนให้แก่ผู้ที่มานมัสการก่อนที่จะเริ่มต้นในเช้าวันอาทิตย์  คริสตจักรวัฒนาจึงร้องเพลงนมัสการได้ถูกต้องตามโน๊ต และร้องเพลงใหม่ ๆ กันเสมอ
                คณะนักร้องของคริสตจักรวัฒนานั้น  เป็นคณะที่ก่อตั้งกันขึ้นมาเมื่อ  35  ปีมาแล้ว  และก็ยังร้องกันตลอดเรื่อยมาโดยไม่ได้หยุดยั้ง   นักร้องคณะนี้จึงประกอบด้วยสมาชิกหลายอายุหลายวัย  บางคนก็เป็นคุณย่าคุณยายแล้วที่ร้องกันมาตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวจนบัดนี้ก็ยังไม่หยุด  ในเวลาเดียวกันก็มีคนใหม่ ๆ ที่เป็นหนุ่มสาวเข้ามาร่วมและมีส่วนสำคัญในชีวิตคณะนักร้องด้วย คณะนักร้องชุดนี้อายุ 35 ปีแล้วก็ยังเข้มแข็งอยู่  เพราะมีการบริหารภายในกันเอง  อธิษฐานและนมัสการก่อนจะเริ่มซ้อม  มีกิจกรรมนอกสถานที่เป็นบางครั้งบางคราว  เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศและความซ้ำซากจำเจ    เมื่อไม่นานมานี้คณะนักร้อง คริสตจักรวัฒนาก็ได้เดินทางไปเที่ยวเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์  แล้วตอนเย็นก็กลับมาร่วมในการประกาศกลางแจ้งของคริสตจักรชนบทที่สระบุรี  ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  ความเป็นกันเอง  จนเป็นเหมือนพี่เหมือนน้องกัน  เราก็ต้องยอมรับว่า  เพราะความอดทนของอาจารย์จันทร์แรม  ที่ท่านมีคำพูดเพราะๆ สนุกสนานและตลกๆ ให้ทุกคนสบายใจ  เราแน่ใจว่ามีไม่กี่คณะในคริสตจักร  ตั้งแต่เหนือจดใต้ที่มีอายุมาแล้ว  35 ปี  และทุกคนก็ชื่นชมยินดีที่อาจารย์จันทร์แรมไม่เคยพูดในคณะนักร้องเลยว่า เกษียณแล้ว  มีแต่ว่า งานของพระเจ้า เกษียณเมื่อวันนั้นที่เราทำไม่ได้แล้ว
                เย็นวันนั้นที่สนามของโรงเรียนวัฒนาฯ เป็นวันที่โรงเรียนแจกประกาศนียบัตร (Diploma)  ให้แก่นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6    มีพิธีการใหญ่  ผู้คนมาเต็มโบสถ์  บุคคลสำคัญมากหน้าหลายตา  เพลงที่นักเรียนร้องกันวันนั้น  ซาบซึ้ง  ประทับใจ  และคงจะเป็นส่วนหนึ่งที่นักเรียน ม.6  เหล่านั้น  จะไม่ลืมครูฝึกของเขาที่ได้ทำงานหนัก  ก่อนหน้านี้มาแล้วหลายเดือน
                เมื่อเสร็จพิธีในโบสถ์แล้ว  ทุกคนก็ออกไปที่สนามโรงเรียน  ภายใต้ท้องฟ้าอันสดใสในเวลาเย็น  ทุกคนสนุกสนาน  รับประทานของว่าง  เด็ก ๆ และผู้ปกครอง  ครู  อาจารย์ต่างชื่นชม  เพื่อนฝูงพากันมาถ่ายรูปด้วยมากมาย   ในขณะที่ทุกคนสนุกสนานและมีความสุขกันอยู่นั้น   อาจารย์จันทร์แรมก็ต้องเปลี่ยนสภาพของตนเองอย่างรวดเร็ว  เพื่อจะไปสอนเพลงให้แก่คณะนักร้องของคริสตจักรวัฒนา จากสนามที่กำลังครื้นเครงกันอยู่ ข้ามสะพานมาอีกฟากหนึ่ง เดินไปจนถึงหลังโบสถ์ก็จะเห็นบรรดาสมาชิกคณะนักร้องคริสตจักรวัฒนานั่งรออาจารย์จันทร์แรมอยู่แล้วเงียบ ๆ  เขาจะทราบหรือเปล่าว่า Conductor  ของเรา วันนั้นเหนื่อยแค่ไหน





พระเจ้าเตรียมไว้ให้รับใช้

                รู้ดีว่า  พระเจ้าเตรียมเราไว้ให้อยู่ตรงนี้ ให้รับใช้พระเจ้าด้วยการสอนเพลง  อาจารย์จันทร์แรม  กล่าว  แล้วเล่าต่อไปว่า  เชียงใหม่สมัยนั้นไม่มีใครที่ไหนเขาสอนดนตรีกัน  ไม่มีโรงเรียนดนตรีอย่างสมัยนี้  แต่ก็เพราะคนของพระเจ้าผู้หนึ่ง คือแหม่มเฮเลน แม๊คครัว  ได้รวบรวมเด็กๆ ที่มีแววดนตรีไปเรียนเปียโนกับท่าน  เรารู้ว่าความตั้งใจของท่านนั้นก็เพื่อให้เราที่เป็นเด็กได้เรียนเปียโน เพื่อว่าวันหนึ่งจะได้ไปเล่นเปียโนหรือออร์แกนให้กับโบสถ์   อาจารย์จันทร์แรมกล่าว และเล่าให้ฟังว่า  นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายคนที่ไปเรียนด้วยกันรวมทั้งบัณฑิต วัฒนาพร ซึ่งก็เป็นบุคคลที่มีค่ามากสำหรับคริสตจักรในเรื่องดนตรี 
                ที่บ้านไม่มีเปียโนหรือเครื่องดนตรีใด ๆ แล้วเชียงใหม่ก็ไม่มีที่ไหนที่มีเปียโนด้วย  นอกจากบ้านมิชชันนารีไม่กี่คน  เมื่อจะซ้อมก็ต้องไปซ้อมที่บ้านของแหม่มแม๊คครัวในโรงเรียนดาราวิทยาลัยนั่นเอง  อาจารย์จันทร์แรมกล่าวพร้อมกับหัวเราะเล่าต่อไปว่า  เกือบจะเลิกเรียนเปียโนแล้วหลายครั้ง  เพราะไม่ชอบที่แหม่มแม๊คครัวมักจะเอาดินสอเคาะมือเมื่อเล่นผิด พอกลับถึงบ้านก็บอกแม่ว่า  ไม่เรียนแล้วนะ  คุณแม่ก็ปลอบใจต่าง ๆ นานาให้อดทนเรียน  เพื่ออีกหน่อยจะได้ไปเล่นออร์แกนให้โบสถ์  ท่านก็ดีแสนดี  เพราะกลัวเราจะไม่เรียน  ก็เลยผูกมัดเราโดยไปซื้อออร์แกนเก่า ๆ มาให้หลังหนึ่ง  เป็นออร์แกนที่ต้องใช้เท้าถีบ  บางครั้งก็ต้องถีบแรง ๆ หนัก ๆ   เพื่อให้เสียงมันออก  แต่ในเวลาเดียวกัน เท้าถีบนั้นมันก็ส่งเสียงดังด้วย  จนเสียงออร์แกนเกือบจะไม่ได้ยิน  ก็เพราะได้เล่นออร์แกนตั้งแต่เป็นเด็กนี้เอง ที่ทำให้รักออร์แกน  เมื่อไปเรียนต่างประเทศก็เลือกเอาออร์แกนเป็นวิชาเอก อาจเป็นเพราะเหตุนี้เองที่โบสถ์ของเราทุกวันนี้  มีอาจารย์จันทร์แรมเพียงคนเดียวที่สามารถเล่นออร์แกนของโบสถ์ซึ่งมีเสียงไพเราะไม่ต่างอะไรกับไป๊ป์ออร์แกนของโบสถ์ใหญ่ ๆ ในสหรัฐฯ  
                แหม่มแม๊คครัวเตรียมคนไว้สำหรับโบสถ์  ดังนั้นเพลงที่ใช้สำหรับเป็นบทเรียนเปียโนนั้น  ก็ล้วนเป็นเพลงที่ดัดแปลงมาจากเพลงนมัสการทั้งสิ้น  เพราะเหตุนี้เอง   อาจารย์จันทร์แรมจึงสามารถเล่นเพลงนมัสการให้แก่โบสถ์ได้  เมื่อยังเป็นนักเรียนมัธยม    เล่นให้แก่การนมัสการของโรงเรียนทั้งดาราวิทยาลัย   และ ปรินส์รอยแยลส์วิทยาลัย 
                เมื่อจบการศึกษาชั้นมัธยมแล้ว  ก็ได้เข้าเรียนในแผนกดนตรีของวิทยาลัยพระคริสตธรรม  ปัจจุบันคือมหาวิทยาลัยพายัพแผนกดนตรี ที่ได้ผลิตคนสร้างคน  ออกไปเป็นนักดนตรีสำหรับคริสตจักรและรับใช้คริสตจักรมากมาย  แต่เสียดายที่แผนกนี้ได้ยุบไปเสียแล้ว 
                อาจารย์จันทร์แรมได้มีโอกาสไปศึกษาต่อทางดนตรีที่ Western College  for Women  มลรัฐโอไฮโอ แล้วกลับมาสอนอยู่ที่แผนกดนตรี  วิทยาลัยพระคริสตธรรมอยู่พักหนึ่ง จึงต้องติดตามสามีซึ่งรับราชการเป็นทหารอเมริกันไปอยู่ตามฐานทัพต่าง ๆ ซึ่งทุกแห่งก็ได้มีโอกาสรับใช้พระเจ้าด้วยความสามารถดนตรีอยู่เสมอ  ที่ฟิลิปปินส์ได้มีโอกาสเป็นผู้นำนักร้องสตรีและเล่นออร์แกนในโบสถ์ของฐานทัพ  ที่ฮาวายก็ได้เป็นผู้นำนักร้องผู้ใหญ่  นักร้องเด็ก และผู้นำ Bells Choir เมื่อกลับมาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง  ก็ได้นำเอาประสบการณ์ที่ได้สั่งสมมามากมายแล้วนั้น ให้แก่โรงเรียนวัฒนาฯและคริสตจักรวัฒนา
                สิ่งที่เราส่วนใหญ่อาจจะไม่ทราบว่า ส่วนหนึ่งของความสามารถทางดนตรีของอาจารย์จันทร์แรมนั้น  ก็เพราะท่านเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของอาจารย์ทองคำ  พันธุพงศ์  บุคคลสำคัญของสภาคริสตจักรที่ได้ล่วงลับไปนานแล้ว  ท่านเป็นนักประกาศตัวยง  และเป็นผู้อำนวยการแผนกอนุชนที่ได้ทิ้งผลงานไว้มากมาย อาจารย์ทองคำ  มีหัวใจเป็นนักดนตรี  ถึงแม้ว่าวันเวลาของท่านไม่ได้อำนวยให้แก่ท่านที่จะฝึกเป็นนักดนตรี  แต่ท่านเป็นผู้แต่งเพลงไว้มากมาย  ซึ่งล้วนเป็นภาษาไทยที่ไพเราะ  คำร้องสามารถเข้ากับทำนองได้ดี  ในเวลานั้นอนุชนไม่มีเพลงสั้นที่จะร้องกัน  เมื่อประชุมก็ต้องร้องเพลงฝรั่ง  ซึ่งล้วนเป็นเพลงพื้นเมืองของอเมริกัน  เช่น Home  Sweet  Home,  Old  folks  at  Home  เป็นต้น  สมควรแก่การจดจำไว้ด้วยว่า  อาจารย์ทองคำ  ได้แต่งเพลงและแต่งเพลงเป็นภาษาไทยไว้หลายบท  เพื่อให้อนุชนได้ใช้ร้องกัน  อนุชนรุ่นนั้นจึงลืมท่านไม่ได้  ก็เพราะเราไม่มีเพลงอื่นใดหรือเพลงสั้นร้องกัน  นอกจากเพลงของท่าน  เพลงที่เราไม่รู้ว่าใครเป็นผู้แปล  และควรจะรู้ไว้เสียเลยว่า  อาจารย์ทองคำเป็นผู้แปล อาทิเช่น เพลงไทยนมัสการบท 151 โอเจ้าแห่งดวงจิตเป็นนิมิตของข้า และเพลงมีวิหารในหุบผา เราจะเห็นว่าท่านมีความสามารถทางวรรณศิลป์เพียงไร  ก็ให้ช่วยกันนับคำว่า คำที่มีความหมายว่า ป่า ในเพลงนี้ว่ามีกี่คำ  และมีอีกกี่คำที่แปลว่า ป่า  แล้วอาจารย์ทองคำไม่ได้เอามาใช้ในเพลงนี้
                อาจารย์จันทร์แรมพูดด้วยความสำนึกว่า  แม่เป็นผู้ที่สอนให้อดทน  พ่อเป็นผู้สอนให้มีดนตรีการในหัวใจ  เพราะทุกครั้งที่ออกไปไหนมาไหนด้วยกัน  พ่อก็จะร้องเพลงให้ฟังซึ่งล้วนเป็นเพลงพระเจ้าที่ท่านรัก  เพลงที่ท่านรักนั้นก็ไม่มีเพลงอื่นนอกจากเพลงพระเจ้า  วันที่ท่านจะสิ้นใจนอนอยู่บนเตียงนั้น  ท่านขอให้ทุกคนที่ยืนอยู่ที่นั่นร้องเพลง พระเยซูเป็นร่มเย็นของข้า

แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ จงปราศรัยกันด้วยเพลงสดุดี
 เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญ คือร้องเพลงสรรเสริญ
 และสดุดีจากใจของท่าน ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
(เอเฟซัส 5:18-19)


บทเพลงที่มาจากชีวิต


 






สารบัญ


                 บทที่                                                                          หน้า

1.  สรรเสริญพระฤทธิ์พระเยซูคริสต์ (บทที่  100)
2.  สรรเสริญพระเจ้าผู้อำนวยพร (บทที่ 293)
3.  จงเดินไปเถิดปวงชน (บทที่ 224)

4.  พระเยซูรักฉันรู้แน่

5.  อย่างตัวข้าฯนี้ เข้ามาเฝ้าทรงธรรม์ (บทที่ 125)
6.  ความรักเป็นสายสัมพันธ์ (บทที่ 208)
7   สรรเสริญพระนามพระเยซูคริสต์
8  วันไหว้ครู
   




บทที่ 1

สรรเสริญพระฤทธิ์พระเยซูคริสต์ ( บทที่ 100)


            เพลงนมัสการบทนี้ คริสตจักรที่อยู่ ในตะวันตกเคยถือกันว่าเป็นเพลงชาติของอาณาจักรแห่งพระเจ้ เป็นเพลงที่ได้แปลเป็นภาษาต่างๆ แล้วไม่ว่าพวกคริสเตียนจะไปถึงไหนในส่วนใดของโลกก็ตาม  เป็นเพลงที่ทำให้รู้สึกถึงความต้องการทางจิตวิญญาณของมนุษย์  มีนักเขียนผู้หนึ่งกล่าวถึงเพลงนี้ไว้ว่า ตราบใดที่ยังมีคริสเตียนอยู่ในโลกเพลงนี้ก็จะร้องกันอยู่ต่อไป แล้วหลังจากนั้นก็ยังจะร้องต่อไปอีกบนสวรรค์ 
ผู้ประพันธ์คือ  Edward  Perronet (1726/2269-1792/2335)  มีชีวิตอยู่ในช่วงก่อนกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สอง  จนถึงต้นสมัยรัตนโกสินทร์  เกิดที่หมู่บ้าน Sundridge  Kent ในอังกฤษ  ท่านเป็นเชื้อสายอยู่ในตระกูลของ  Huguenot ผู้นำชาวโปรเตสแตนท์ในฝรั่งเศส  ที่ถูกข่มเหงจนทนไม่ไหว  ได้พาพรรคพวกอีก 1,000  คน    อพยพลี้ภัยไป สวิสเซอร์แลนด์  แล้วต่อมาบรรพบุรุษ Edward Perronet  ได้อพยพมาอังกฤษ  ท่านมีบิดาเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักร Anglican   อันเป็น คริสตจักรประจำชาติของอังกฤษ ซึ่งเป็นคริสตจักรที่อิ่มตัวแล้วด้วยอำนาจบารมีจึงไม่สนใจเรื่องการประกาศเผยแพร่  ส่วน Edward  นั้นกลับเป็นผู้ที่เห็นดีเห็นชอบว่า   การประกาศเผยแพร่เป็นสิ่งสำคัญของ คริสตจักรที่จะต้องทำ โดยได้รับอิทธิพลจากผู้นำที่เรียกว่า Evangelical Movement     คือการให้เน้นเรื่องการประกาศเป็นส่วนสำคัญของชีวิต คริสตจักร  กระบวนการนี้นำโดยนักเทศน์สำคัญคือ  สองพี่น้อง Westley และ George Withfield    ท่าน Edward  Perronet เองก็เกิดมาในคริสตจักร Anglican  ได้รับสถาปนาให้เป็นศิษยาภิบาลของคริสต จักรแห่งชาตินี้  แต่เป็นคนที่ห่วงใยชีวิตคริสตจักรซึ่งหยุดนิ่งไม่สนใจการประกาศ  จึงวิพากษ์วิจารณ์คริสตจักรของตนเองอย่างรุนแรง  ท่านเขียนไว้ว่า  ผมเกิดในคริสตจักรแห่งอังกฤษ   และก็คงจะตายอยู่ใน คริสตจักรอันอุ้ยอ้ายนี้ แต่ใจจริงผมนั้นเห็นว่าเป็นคริสตจักรที่ไม่เอาไหน  แม้กระนั้นท่านก็อยู่ไม่ได้  จึงแยกตนออกมาร่วมทำงานอยู่กับพวก Evangelical (ผู้เข้มแข็งในการประกาศ)  ที่มี John  Westley เป็นผู้นำ  โดยอยู่ร่วมกับกระบวนการเป็นเวลา 10 ปี  ในช่วงเวลานี้เองที่ใครก็แล้วแต่ไปเป็นพรรคพวกของ Westley ก็จะถูกข่มเหงถึงขนาดทุบตี  เพราะคริสตจักรดั้งเดิมอันเป็นคริสตจักรประจำชาติไม่เห็นด้วยกับความคิดในการประกาศของ Westley  ท่าน Westley  บันทึกเหตุการณ์ไว้ในสมุดบันทึกประจำวันของท่านว่า  จากเมือง  Rock Dale  เราเดินทางต่อไปยังเมือง Bolton เราพบว่าเสือร้ายอย่างที่เราพบในเมือง Rock dale นั้น แท้จริง  เมื่อเปรียบกับคนที่เมือง Bolton คนที่ Rock dale ก็ยังเป็นเพียงลูกแกะเท่านั้น  Edward Perronet ได้ถูกจับโยนลงพื้นกลิ้งไปตามดินตกลงไปในโคลน  บ้านถูกหินขว้างปาจนหลังคาและกระจกแตกหมด  มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ใคร ๆก็จำได้และยังพูดกันในสมัยนั้น คือ  ในการนมัสการวันอาทิตย์  John  Westley ได้ประกาศต่อที่ประชุมว่า อาทิตย์หน้า นักเทศน์ของเราคือ Edward Perronet  เนื่องจาก Edward มีอายุน้อยกว่าท่าน Westley  18  ปี  จึงปฏิเสธทุกครั้งเมื่อถูกเชิญให้เทศน์ต่อหน้าบุคคลซึ่งเป็นที่เคารพนับถือดุจรัฐบุรุษ  Edward เห็นว่าเป็นสิ่งไม่บังควรที่เขาซึ่งเป็นเด็กกว่าจะไปเทศนาให้แก่ผู้อาวุโสฟัง  พอถึงเวลาตามกำหนด  Edward ก้าวขึ้นธรรมาสน์ แล้วประกาศให้ทราบว่า  ท่านมีความรู้สึกเช่นไรและไม่เคยคิดที่จะเทศนาต่อหน้าผู้อาวุโสอย่าง Westley  อย่างไรก็ดีผมจะเทศน์จากคำเทศนาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดซึ่งเคยเทศน์กันมาแล้วในโลก  หลังจากนั้น Edward ก็เปิดพระคัมภีร์ออกอ่านคำเทศนาบนภูเขาของพระเยซู(มัทธิว 5) เมื่อจบแล้วก็นั่งลงโดยไม่ต่อเติมแม้แต่คำเดียว  Edward  ได้ใช้ชีวิตเป็นศิษยาภิบาลอยู่ที่ Canterbury อังกฤษ  คำพูดสุดท้ายของ Edward ที่กลายเป็นคำพูดซึ่งจดจำกันต่อมาคือ 
            รังสีความยิ่งใหญ่จงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุดแห่งการเป็นพระเจ้าของพระองค์
        รังสีความยิ่งใหญ่จงมีแด่พระองค์ผู้ที่ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์อันต่ำต้อย
            รังสีความยิ่งใหญ่จงมีแด่พระองค์ผู้สำเร็จเสร็จครบทุกประการ
            ข้าขอมอบวิญญาณจิตไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์
            Edward ได้เขียนเพลงนมัสการและบทประพันธ์ไว้มากมาย  โดยท่านจะไม่ใช้ชื่อของท่านกำกับไว้ว่าเป็นผู้เขียน   แต่จะลงนามว่านิรนามทุกครั้ง นอกจากเพลง สรรเสริญพระฤทธิ์พระเยซูคริสต์ บทนี้เท่านั้นที่เรารู้ว่าท่านเขียน ที่ยังคงเหลืออยู่ให้เราได้เห็นผลงานของท่าน ที่มีชื่อของท่านอยู่ด้วย
            มีเรื่องที่น่าสนใจเกิดขึ้นกับเพลงบทนี้หลายประการ  เรื่องหนึ่งก็คือ  เหตุการณ์ที่เล่าโดยศาสนาจารย์  E.P. Scott  มิชชันนารีผู้บุกเบิกคนหนึ่งที่ไปเริ่มงานกับชนเผ่าในอินเดีย  วันหนึ่งท่านถูกพวกคนป่าไล่ต้อนไป แล้วกำลังจะใช้หอกแทงท่านอยู่  ขณะที่กำลังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือจะตาย  สิ่งที่ติดตัวมาด้วยก็คือ ไวโอลินคันเดียว  จึงหยิบออกจากกล่องแล้วสีไวโอลินเพลงนี้และสลับด้วยการร้องของท่านเป็นภาษาของชนเผ่า   เมื่อร้องไปถึงข้อความที่ว่า  จงให้ชนทุกชาติและทุกเผ่ากราบลงนมัสการท่าน  (ซึ่งไม่ได้แปลตามนี้ในหนังสือเพลงไทยนมัสการ) บรรดาชนเผ่าเหล่านั้นก็เริ่มวางหอกของตนลงแล้วพากันร้องให้  ต่อมาศาสนาจารย์ Scott ผู้นี้ได้ใช้ชีวิตของท่านเทศนาบอกให้รู้ถึงข่าวดีของพระเจ้าที่มีต่อชนเผ่าเหล่านั้น  พระเจ้าได้ทรงใช้เพลงง่าย ๆบทนี้ให้สามารถเข้าถึงจิตวิญญาณของคนป่า
            สรรเสริญพระฤทธิ์พระเยซูคริสต์  มีทำนองเพลงที่ใช้ร้องกันอยู่ได้ถึง 3 ทำนอง  ที่เราใช้ร้องกันอยู่ในหนังสือเพลงไทยนมัสการเล่มนี้เป็นทำนองที่แต่งขึ้นโดยชาวอเมริกัน  แต่มีอีก 2 ทำนองที่แต่งขึ้นโดยคนอังกฤษ  เป็นเพลงที่ไพเราะมากเมื่อเอาทำนองทั้ง 3 มาร้องสลับกันทีละข้อ  ทำนองของคนอังกฤษ ชื่อ William Shrubsole  เป็นทำนองที่สง่างามมาก  เมื่อร้องทุกครั้งจะเกิดความรู้สึกเหมือนกับยืนอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า ทำนองเพลงนี้ได้ใช้ร้องกันเป็นเพลงประจำของสำนักกลางนักเรียนคริสเตียน  ที่ใช้ร้องกันในพิธีเปิดปีการศึกษาและอีกครั้งหนึ่งในวันอำลาของนักศึกษาที่จะจากไป  เป็นเสียงเพลงที่น่าประทับใจอย่างยิ่ง  เมื่อนักศึกษาร้องประสานเสียงสลับสับกัน  ทำให้ฟังดูแล้วเหมือนอยู่ใน  Concert  Hall ขนาดใหญ่










บทที่  2
สรรเสริญพระเจ้าผู้อำนวยพร (บทที่ 293)

                เพลงสั้นๆ เพียง 4 บรรทัดที่เราร้องกันในการนมัสการต่าง ๆ  โดยเฉพาะในวันอาทิตย์ทุกแห่งหนในโลก  ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยตามที่ปรากฏอยู่ใน เพลงไทยนมัสการ  ฉบับสังคายนาปี 1985/2528  บทที่ 293  บรรทัดแรกว่า สรรเสริญพระเจ้าผู้อำนวยพร  ทุกครั้งที่ร้องเพลงนี้นั้น  จะมีกี่คนที่ตระหนักว่า  เพลงนี้มีอายุมาแล้วกว่า  300 ปี  แต่งและเริ่มร้องกันมาตั้งแต่สมัยพระนารายณ์มหาราชมาแล้ว  แล้วก็จะร้องกันต่อๆ ไปอีก
                ผู้แต่งคือ Thomas  Ken  (1637/2180-1711/2254)  เขาเกิดก่อนพระนารายณ์มหาราชเล็กน้อย  เป็นศาสนาจารย์อยู่ในคริสตจักรอังกฤษ (Anglican  Church)  ท่านเป็นผู้แต่งเพลงอมตะเพลงนี้  แต่ชีวิตของท่านนั้นเป็นที่รู้จักกันในสมัยนั้นว่าท่านเป็นศาสนาจารย์ที่กล้าหาญและกล้าที่จะประณามความผิดบาปอย่างไม่เกรงกลัวผู้ใด  แม้แต่พระมหากษัตริย์ที่ท่านวิจารณ์นั้นก็ยังต้องยอมรับและนับถือท่าน 
                Thomas Ken  เกิดที่เมือง Little  Berkhampstead  ในปี ค.ศ.  1637/2180  วัยเด็กของท่านนั้นเริ่มต้นด้วยการเป็นกำพร้าตั้งแต่เมื่อยังเป็นทารกอยู่  ได้รับการศึกษาที่โรงเรียน Winchester   ได้รับการเลี้ยงดูโดยพี่สาวและสามีผู้เป็นนักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในสมัยนั้น ต่อมาเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัย ออกซ์ฟอร์ด แล้วได้รับการสถาปนาเป็นศาสนาจารย์ของคริสตจักรแห่ง  ประเทศอังกฤษ (Church of  England)  ท่านเป็นศาสนาจารย์ที่ขยันขันแข็งและอดทนต้องฟันฝ่ากับอุปสรรคนานาประการ  จึงทำให้ชีวิตของท่านเป็นชีวิตที่มี สีสันน่านับถือ  เมื่อสถาปนาแล้วท่านได้รับหน้าที่เป็นอนุศาสก  รับใช้สังฆราชแห่งเมือง Winchester   ในปี 1669/2212  ท่านได้ถูกส่งไปประจำที่ประเทศฮอลแลนด์  ทำหน้าที่เป็นอนุศาสกของศาลสถิตยุติธรรมที่กรุงเฮก   Thomas Ken ผู้นี้แม้จะเป็นคนอังกฤษ  แต่ก็อดที่จะวิพากษ์วิจารณ์ประณามความชั่วที่อยู่ในแวดวงของผู้มีอำนาจในเมืองหลวงของฮอลแลนด์ไม่ได้  จึงต้องถูกขับออกนอกประเทศหลังจากที่ทำงานได้เพียงปีเดียว  เมื่อกลับอังกฤษแล้วกษัตริย์ชาร์ลที่ 2 แห่งอังกฤษได้ทรงให้ความอุปการะแต่งตั้งให้ท่านเป็นอนุศาสกประจำพระองค์  ตำแหน่งอันสูงส่งนี้ไม่สามารถจะปิดปากของ Thomas Ken ได้  ท่านยังคงประณามความบาปและทุกสิ่งที่ผิดศีลธรรมในราชวงศ์อังกฤษอย่างไม่ลดละ แต่ กษัตริย์ชาร์ลที่ 2    กลับทรงชมเชยความกล้าหาญที่สามารถประณามความผิดทุกอย่างได้โดยไม่เกรงกลัวใคร  ทรงตั้งฉายาให้ท่านอีกว่า กระทาชายผู้ดี ( A  Little  Good  Man)  ทุกเช้าเมื่อถึงเวลาเข้าห้องนมัสการพระองค์จะตรัสว่า ฉันจะต้องไปฟัง Thomas Ken  ประณามความผิดของฉัน   จนในที่สุดพระเจ้าชาร์ลที่ 2 ทรงพระราชทานรางวัลให้แก่เขาโดยแต่งตั้งให้ไปเป็นสังฆราชประจำอยู่ที่เมือง Bath และเมือง Wells  เมื่อท่านไปรับหน้าที่โดยการสถาปนาผ่านไปได้เพียง  12 วัน  พระมหากษัตริย์องค์อุปถัมภ์ของท่านคือ กษัตริย์ชาร์ลที่ 2  ก็สิ้นพระชนม์  เมื่อกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ Thomas Ken ก็กลายเป็นเป้าแรกที่กษัตริย์จะต้องจัดการ  พระเจ้าเจมส์ที่ 2  ทรงรู้ว่าอีกไม่นาน Thomas Ken ก็จะประณามความผิดของพระองค์  จึงทรงมีพระราชโองการประกาศห้ามตำหนิกษัตริย์  แต่ Thomas ไม่แยแสโดยไม่สนใจที่จะเปิดออกอ่าน  โดยเหตุนี้ท่านและสหายศาสนาจารย์อีก 6  คนที่ปฏิเสธไม่รับรู้พระราชโองการนั้น  จึงต้องกลายเป็นนักโทษทันที  ถูกจับตัวไปขังไว้ที่ Tower  of  London  (เป็นพระราชวังโบราณที่ใช้ขังนักโทษที่มีชื่อเสียง  ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ที่นักท่องเที่ยวจะต้องไปเยี่ยมชมเมื่อไปลอนดอน)   ต่อมา Ken  ก็ได้รับอิสรภาพ แต่ก็ถูกกษัตริย์องค์ใหม่ คือ พระเจ้า  William III สั่งปลดออกจากตำแหน่งสังฆราช ในปี ค.ศ. 1691/2234  
ชีวิตบั้นปลายของท่านอยู่ในความสงบเงียบและทำงานอยู่ในชนบทห่างไกล  อาศัยอยู่กับเพื่อนรัก  Lord   Weymouth ที่อุปการะให้อาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ของท่าน  ณ ที่นี้เองท่านได้ถึงแก่ความตายในปี ค.ศ. 1711/2254  เมื่ออายุได้ 74 ปี  Macaulay นักประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงของอังกฤษในสมัยนั้น  ได้ไปร่วมพิธีฝังศพของท่านและได้พูดให้เกียรติแด่ท่านว่า  “Bishop Ken  เป็นบุคคลที่ประพฤติตามอุดมการณ์คริสเตียนได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด  เท่าที่มนุษย์เดินดินคนธรรมดาอาจทำได้  ท่านเป็นนักเทศน์ที่ทำหน้าที่เผยพระวจนะของพระเจ้าอย่างสัตย์ซื่อ และควรจะเป็นคุณสมบัติของผู้ที่คิดว่าตนจะเป็นนักเทศน์
                ทุกครั้งที่เราร้องเพลงบทสั้น ๆ นี้ในการนมัสการ  ก็ควรจะเป็นเวลาเดียวกันที่เราจะระลึกถึงผู้รับใช้ที่กล้าหาญเจ้าของเพลงบทนี้เมื่อ 300 ปีมาแล้ว  และเราก็ควรจะคิดด้วยว่าประโยคสุดท้ายที่เขาจะพูดกันในงานศพของเรานั้น  เขาจะพูดถึงเราว่าอย่างไร  ขอให้เราทำทุกอย่างเมื่อยังมีชีวิตอยู่  ให้คนทั้งหลายเห็นการดีของเราและจะสามารถนำไปสรุปเป็นประโยคสุดท้ายเมื่อเรานอนพักผ่อนอยู่แล้ว
                Bishop Ken เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงโดยเหตุที่ท่านเป็นตัวตั้งตัวตีที่จะให้คริสเตียนร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าอย่างจริงใจโดยไม่ต้องจำกัดว่าเนื้อร้องจะต้องมาจากสดุดีเสมอไป  ท่านแต่งเพลงและเขียนหนังสือไว้มากมาย
                เพลงสรรเสริญพระเจ้าผู้อำนวยพรบทนี้  มีปรากฏอยู่ในหนังสือเพลงนมัสการที่แปลเป็นไทยและเรียบเรียงโดย ดร.ซามูเอลล์  จี.  แม๊คฟาร์แลนด์  มิชชันนารีที่ต่อมาได้รับเชิญจากรัชกาลที่ 5  ให้เป็นพระอาจารย์อยู่ที่ King’s College  หรือ โรงเรียนสวนอนันต์ ในพระราชอุทยานนันทวัน ท่านเป็นผู้แปลและเรียบเรียงเพลงไว้มากที่สุด สมควรที่จะได้รับเกียรติให้เป็นบิดาของเพลงนมัสการภาษาไทย   ในฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5 ปี 1920/2463  (เท่าที่มีหลักฐานอยู่)  ได้แปลเพลงบทนี้ไว้ว่า ...
        ให้ชาวสวรรค์กับเหล่านิกร
สรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงอวยพร
สรรเสริญองค์พระบิดา พระบุตร
ทั้งพระวิญญาณผู้บริสุทธิ์

เพลงไทยนมัสการฉบับสังคายนาใหม่ ปี 1985/2528  บทที่ 293 ให้คำแปลไว้ว่า
        สรรเสริญพระเจ้าผู้อำนวยพร
ชนชาวโลกาและเทพนิกร
พระวิญญาณ พระบุตร พระบิดร
พระเจ้าองค์เดียวผู้อำนวยพร

 ในเพลง ชีวิตคริสเตียน  ให้คำแปลของเพลงบทนี้ไว้ว่า
                สรรเสริญพระเจ้าผู้อำนวยพร  สรรเสริญพระเจ้าเหล่าประชากร
สรรเสริญองค์พระบิดาพระบุตร สรรเสริญพระวิญญาณบริสุทธิ์ อาเมน

ต้นฉบับภาษาอังกฤษว่า
Praise  God  from whom all blessings  flow;
Praise Him, all creatures here below;
Praise Him above, ye heav’nly   host;
Praise Father, Son, and  Holy Ghost. Amen
                เมื่อเปรียบเทียบคำแปลภาษาไทยทั้ง 3 ข้อความแล้ว  จะเห็นได้ว่า  ข้อความที่ถอดเป็นภาษาไทยได้ความหมายใกล้กับของเดิมในภาษาอังกฤษมากที่สุด  คือข้อความโบราณที่สุด  ซึ่งแปลโดย ดร.แม๊คฟาร์แลนด์  ส่วนที่อยู่ในเพลงไทยนมัสการและเพลงชีวิตคริสเตียนนั้น คล้าย ๆ กัน ดูจะสับสน เพราะเป็นการเชิญชวนให้สรรเสริญพระเจ้า  สรรเสริญเทพนิกร, สรรเสริญพระบิดา พระบุตร พระวิญญาณ  ส่วนในชีวิตคริสเตียนนั้นได้ทำดีกว่าคือ เปลี่ยน เทพนิกรซึ่งฟังดูแล้วเป็นเรื่องเทพยดาฟ้าดินให้เป็นเหล่าประชากร เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงเรื่องเทวดาไป เพราะเป็นศัพท์ที่ขัดกับความเชื่อของคริสเตียน
แท้ที่จริงแล้วเนื้อความที่มีอยู่ในภาษาอังกฤษนั้น  กล่าวถึงว่า
จงสรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นแหล่งแห่งพระพรทั้งหลายที่หลั่งไหลลงมา
จงสรรเสริญพระองค์เถิดบรรดาสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อยู่เบื้องล่าง 
จงสรรเสริญพระองค์เถิดบรรดาทูตสวรรค์ผู้อยู่เบื้องบน
จงสรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นตรีเอกานุภาพ    คือ   พระบิดา  พระบุตร พระวิญญาณบริสุทธิ์  อาเมน
          เพลงสั้นๆ นี้เป็นการเชิญชวนให้สรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นองค์เดียว  แต่ที่ปรากฏในคำแปลของทั้งสองฉบับที่กล่าวถึงแล้วนั้น  ดูจะเป็นการเชิญชวนให้สรรเสริญพระเจ้าหลายองค์  ฟัง ๆ ดูแล้วเป็นความเชื่อของฮินดูมากกว่า ที่เชื่อพระเจ้าหลายพระองค์ 
                เพลงบทสั้นๆ นี้ก็ยังเป็นเหตุให้พวกเราคริสเตียนซึ่งมีอยู่น้อยแล้วนั้น  ดูจะแบ่งแยกกันออกเป็นคนละพวกคนละฝ่ายกัน  เพราะเมื่อมาชุมนุมพร้อมกันมาก ๆ ถึงแม้จะร้องเพลงนี้พร้อมกัน  ซึ่งก็เป็นเพลงเดียวกัน  แต่ก็ด้วยเนื้อเพลงที่แตกต่างกัน  เมื่อเริ่มต้นก็ดูจะพร้อมเพรียงเสียงดังคึกคักดี  แต่เมื่อมาถึง คำว่าเหล่าประชากร พวกที่ร้องเหล่าประชากรก็มักจะมีเสียงดังกว่า ส่วนพวกเทพนิกร นั้นแผ่วลง แล้วในที่สุดก็หยุดร้อง  ภาพที่ปรากฏก็คือ พวกคริสเตียนซึ่งเป็นกลุ่มเล็กอยู่แล้วก็ยังแตกแยกกัน แข่งขันกัน เรื่องนี้น่าจะหาทางแก้ไข โดยนำขึ้นมาพิจารณาในคณะกรรมการโปรเตสแตนท์แห่งประเทศไทย  เพื่อมีมติให้ปรับปรุงให้เป็นเพลงที่มีเนื้อร้องเดียวกันและมีความหมายที่ถูกต้องตามของเดิม  ซึ่งเป็นเรื่องเล็กน้อยที่น่าจะแก้ไขได้  แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่แสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของพวกคริสเตียนกลุ่มน้อย ๆ ในประเทศไทย 











บทที่ 3
จงเดินไปเถิดปวงชน (บทที่ 224)

                หนังสือเพลงไทยนมัสการฉบับสังคายนา  1985/2528 ให้คำแปลไว้ว่า จงเดินไปเถิดปวงชน  ซึ่งแปลมาจากต้นฉบับเดิมในภาษาอังกฤษที่มีข้อความว่า Onward, Christian soldiers, Marching as to war”  ซึ่งแท้ที่จริงเพลงนมัสการฉบับของ ดร.ซัมมูเอลล์ จี. แม๊คฟาร์แลนด์นั้น ให้คำแปลไว้ถูกต้องแม่นยำกว่าว่า  เหล่าทหารพระคริสต์เจ้า รีบเร่งเข้ากระบวน
                เพลงบทนี้เป็นที่รักของคริสเตียนทุกแห่งหน และร้องกันในทุกคริสตจักร ประวัติเพลงนี้มีสิ่งที่น่าสนใจซึ่งจะช่วยเราให้ร้องเพลงบทนี้ด้วยความรู้สึกซาบซึ้งและคึกคักตามเนื้อร้องของเพลง ผู้แต่งคือ Sabine  Baring  Gould (1834/2377-1924/2467, เกิดในปีที่  Taylor Jones มิชชันนารีแบ๊บติสต์คนแรกมาถึงบางกอก)  เป็นนักเทศน์ที่มีอานุภาพเทศนาเป็นที่จับใจทุกคน  มีตะลันต์พิเศษทางวรรณกรรมที่ได้รับยกย่องว่าเป็นบุคคลแนวหน้าของศตวรรษที่ 19  เป็นนักเขียนหนังสือยอดนิยม ตลอดชีวิตของท่าน  ได้เขียนหนังสือไว้ 85  เล่ม ในหัวข้อต่าง ๆ เช่นเรื่องศาสนา   การเดินทาง  นิยายชาวบ้าน  ศาสนนิยาย  ประวัติศาสตร์  นวนิยาย  ชีวิประวัติ  คำเทศนา และศาสนศาสตร์ฉบับประชานิยม เป็นต้น  พิพิธภัณฑ์อังกฤษได้ให้เกียรติสูงสุดแก่ท่าน ว่าเป็นนักเขียนยอดเยี่ยมสมัยนั้นโดยได้รวบรวมผลงานของท่านแสดงไว้ มีจำนวนหนังสือที่ท่านเขียนไว้มากกว่านักเขียนอื่นๆ เป็นเรื่องแปลกแต่จริงที่ว่างานชิ้นที่เป็นอนุสรณ์ถึงท่านนั้น ไม่ใช่วรรณคดียิ่งใหญ่อันเป็นผลงานของท่าน  แต่กลายเป็นเพลงสำหรับเด็ก ๆ ที่เราร้องกันอยู่ทุกวันนี้ทั่วโลก  ซึ่งท่านได้ประพันธ์ขึ้นในปี 1865/2408  ท่านผู้แต่งเพลงนี้ได้เขียนเล่าถึงสาเหตุที่ท่านเขียนเพลงนี้ไว้ว่า เป็นเพลงที่เขียนขึ้นอย่างง่าย ๆ โดยไม่ได้คิดว่าจะนำเอาไปพิมพ์เผยแพร่ที่ไหน เรื่องก็มีอยู่ว่า  วันนั้นเป็นวันจันทร์ก่อนอีสเตอร์ซึ่งเป็นวันเฉลิมฉลองกันยิ่งใหญ่ในโรงเรียนที่เมือง Yorkshire  ในวันนี้ได้ตกลงกันว่าเด็กนักเรียนในโรงเรียนของเราจะไปร่วมกับโรงเรียนอื่นๆ ที่ใกล้เคียงด้วย  ผมมีความคิดว่าอยากจะให้เด็ก ๆ มีเพลงร้องเมื่อเขาเดินขบวนกันจากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง  แต่คิดแล้วคิดอีกก็คิดไม่ได้ว่าจะมีเพลงอะไรที่เหมาะสมสำหรับงานนี้  ดังนั้น ผมจึงนั่งอยู่เกือบตลอดคืนเขียนเพลงเพื่อเอาไว้ใช้เอง  ก็คือ  Onward, Christian soldiers,  เขียนขึ้นอย่างรีบเร่ง
                อีก 30 ปีต่อมา ท่านจึงเล่าเบื้องหลังของเพลงบทนี้อีกครั้งหนึ่งว่า เขียนขึ้นด้วยความรีบร้อนจนผมเองเกิดความรู้สึกว่า คงจะมีความบกพร่องในบทประพันธ์บทนี้  โดยเฉพาะจังหวะของมัน  ผมประหลาดใจมากที่เพลงนี้กลายเป็นเพลงยอดนิยมไปได้อย่างไร  สิ่งที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งก็คือ ความมั่นใจของท่านที่ทำให้ท่านเขียนได้เช่นนั้น ถึงแม้ข้อความเหล่านั้นจะไม่ปรากฏอยู่ในเนื้อร้องของเพลงที่ได้แต่งขึ้นนั้นก็ตาม  ก็คือความเชื่อมั่นอย่างมั่นคงในเรื่อง คริสตจักรนั้น  วางอยู่บนรากฐานของพระธรรมมัทธิว 16:18 และ 28:18-20    ซึ่งเป็นข้อพระคัมภีร์ที่ดลใจให้ท่านเขียนว่า  แม้พระราชมงกุฎและพระราชบัลลังก์อาจสลายหายไปได้ อาณาจักรอาจรุ่งโรจน์ขึ้นแล้วก็ล่มสลายไป        แต่ คริสตจักรของพระเยซูคริสต์นั้นจะยังยั่งยืนมั่นคงอยู่เป็นนิจ พลังแห่งความตายจะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิได้  เรามีพระสัญญาของพระคริสต์ซึ่งจะล้มเหลวนั้นเป็นไปไม่ได้
                เพื่อเราจะรู้ได้ว่าความรู้สึกของผู้ที่แต่งเพลงบทนี้มีความรู้สึกเช่นไร  จึงขอยกเอาต้นฉบับเพลงภาษาอังกฤษมาไว้    ที่นี้
Onward   Christian  soldiers
  1. Onward, Christian soldiers, marching as to war,   
With the cross of   Jesus  going on before!     
Christ, the royal Master,  leads again  the foe;     
Forward in  to battle see His banner go!
Refrain: Onward, Christian  soldiers, marching  as to war,
With the cross of  Jesus going on before!
  1. At the sign of  triumph  Satan’s host doth flee;
On, then, Christian   soldiers,  on to victory!    
Hell’s  foundations quiver at the  shout of praise;    
Brothers,  Lift  your  voices, loud you’re anthems  raise!
           3.  Like a mighty  army  moves the Church of   God;    
Brothers, we are  treading  where the saints  have  trod.    
We  are not divided, all one body  we   
One in hope and doctrine, one in charity
  1. Onward, then, ye people, join our happy throng;   
Blend with ours your  voices  in the triumph song.    
Glory,  laud  and  honor  unto  Christ  the  King    
This thru countless  ages men and angels sing.

                คำแปลของ  ดร.ซัมมูเอลล์  จี แม๊คฟาร์แลนด์  ซึ่งได้แปลไว้กว่า  100 ปีมาแล้ว  เป็นเพลงหนึ่งที่เรารักและร้องกันเรื่อยมา จนเมื่อไม่นานมานี้จึงได้มีการเปลี่ยนแปลงเนื้อร้องจนจำไม่ได้  ทำให้เราเกือบจะไม่ร้องเพลงนี้กันอีก คำแปลของท่านใกล้เคียงกับต้นฉบับภาษาอังกฤษมากดังนี้
                                      เหล่าทหารพระคริสต์เจ้า
            1.  เหล่าทหารพระคริสต์เจ้า    รีบเร่งเข้ากระบวน
ตามผู้ถือกางเขนเนา     นำหน้าไปโดยด่วน
พระคริสต์เจ้านายทัพใหญ่    พาไปรบศัตรู
ตรงไปยังสมรภูมิชัย    ธงปลิวไสวน่าดู
                          2.  เช่นกองทัพทหารบก    ศิษย์คริสต์ควรต่อสู้
ผู้นำหน้าเดินทางรถ    ไล่ติดตามศัตรู
เป็นแถวไปไม่ขาดทัพ    และเป็นกองเดียวกัน
มีความเชื่อความเห็นกับ    ความเมตตาแม่นมั่น
                          3.  ยศศักดิ์ทั้งอำนาจฤทธิ์    ทั่วโลกต้องสูญหาย
ฝ่ายความรอดในพระคริสต์    ไม่มีที่สุดปลาย
พญามารคอยกีดกั้น    แต่ยิ่งแผ่ไพศาล
ผู้เชื่อคำสัญญานั้น    คงไม่อันตรธาน
                         4.  จงอุตส่าห์เดินท่านเอ๋ย    พร้อมกับศิษย์ทั้งหลาย
จงเปล่งเสียงอย่าเพิกเฉย    ร้องบทเพลงถวาย
จงสรรเสริญพระบารมี    แต่องค์พระเยซู
ทูตสวรรค์ยกบทนี้    ร้องเสมอเชิดชู
                ต่อมาได้มีการสังคายนาเพลงไทยนมัสการ (1985/2528 )  เพลงบทนี้ได้แปลใหม่  ถึงแม้จะมีทำนองร้องเหมือนเดิม  แต่เนื้อร้องนั้นไปคนละทิศละทาง  ที่แปลกใจมาก ๆ ก็คือ  เพลงชีวิตคริสเตียน  ซึ่งส่วนใหญ่รักษาคำแปลของ ดร.แม๊คฟาร์แลนด์ไว้ได้ดีมาก   แต่กลับเปลี่ยนเอาเนื้อร้องซึ่งอยู่ในเพลงไทยนมัสการเข้ามาแทนของเดิม  ดังนั้นเพลงทั้งสองเล่มนี้มีเพลงนี้ตรงกัน  จึงขอยกเอาเนื้อร้องของเพลงไทยนมัสการมาสำหรับการพิจารณาดังนี้ 
จงเดินไปเถิดปวงชน
1.             จงเดินไปเถิดปวงชน  คนของพระคริสต์เจ้า 
ตามรอยรีบเร่งยาตรา มรรคาสิทธชน 
เรารวมเป็นกายเดียวกัน ผูกสัมพันธ์ยืนยง
ความเชื่อความหวังมั่นคง ธำรงความเมตตา
(ร้องรับ)           จงสาธุการสรรเสริญแด่องค์พระบิดา
พระบุตรและพระวิญญาณ  ตรีเอกานุภาพ  อาเมน
2.             มงกุฎบัลลังก์ราชาอาณาจักรทั้งหลาย 
ยังมีวันถูกทำลายแต่คริสตจักรยืนยง 
ศัตรูร้ายกาจเพียงไรไม่อาจมาบีฑา
เพราะพระคริสต์ทรงสัญญาด้วยสัจจาถาวร
3.    จงเดินไปเถิดปวงชน ร่วมหนทางครรไล 
เปล่งเสียงสรรเสริญก้องไกล  เพลงชัยดังกังวาน 
รังสียิ่งใหญ่ดำรงองค์พระคริสต์ราชา
ร้องเพลงด้วยใจปรีดาก้องฟ้านิรันดร์กาล
                คำแปลของเพลงบทนี้ในเพลงไทยนมัสการนั้น  เราเกือบจำไม่ได้ว่า  มาจากเพลง เหล่าทหารพระคริสต์เจ้า ที่เราเคยร้องกันอย่างมีชีวิตชีวานั้น  ข้อความที่ดีๆ นั้นหายไปมาก และในต้นฉบับเดิมไม่มี  แต่ก็ได้นำมาใส่เพิ่มเติมเอง  เช่นเรื่องของตรีเอกานุภาพ ในข้อที่ 1 และในข้อที่ 2 ข้อความนี้ไม่ปรากฏอยู่ในต้นฉบับเลย มงกุฎบัลลังก์ราชาอาณาจักรทั้งหลายยังมีวันถูกทำลาย แต่คริสตจักรยืนยงศัตรูร้ายกาจเพียงไรไม่อาจมาบีฑา เพราะพระคริสต์ทรงสัญญาด้วยสัจจาถาวรจงสาธุการสรรเสริญ
                ข้อความของเพลงนี้ที่อยู่ในเพลงไทยนมัสการนั้น  นับว่าดีมาก  โดยเฉพาะข้อที่ 2  ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือความเชื่อความรู้สึกที่เป็นเบื้องหลังของผู้เขียนเพลงบทนี้นั้น  เป็นข้อความที่ดีมาก  แต่ไม่ปรากฏในต้นฉบับเดิม  นอกจากนั้นคำว่า ปวงชน  เราก็ไม่แน่ใจว่า หมายถึงใครหรือผู้ใด  เพียงแต่ถ้าจะเปลี่ยนคำว่าปวงชนให้เป็นคริสตชนเสียก็จะมีความหมายที่ดีมาก
                เนื้อร้องใหม่ของเพลงบทนี้  นับว่าดีมาก  ถูกหลักศาสนศาสตร์และความเชื่อในพระคัมภีร์อย่างครบถ้วน  มีฉันทลักษณ์ที่ดีมาก  ถึงแม้ว่าจะไม่ได้รักษาความหมายเดิมของผู้เขียนไว้ก็ตาม  แต่ก็เป็นเพลงใหม่อีกบทหนึ่งได้  โดยหาทำนองใหม่ใส่ให้  แล้วก็แปลเนื้อร้องใหม่ให้กับทำนองเพลงเก่าที่มีอยู่ (ถ้าไม่แปลใหม่ก็ใช้คำแปลของแม๊คฟาร์แลนด์ก็ยังดีกว่า)
                เป็นสิ่งที่เราไม่แน่ใจว่า  ทำไมคณะกรรมการสังคายนา  1985/2528  จึงแปลเพลงที่มีอยู่แล้วเดิมนั้นออกไปเกือบจะว่าตรงกันข้ามเลยทีเดียว  สิ่งที่พอจะเข้าใจได้ก็คือ  กรรมการชุดนี้ได้เริ่มต้นทำงานตั้งแต่ปี 1978/2521  สำเร็จในปี 1985/2528  รวม 8 ปี  ในช่วงระยะเวลานั้น เอเชียของเราคุกรุ่นอยู่กับสงคราม  เช่นสงครามเวียดนาม  และประเทศไทยของเราก็ถูกครอบงำอยู่ด้วยรัฐบาลเผด็จการ ต่อเนื่องกันมาเป็นเวลานาน  บรรยากาศเช่นนี้เรียกในภาษาอังกฤษว่า เป็น Militalism  คืออำนาจทหารเป็นใหญ่ที่ครอบงำโลกอยู่ส่วนใหญ่ในเวลานั้น  ดังนั้นจึงเกิดการต่อต้านขึ้นเรียกว่า Anti Militalism  คงจะมีกรรมการบางคนที่นับว่าเป็นผู้ทันเหตุการณ์ และอาจจะด้วยความหวังดีที่ไม่อยากจะให้คริสตจักรถูกเพ่งเล็งว่าเป็นบริวารของอำนาจทหาร  จึงจัดการเอาคำว่า เหล่าทหารพระคริสต์เจ้า ออกไปเสีย   แล้วเอาคำว่า ปวงชนซึ่งกำลังคึกคักกันอยู่ในประเทศไทยขณะนั้นเข้ามาแทน  เราก็พอเข้าใจได้  เพราะประเทศไทยเพิ่งผ่านเหตุการณ์ที่ปวงชนเรียกร้องรัฐธรรมนูญกันทั่วประเทศ  อันเป็นเหตุการณ์ของวันที่  14  ตุลาคม  ค.ศ. 1973/2516  ซึ่งก็ยังคุกรุ่นอยู่ในขณะที่เริ่มต้นทำการสังคายนา  ดังนั้นคำว่า เหล่าทหารพระคริสต์เจ้า  จึงเป็นคำที่ไม่น่าฟังในขณะนั้น  จึงได้เอาคำว่า ปวงชน ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังเป็นใหญ่ในแผ่นดินมาใส่แทน  นับว่าทันสมัยและเหตุการณ์อย่างยิ่ง
                อีกทั้งเพลงบทนี้ก็ได้เคยเกิดปัญหาขึ้นในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง เวลานั้นทางราชการเพ่งเล็งพวกคริสเตียนมาก ว่าเป็นพวกที่พักดีต่อชนชาติศัตรู คือ เป็นลูกน้องฝรั่ง  มีคริสตจักรแห่งหนึ่งที่เมื่อร้องเพลงนี้แล้ว  ตำรวจก็มาจับตัวศิษยาภิบาลแล้วส่งขึ้นศาล ว่าพวกคริสเตียนร้องเพลงปลุกใจ ซ่องสุมผู้คนต่อสู้รัฐบาล  แต่ผู้พิพากษาเมื่อพิจารณาแล้วก็หัวเราะเห็นว่าไม่เข้าเรื่อง เพราะท่านเองก็เคยร้องเมื่อยังเป็นเด็กนักเรียนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน เรื่องราวอย่างนี้ก็อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ผสมผสานให้เปลี่ยนคำและความหมายของเพลงนี้ใหม่เสียก็ได้
                แต่โดยแท้จริงแล้ว  ท่านเปาโลเองถือว่าท่านเป็นทหาร  และเราทั้งหลายก็เป็นทหารของพระคริสต์ด้วย  ข้อความเช่นนี้  ความหมายนี้ เป็นการเปรียบเทียบถึงคริสเตียนในการปฏิบัติตนและในการติดตามพระเยซูคริสต์ คงไม่มีใครผู้ใดที่จะแก้พระคัมภีร์ข้อนี้ที่พูดถึงเรื่องทหารเสีย  ต่อไปนี้เป็นข้อพระคัมภีร์ที่ท่านเปาโลได้กล่าวถึงดังนี้  ...
1 โครินธ์ 9:7  ใครบ้างที่เป็นทหารไปในการศึกสงครามและต้องกินเสบียงของ
ตัวเอง  หรือใครบ้างที่ทำสวนปลูกต้นองุ่น และมิได้กินผลองุ่นในสวนนั้น หรือใครบ้างที่เลี้ยงสัตว์ และมิได้กินน้ำนมของฝูงสัตว์นั้น
2 ทิโมธี 2:3      จงทนการยากลำบากด้วยกันกับทหารที่ดีของพระคริสต์
2 ทิโมธี 2:4   ไม่มีทหารคนใดที่เข้าประจำการแล้วจะยุ่งอยู่กับงานฝ่ายพลเรือน 
                        ด้วยว่าเขามุ่งที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ
ฟิเลโมน (ข้อ 2) ถึงฟิเลโมนเพื่อนร่วมงานที่รักของเรา และอัปเฟียน้องสาวและ
อารคิปปัส ผู้เป็นเพื่อนทหารด้วยกันกับเราและคริสตจักรที่อยู่ในบ้านของท่าน





               


          บทที่ 4

พระเยซูรักฉันรู้แน่


                เพลงที่ติดอยู่ริมฝีปากของคริสเตียนเกือบทุกคนและเกือบทั้งโลกคือ เพลง พระเยซูรักฉันรู้แน่ (Jesus  Loves Me)  
ในวันที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย จัดงานใหญ่ฉลองครบศตวรรษของโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง-วัฒนา  มีงานเลี้ยงใหญ่ในคืนวันนั้น  โต๊ะจีนนับร้อยตัวตั้งเรียงรายอยู่บนสนามหน้าตึกอำนวยการ  ในคืนวันนั้น  แขกสำคัญที่จะปราศรัยคือ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์  ปราโมช  ในฐานะที่ท่านเป็นศิษย์เก่าตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง   ซึ่งก็คือบริเวณหอพักนักเรียนพยาบาลโรงพยาบาลศิริราชทุกวันนี้  เมื่อหม่อมราชวงศ์ คึกฤทธิ์ลุกขึ้นพูด  ที่ประชุมปรบมือกึกก้อง  ในคืนวันนั้นมีเพื่อนร่วมรุ่นของท่านมาร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก 
                หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์  ปราโมช  มีความทรงจำของวัยเด็กเมื่อเรียนอยู่ที่วังหลังชัดเจนและมีความสุขมากที่จะเล่าเรื่องเหล่านั้นในคืนวันนั้น  สิ่งแรกที่สุดท่านขอบพระคุณโรงเรียนวังหลังว่า มีพระคุณแด่ท่านมากมาย  เพราะโรงเรียนได้สอนและให้ท่องข้อพระคัมภีร์ขึ้นใจได้หลายตอน  นั่นคือสิ่งที่ท่านติดตัวไปเมื่อไปศึกษาต่อที่อังกฤษ  สิ่งที่ท่านได้ไปนั้นได้ทำให้แตกตื่นและงงงวยกันในอังกฤษ  นำชื่อเสียงมาสู่ประเทศไทย  เพราะได้มีการสอบความรู้พระคัมภีร์แข่งขันกัน  ท่านได้เป็นที่หนึ่งในมณฑล  ทำให้ชาวอังกฤษพากันประหลาดใจที่เด็กไทยได้รับรางวัลนี้ไป  ส่วนหนึ่งในความทรงจำของท่านก็คือเพลง พระเยซูรักฉันรู้แน่ ท่านบอกว่าเพลงนี้เป็นเหมือนใบเบิกทางที่ทำให้คนต่างชาติยอมรับท่าน  เมื่อได้รับเชิญหรือไปเยี่ยมชาวต่างประเทศในอังกฤษและแม้แต่ที่เกาะฮาวาย  เมื่อท่านได้รับเชิญให้พูด  ท่านจะร้องเพลงนี้เป็นภาษาไทย  แล้วในคืนวันนั้นท่านก็ร้องเพลง พระเยซูรักฉันรู้แน่ ให้ฟังจนจบ  มีเสียงปรบมือดังกึกก้องอีกครั้งหนึ่ง
                เพลงพระเยซูรักฉันรู้แน่ ร้องกันทั่วโลกเป็นภาษาของตน  พวกมิชชันนารีที่ไปประกาศสั่งสอน  เมื่อรวบรวมเด็กให้มาเรียนได้แล้ว  ก็จะสอนเพลงนี้ให้แก่เด็ก ๆ จนเป็นเพลงที่แพร่หลายและไปไกลนอกรั้วของคริสตจักร  เมื่อข้าพเจ้าผู้เขียนเรื่องนี้  ไปศึกษาที่ประเทศอินเดีย  ซึ่งก็เป็นเวลาที่มหาตมะคานธีได้ถูกลอบฆาตกรรมไปกว่า 10 ปีแล้ว  ชาวอินเดียรักและให้เกียรติแด่ท่านคานธีสูงสุด  เมื่อท่านสิ้นชีวิตแล้ว  มีอนุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นในทุกรัฐและในที่สำคัญต่างๆ  สิ่งหนึ่งที่ชาวอินเดียได้กระทำก็คือ  พิมพ์หนังสือเด็ก  ลักษณะเช่นเดียวกับหนังสือเด็กของพวกคริสเตียน  มีสีสันสวยงาม  แต่พระเอกในเรื่องไม่ใช่พระเยซู  ผู้ที่มาแทนคือมหาตมะคานธี  มีเพลงที่ใช้สอนเด็กกันในช่วงนั้น  คือ Gandhi  Loves  Me ร้องด้วยทำนองของเพลง  Jesus Loves  Me 
                นักศาสนศาสตร์คริสตชนจะต้องรู้จักศาสตราจารย์  Karl Barth (1886/ 2429-1968/2511) ชาวสวิส ท่านเป็นนักศาสนศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่ทั้งโลกต้องฟัง  ศาสนศาสตร์ของท่านนั้นเป็นที่ยอมรับในทุกองค์การและทุกค่ายแคมป์ของพวกคริสเตียน  ท่านได้เขียนหนังสือศาสนศาสตร์ไว้มากมาย  ได้ปาฐกถาเรื่องศาสนศาสตร์ในทุกประเทศที่มีคริสตศาสนาเป็นหลัก  วันหนึ่งท่านได้รับเชิญให้ไปปาฐกถาที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์ปริ้นตั้นในสหรัฐอเมริกา มีนักศาสนศาสตร์ชั้นอ๋องมาฟังกันล้นหอประชุม  หลังจากที่บรรยายแล้ว  นักศึกษาผู้หนึ่งได้ตั้งคำถาม   ถามท่านว่า  ขอให้ท่านผู้เป็นนักศาสนศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่  ได้บอกกับเราว่า  อะไรที่เป็นศาสนศาสตร์ที่สำคัญที่สุด 
                ศาสตราจารย์ Karl  Barth  ลุกขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย  มองที่ประชุมรอบ ๆ แล้วตอบคำถามที่ว่า ศาสนศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่นั้น   ท่านหยุดเงียบสักครู่ แล้วก็พูดต่อไปว่า “Jesus Loves  me, for  the  Bible tells  me  so”
                ไม่ต้องสงสัยว่า เพลงที่มีอิทธิพลเหนือเด็กๆ คริสเตียนทุกแห่งหนในโลกนั้น  ก็คือ พระเยซูรักฉันรู้แน่  ซึ่งแปลมาจาก Jesus Loves  Me  นี้เป็นเพลงที่เก่าแก่มีอายุร่วม 150 ปีมาแล้ว  เพลงป๊อปทั้งหลายที่อยู่ในช่วงเวลานี้  ไม่มีเพลงไหนที่ยังคงอยู่และร้องกันมากมายทั่วโลกเท่ากับเพลงนี้  แต่งโดยสตรีผู้หนึ่งชื่อ Anna Bartlett  Warner เธอเป็นผู้เขียนคำร้องร่วมกับน้องสาว Susan  นักแต่งนวนิยายที่ขายดีที่สุดในสมัยนั้น  คือเรื่อง Say  and  Seal  ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้อ่านมากมายในเรื่องมีบทประพันธ์ที่ตัวละครชื่อ Mr. Linden พยายาม ที่จะปลอบประโลมเด็กที่ใกล้จะตาย   บทประพันนี้ได้กลายเป็นเพลงร้องกันทั่วโลกจนทุกวันนี้  Jesus Loves  Me, for the Bible Tells me  so
                พี่น้องคู่นี้ได้รับการศึกษาสูง  แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือเป็นคริสเตียนที่มั่นคงและถวายตัวอย่างสูงสุด  เขาทั้งสองมีชีวิตอยู่ในแถบแม่น้ำฮัสสันในมลรัฐนิวยอร์คตลอดชีวิต  บ้านหลังเล็ก ๆ อยู่ในถิ่นที่สงบห่างไกลจากความวุ่นวาย  ติดๆ กับโรงเรียนนายร้อยWest Point ที่ผลิตนายทหารชั้นเยี่ยมของกองทัพสหรัฐฯ  สองพี่น้องนี้ได้มีส่วนสำคัญในชีวิตของนักเรียนนายร้อย  คือได้สอนในชั้นรวีวารศึกษาของโรงเรียนนายร้อย  บ้านของเขาทั้งสองนั้นอยู่ที่ Good  Crag ที่ได้ทำพินัยกรรมยกให้แก่โรงเรียนนายร้อย West  Point  ซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นอนุสาวรีย์ของชาติ  พิธีศพของทั้งสองท่าน  ได้ทำตามแบบของศพทหารในระดับสูงสุดที่ทหารอาจให้ได้  เพื่อเป็นการให้เกียรติแด่ท่านทั้งสองที่ได้มีส่วนในการสร้างสรรค์ชีวิตจิตวิญญาณของทหารหนุ่ม ๆ  เมื่อบิดาซึ่งเป็นทนายความที่มีชื่อเสียงในนครนิวยอร์คถึงแก่ความตาย  ได้ทิ้งมรดกไว้เล็กน้อยให้แก่สองพี่น้องที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างขัดสน  ด้วยความจำเป็น  ทั้งสองจึงหันมาจับงานเขียนนวนิยาย  Susan เขียนหนังสือได้รับการต้อนรับอย่างกว้างขวางอยู่หลายเล่ม โดยเฉพาะเรื่อง The  Wide,  Wide  World (โลกที่กว้างใหญ่ไพศาล)  เป็นหนังสือยอดนิยมขายดีเป็นอันดับที่สองรองจากเรื่อง  Uncle  Tom’s Cabin  ส่วน Anna นั้นเขียนนวนิยายออกขายหลายเล่มเหมือนกัน  แต่ชื่อเสียงไม่ดังเหมือน Susan   แอนนาได้เขียนเพลงนมัสการขึ้นหลายบทด้วย
                ทำนองของเพลงนี้แต่งโดยคีตกวีที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น คือ Dr.William B. Baradbury  เกิดที่เมืองยอร์ค  มลรัฐเมน    เมื่อเป็นหนุ่มได้ย้ายมาที่เมืองบอสตั้น  แล้วเป็นบุคคลที่กว้างขวางในวงการศึกษา  ตัวท่านเองทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของคณะนักร้อง และเป็นมือออร์แกนของคริสตจักรแบ๊บติสต์ใหญ่ๆ หลายแห่ง    ท่านเป็นผู้ที่ยอมรับนับถือกันทั่วไปว่าเป็นนักดนตรีสำหรับเด็ก  ๆ งานชิ้นโบว์แดงอย่างหนึ่งของท่านคือเทศกาลเพลงเด็ก  ที่มีนักร้องเด็ก ๆ มาร่วมด้วยนับพันคน  ล้วนแต่งตัวเหมือนกันทั้งหมด  ชีวิตบั้นปลายของท่านได้ให้แก่การประพันธ์เพลงเด็กและสอนนักร้องเด็ก  ได้พิมพ์เพลงสำหรับเด็กออก 59 เล่ม ทำนองของเพลง Jesus Loves Me นั้น ท่านเป็นผู้แต่งและได้เพิ่มข้อร้องรับให้
                เพลงอมตะที่อยู่ในความทรงจำของพวกเรามากมายนั้น  ไม่มีอยู่ในเพลงไทยนมัสการหลายบท  รวมทั้งเพลงบทนี้  แต่เราทั้งหลายร้องเพลงบทนี้ได้  ก็เพราะ ดร.แม๊คฟาร์แลนด์ได้แปลไว้ในหนังสือเพลงนมัสการของท่านเมื่อ 100 ปีมาแล้ว ซึ่งก็คือเพลงที่เราเคยใช้ร้องกันมานาน หนังสือเพลงชีวิตคริสเตียนได้รวบรวมเก็บรักษาเพลงของท่านไว้ได้มากโดยไม่ได้แก้ไขถ้อยคำซึ่งเป็นของเดิม  แต่เพื่อเราจะมีเพลงเก่า ๆ บทนี้ร้องกันได้อีก  จึงขอคัดเพลงบทนี้จากชีวิตคริสเตียนบทที่ 122  ไว้ ณ ที่นี้ เพื่อว่าบางครั้งเราที่เป็นผู้ใหญ่ หรือแก่เฒ่าแล้วในปัจจุบัน  จะได้ร้องเพลงนี้ด้วยกันอีก  ซึ่งจะทำให้ความทรงจำในวัยเด็กของเรากลับมาอีกครั้งหนึ่ง  และระลึกถึงความสุขที่ตะเบ็งร้องเพลงบทนี้อย่างสุดเสียงพร้อมกัน  ใบหน้าของเด็กเล็ก  ๆ เหล่านั้นที่ชื่นชมกับเพลงนี้และร้องกันดังที่สุด  อ้าปากกว้าง  คงจะเป็นภาพกลับมาให้เราได้เห็นในสมองของเราอีก และคงจะมีบางเวลา  ที่พวกเราที่นมัสการอยู่ในโบสถ์  เมื่อร้องเพลงพระเยซูรักฉันรู้แน่ด้วยกันอย่างเต็มเสียง  เวลานั้นก็คงจะมีบางคนที่น้ำตาไหลอยู่ภายใน
พระเยซูรักฉัน
Jesus Loves  Me
1.    พระเยซูรักฉันรู้แน่  พระคัมภีร์มีสอนไว้แท้
แม้ตัวฉันนั้นอ่อนหย่อนแรง  แต่พระคริสต์ทรงฤทธิ์เข้มแข็ง
                (สร้อย)    พระเยซูรักฉัน  พระคัมภีร์สั่งสอนจึงรู้ดังนั้นแน่นอน
2.    พระเยซูเอ็นดูรักฉัน  สิ้นพระชนม์เพื่อเปิดสวรรค์
โดยยอมตายบนไม้กางเขน  ช่วยเด็กทั้งหลายพ้นบาปเวร
3.    พระเยซูรักฉันหนักหนา  เป็นดังนั้นทุกวันเวลา 
ฉันป่วยลงพระองค์แลเห็น  เสด็จมารักษาเช้าเย็น
4.    พระเยซูรักฉันอยู่ใกล้   มิทิ้งขว้างในทางใดใด
ฉันจะรักจนถึงวันนั้น  พระองค์มาพาไปสวรรค์

บทที่ 5

อย่างตัวข้าฯนี้ โลหิตพระองค์ (บทที่ 125)

                ในการประกาศฟื้นฟูใหญ่ ๆ เช่นของ Billy Graham Crusade  ทุกครั้งก็จะมีการเชื้อเชิญให้ฝูงชนตัดสินใจรับพระเยซู   ซึ่งเป็นจุดสุดยอดของการฟื้นฟูใหญ่ทุกครั้ง   แล้วเพลง อย่างตัวข้าฯนี้โลหิตพระองค์  ( Just  as  I am, without  one plea)  ก็จะบรรเลงเป็นการเชื้อเชิญ  เราจะได้เห็นภาพที่ตรึงตาตรึงใจ  เมื่อผู้คนหลั่งไหลเดินออกไปข้างหน้าแสดงตัวว่าเขาได้เปลี่ยนชีวิตใหม่แล้ว  เพลงบทนี้มีอยู่ในหนังสือเพลงนมัสการทุกเล่มในโลก เป็นเพลงที่เรารักมากและชีวิตของผู้แต่งเพลงนี้ก็มีเรื่องราวที่จะทำให้เราซาบซึ้งในการร้องเพลงบทนี้ได้ดียิ่งขึ้นถ้าเรารู้เรื่องชีวิตที่น่าจับใจของผู้แต่งเพลงนี้ด้วย
                เพลงอย่างตัวข้านี้โลหิตพระองค์ เป็นเพลงที่กินใจคนเป็นอันมากร้องกันมาแล้ว 170 ปี และก็จะร้องกันต่อไป   เพราะเพลงบทนี้เกิดออกมาจากส่วนลึกของหัวใจสตรีผู้หนึ่งที่กลายเป็นคนพิการขณะที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์ ชื่อ  Chalotte  Elliott (1789/2332-1871/2414,เกิดหลังจากรัตนโกสินทร์สถาปนา แล้ว 7 ปี)  เขียนเพลงนี้ขึ้นจากความรู้สึกที่เคยเสียใจผิดหวังและวุ่นวายใจว่าชีวิตจะอยู่อย่างไร  อนาคตจะมีประโยชน์ต่อไปหรือไม่  ผู้เขียนเป็นชาวอังกฤษอยู่ที่ Brighton   ใช้ชีวิตวัยรุ่นที่วุ่นวายสุดๆ ใช้ชีวิตสนุกสนานไปวันหนึ่ง ๆ  ร่ำรวยมีสตางค์  เพราะเป็นนักวาดที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น เขามีฝีมือทางวาดรูปคนจึงมีผู้คนนิยมมานั่งเป็นหุ่นให้เขาวาด ยอมจ่ายเงินให้ราคาแพงๆ  นอกจากนั้นก็ยังเป็นนักเขียนเรื่องสนุกตลกโปกฮา ทะลึ่ง ๆ ที่มีผู้อ่านติดงอมแงม  เขาไม่ต่างอะไรกับดารายอดนิยมที่วัยรุ่นคลั่งไคล้กันในสมัยนี้ 
เมื่ออายุได้ 30 ปี Chalotte ต้องเผชิญกับความผิดหวังครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น  เธอล้มป่วยลงกะทันหันแล้วกลายเป็นคนพิการไป  โดยจะไม่มีทางดีขึ้นได้อีกเลย Chalotte นอนแซ่วอยู่ในความผิดหวัง  มีแต่ความกลุ้ม   ใจและไม่เข้าใจชีวิต จนวันหนึ่งชีวิตของ Chalotte มาถึงจุดหักเหครั้งสำคัญ  เมื่อวันนั้นที่นักประกาศชาวสวิสผู้มีชื่อเสียงมาเยี่ยมเขาถึงบ้านชื่อ Dr.Ceasar  Malan ได้พูดคุยกับ Chalotte ถึงปัญหาของชีวิตและเรื่องราวของจิตวิญญาณ  Chalotte  ระบายออกถึงความรู้สึกทางอารมณ์ที่ไม่หยุดนิ่ง  เขายังกระเสือกกระสนและเต็มไปด้วยความวุ่นวาย  หาคำตอบไม่ได้  ในที่สุดผู้ประกาศได้วิงวอนให้ Chalotte สงบจิตสงบใจแล้วฟังเขา  ท่านผู้ประกาศพูดกับ Chalotte โดยขึ้นต้นประโยคด้วยคำว่า  “You must come just as you are…” เพื่อให้เขาได้เกิดความคิดความเข้าใจใหม่ว่า  เขาจะต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่จากสภาพอย่างที่เขาเป็นอยู่ในปัจจุบัน  ให้เข้าใจใหม่ว่าทางเดียวที่ยังเหลือสำหรับเขาก็คือ  ให้เข้ามาหาพระคริสต์อย่างคนที่ไม่มีอะไร  มีแต่ความบาป  ที่ต้องการรับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซู  นั่นคือทางใหม่ของเธอตั้งแต่นี้ไป   ให้ขอการยกโทษจากพระองค์ แล้วพระองค์ก็จะทรงรับเธอไว้อย่างสภาพที่เธอกำลังเป็นอยู่นี้แหละ 
                ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา Chalotte จะฉลองวันเกิดแห่งชีวิตใหม่ทางจิตวิญญาณ  คือ วันนั้นในปี 1822/2365  ที่ผู้ประกาศชาวสวิสผู้นั้นได้มาเยี่ยมเขาที่บ้าน และได้เป็นผู้เปิดทางชีวิตเส้นใหม่ให้เขาได้พบกับพระเยซูคริสต์  ที่ทำให้เขามอบถวายชีวิตที่ยังเหลืออยู่นั้น  ซึ่งพิการให้แด่พระองค์ทั้งหมด 
                เพลงซึ่งเป็นชีวิตของเขาบทนี้   Chalotte ไม่ได้เขียนขึ้น   จนอีก 14 ปีต่อมา  (1836/2379)  หลังจากที่หมอบลัดเลย์มาถึงสยามได้ 1 ปี  ถึงแม้จะผ่านไปแล้วหลายปีก็ตาม  แต่ Chalotte ไม่เคยลืมวันนั้น   และคำพูดของ ดร.มาลานที่พูดกับเธอว่า “Just as you are” ซึ่งได้กลายเป็นแก่นสาระของเพลงบทนี้ที่กล่าวถึงว่า “Just as I  Am” หรืออย่างข้านี่แหละ Chalotte อยู่ในสภาพของคนพิการที่มีมือขยับเขยื้อนพอเขียนหนังสือได้   ต้องต่อสู้กับชีวิตเช่นนั้นต่อมาอีก 50 ปี  จนกระทั่งวันสุดท้ายมาถึงเมื่ออายุได้ 82 ปี 
                Chalotte  Elliote  เขียนไว้ว่า  พระองค์ทรงทราบ  และก็มีแต่พระองค์เดียวเท่านั้นที่จะทราบได้ถึงทุกสิ่ง  ที่ทุกๆวันทุกๆชั่วโมงที่ฉันจะต่อสู้กับความรู้สึกที่พ่ายแพ้ต่อความอ่อนแอของฉัน  ฉันรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเต็มไปด้วยความรู้สึกบีบคั้นเหนื่อยหน่าย  แต่ฉันจะไม่พ่ายแพ้กับความรู้สึกทางอารมณ์เหล่านั้นให้เป็นอุปสรรคปัญหาขัดขวางฉัน เพราะเมื่อทุกเช้ามาถึงฉันจะตื่นขึ้นด้วยคำขวัญประจำใจที่ว่า  ...ถ้าผู้ใดจะตามเรามา  ให้ผู้นั้นเอาชนะตนเองแล้วแบกกางเขนตามเรามา
                Chalotte ใช้เวลาขณะเป็นคนพิการเขียนเพลงนมัสการและรวบรวมเพลงนมัสการที่จะให้กำลังใจคนพิการออกเผยแพร่  เพลง  Just   as  I  am   ปรากฏอยู่ในหนังสือรวมเพลงของเธอฉบับพิมพ์ครั้งที่สอง ในปี ค.ศ 1836/2379  หนังสือเพลงเล่มนี้รวบรวมเพลงไว้ 150 เพลง แต่ที่เป็นของ Chalotte มีอยู่ 112 เพลง
                Chalotte บันทึกไว้ว่า เมื่อดิฉันเขียนเพลง Just as I am ,without one Plea (อย่างตัวข้าฯนี้โลหิตพระองค์)  นั้น  ดิฉันรู้สึกสิ้นหวังและเห็นว่าชีวิตไม่มีประโยชน์อะไรอีก  ขณะนั้น  น้องชายของดิฉันพาไปพักอยู่ด้วยที่บ้านของเขา   เขาเป็นศิษยาภิบาลของโบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองนี้เอง  เขากำลังยุ่งอยู่กับการหาเงิน  เรี่ยไรไปทุกแห่งหนเพื่อจะนำเงินมาสร้างอาคารเรียนสำหรับให้ความช่วยเหลือแก่ลูกๆศิษยาภิบาลที่ยากจน  วันหนึ่งน้องชายของดิฉันมายืนอยู่ข้างเตียง  ดิฉันหันไปพูดกับเขาว่า เมื่อฉันเห็นเธอและสมาชิกคริสตจักรกำลังสาละวนวุ่นกันเต็มที่ เพื่อจะขอเงินมาจากผู้ถวายสำหรับอาคารใหม่หลังนั้นแล้ว  ฉันก็รู้สึกว่าตัวฉันนี้น่าอายมากเพราะเป็นคนที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย  ฉันปรารถนาเหลือเกินที่จะมีส่วนช่วยเหลือแบ่งเบาภาระปัญหาได้บ้าง  แทนที่จะมานอนเหยียดยาวอยู่อย่างนี้ 
                ศิษยาภิบาล H.V.Elliotte  พูดอย่างนิ่มนวลและสุขุมว่า “Chalotte ผมไม่อยากได้ยินพี่พูดอย่างคนหมดหวังเช่นนั้นอีก  เพราะพี่ควรจะรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงประทานตะลันต์พิเศษให้กับพี่  ให้สามารถเขียนและประพันธ์บทกวีออกมากมายซึ่งเป็นกำลังใจให้แก่คนอื่นและเป็นอาหารจิตวิญญาณแก่คนนับไม่ถ้วน  อ้อ! ดูเหมือนว่าเช้าวันนี้เองพี่กำลังเขียนบทประพันธ์ใหม่อยู่ใช่ไหม
              แล้วน้องชายก็ชี้ไปที่กระดาษซึ่งวางอยู่ข้างหมอนพร้อมกับพูดว่า นั่นไง  ขอให้พี่ได้อ่านให้ผมฟัง
                แล้ว Chalotte ก็หยิบบทประพันธ์ที่เพิ่งเขียนเสร็จคือ Just  as  I am, without  one plea  ออกอ่านจนจบ  มอบให้นำไปพิมพ์โดยยกรายได้ทั้งหมดสำหรับการสร้างอาคารใหม่
                สิ่งที่เกิดขึ้นตามมานั้น ได้นำความประหลาดใจให้แก่น้องชายอย่างไม่น่าเชื่อ  คือเมื่อเอาบทประพันธ์นี้ออกพิมพ์จำหน่ายไปนั้น  ปรากฏว่าได้เงินมามากมายในเวลาอันสั้น  ซึ่งมากกว่าที่สมาชิกช่วยกันหาเพื่อการก่อสร้างตึกเรียนหลังนั้นมาแล้วเป็นเวลานานเสียอีก  เมื่อ Chalotte  Elliotte ถึงแก่ความตาย มีผู้พบว่าในกองกระดาษเอกสารของเธอนั้น   มีจดหมายที่เขียนมาบอกเล่าถึงความยิ่งใหญ่ของเพลง  Just  as  I am, without  one plea    ที่มีต่อพวกเขาและต้องการจะขอบคุณสำหรับบทประพันธ์อันยิ่งใหญ่นั้น  เป็นจดหมายที่ส่งมาจากทั่วโลกนับพันฉบับ 
                ในวันที่น้องชายถึงวาระเกษียณได้กล่าวไว้ว่า ในช่วงระยะเวลาการทำงานเป็นศิษยาภิบาลของผมนั้น  ผมได้เห็นว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น  แต่ผมมีความรู้สึกว่าสิ่งที่เป็นประโยชน์ยิ่งใหญ่สำหรับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นก็คือเพลงบทนี้ของพี่สาวผม ยิ่งใหญ่กว่าคำเทศนาที่ผมได้เคยเทศน์มาทั้งหมดเสียอีก  และที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือการที่หญิงพิการคนหนึ่งได้มอบตะลันต์ความสามารถของเขาที่ยังมีเหลืออยู่นั้นให้แด่พระเจ้า  แล้วพระเจ้าได้ทรงอวยพระพรให้แก่สิ่งที่ยังเหลืออยู่นั้นกลายเป็นพระพรสำหรับคนมากมายมาแล้ว  และก็จะเป็นพระพรสำหรับคนรุ่นหลัง ๆ อีกต่อไป
                เมื่อนิรันดร์กาลมาถึงเท่านั้น   ที่จะรู้ได้ว่า มีชีวิตมากมายเพียงไร ที่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นให้เป็นชีวิตสำหรับพระเจ้า  อันเป็นอิทธิพลของเพลงซึ่งเป็นบทประพันธ์ที่เขียนมาจากปลายปากกาของหญิงพิการคนหนึ่ง
                เพลงนี้เป็นเพลงที่เชื้อเชิญให้คนนับหมื่นนับแสนคนลุกขึ้นตัดสินใจถวายตัวแด่พระคริสต์มาแล้วทั่วโลก  แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังเป็นเพลงที่มีศาสนศาสตร์อันยิ่งใหญ่อันเป็นความเชื่อศรัทธาของคริสเตียน  ที่จะเตือนให้คริสเตียนได้สำนึกว่า  การที่เราจะยืนอยู่อย่างนิจนิรันดร์กับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น  ย่อมเกิดขึ้นจากพระกรุณาเมตตาของพระเยซูคริสต์เท่านั้น  หาใช่เพราะความดีความสามารถ ความมั่งคั่งร่ำรวยของเราเองแต่ประการใด  สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิตและเพียงพอสำหรับชีวิตของเราทุกคนในแต่ละวันนั้น  ปรากฏอยู่อย่างครบถ้วนในเพลงบทนี้ ซึ่งเป็นคำพยานของ Chalotte Elliotte 
               











 








บทที่  6

ความรักเป็นสายสัมพันธ์ (บทที่ 208)

                เพลงความรักเป็นสายสัมพันธ์ เป็นเพลงนมัสการที่คริสเตียนรักและร้องกันทุกแห่งหน  หนังสือเพลงนมัสการทุกเล่มในโลกจะมีเพลงบทนี้อยู่ด้วย  แม้จะเป็นเพลงที่แต่งร้องกันครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1782/2325  ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นรัชสมัยของพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ จนถึงบัดนี้มีอายุ  220 ปีมาแล้ว  เพลงซึ่งมีอายุเท่ากับกรุงเทพมหานครบทนี้ ก็ยังฮิตอยู่และยังจะฮิตอีกต่อไป

                ถ้าเรารู้เรื่องความเป็นมาของเพลงนมัสการบทนี้  เราก็จะร้องด้วยความซาบซึ้งและมีความหมายสำหรับจิตวิญญาณอีกมาก  เป็นเพลงแห่งความรัก  ซึ่งเป็นความรักระหว่างศิษยาภิบาลจนๆ กับสมาชิกในคริสตจักรที่เป็นคนบ้านนอกที่ไม่อาจสูญเสียศิษยาภิบาลของตนที่จะย้ายไปทำงานอยู่ในคริสตจักรที่มหานครลอนดอนได้  เพลงนี้จึงเป็นเพลงอนุสรณ์แห่งความรักระหว่างศิษยาภิบาลกับลูกศิษย์ของท่าน
                ผู้ประพันธ์เนื้อร้อง คือ  John  Fawcett (1740/2283-1817/2360) เป็นลูกชาวบ้านที่จน ๆ  ใน Yorkshire เมื่ออายุได้ 16 ปี  เขาได้ตัดสินใจยอมรับพระคริสต์ในการฟื้นฟูของนักประกาศชื่อดัง George  Whitefield  เมื่ออายุได้ 26 ก็ได้สถาปนาเป็นศาสนาจารย์ของคริสตจักรคณะแบ๊บติสต์  John ได้ตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้าให้ไปทำหน้าที่ศิษยาภิบาลที่ Wainsgate ซึ่งอยู่ในชนบทห่างไกลความเจริญทางเหนือของอังกฤษ  ผู้คนยากจน  ไม่มีศาสนาจารย์ผู้ใดที่จะยอมไปที่นั่น  เพราะนอกจากความโง่เขลาเบาปัญญาของคริสเตียนชาวบ้านที่นั่นแล้ว  หมู่บ้านแห่งนั้นเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหมู่บ้านนักเลงหัวไม้
                ศิษยาภิบาล John  Fawcett เป็นนักเทศน์ที่สามารถให้อาหารจิตวิญญาณแก่สมาชิกของตน  จนเป็นที่พอใจของคนยากไร้เหล่านั้น  ท่านได้ใช้เวลาให้ความรู้แก่ลูกศิษย์ที่ใคร ๆ เห็นแล้วก็ว่าโง่เขลา  สามารถเอาชนะพวกนักเลงจนหลายคนได้กลายเป็นสมาชิกที่โบสถ์ของท่าน  สมาชิกสามารถที่จะเลี้ยงดูท่านอย่างดีที่สุดด้วยการถวายเงินให้ได้เพียงปีละ 200 ดอลลาร์  และก็เป็นจำนวนเดียวกันนี้ที่ท่านได้รับจนถึงวันสุดท้ายแห่งชีวิตเมื่ออายุได้ 77 ปี
ข่าวการทำงานของ John Fowcett เป็นที่โจษจันกันในวงการคริสตจักรแบ๊บติสต์ โดยเฉพาะการเทศนาของท่าน คริสตจักรใหญ่ที่ถนน  Carters Lane  ในกรุงลอนดอนได้เคยเชิญท่านไปเทศน์เป็นที่จับใจและพอใจของมวลสมาชิก แล้วก็ส่งคำเชิญมาให้ท่านไปเป็นศิษยาภิบาลแทนDr.Gill   ศิษยาภิบาลซึ่งรับใช้คริสตจักรบ้านนอกมาแล้ว 7 ปี อยู่ในความแร้นแค้น  เวลานี้มีลูกหลายคนแล้วที่ต้องพลอยอดอยากและมีชีวิตยากลำบากไปกับพ่อ ต้องกินมันเทศกันมานานแล้ว  ท่านจึงตอบรับคำเชิญคริสตจักรในกรุงที่ใหญ่โตมาก  ด้วยความหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตและอนาคตของลูกๆ ดีขึ้น
                ข่าวการจากไปของศิษยาภิบาลได้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในหมู่สมาชิก  ทำให้บรรยากาศของโบสถ์และบ้านตึงเครียด  เพราะเสียดายที่ศิษยาภิบาลผู้นี้ได้ให้ชีวิตในการสร้างสรรค์พวกเขาขึ้นมา  จากความโง่เขลากลายเป็นผู้ที่รอบรู้  และนักเลงกลายเป็นผู้ประกาศพระกิตติคุณไป  แต่ก็ไม่อาจจะขัดท่านได้  เพราะสงสารที่ครอบครัวของท่านต้องทนทุกข์ทรมานในความแร้นแค้นมานานแล้ว  แม้เป็นการสมควรที่ท่านจะต้องจากไป  แต่ในห้วงลึกของหัวใจนั้นทุกคนได้ลงความเห็นว่าจะให้ท่านไปไม่ได้ เพราะจะมีใครอีกที่จะยอมมาทำงานกับคนจนๆ อย่างพวกเขา
                อย่างไรก็ดี  วันที่จะต้องจากไปของครอบครัว Fawcett ก็มาถึง  ท่านได้เทศนาในวันอาทิตย์เป็นครั้งสุดท้ายเพื่ออำลา  ทำให้ที่ประชุมต้องน้ำตาไหลทุกคน  เข้าของสัมภาระได้บรรจุหีบห่อเรียบร้อยแล้ว  เช้าวันจันทร์เกวียนก็มาเทียบที่หน้าบ้าน  ขณะที่กำลังขนของขึ้นเกวียนนั้น  ท่านก็บอกให้ลูกๆ ขึ้นเกวียนได้  บรรดาสมาชิกก็พากันมาห้อมล้อมร่ำลาท่านด้วยน้ำตาไหลแล้วพูดถึงบุญคุณที่ท่านมีต่อพวกเขา  ชาวบ้านถามท่านว่า  แล้วต่อไปนี้เราจะไปพึ่งใครเมื่อเรามีปัญหาครอบครัว  ปัญหาทำมาหากิน  และใครที่ไหนที่จะยอมมาให้อาหารจิตวิญญาณแก่พวกเราอีก  แม้เกวียนพร้อมอยู่แล้วที่จะออกเดินทางได้  แต่ภรรยาของท่านหันมาพูดว่า  “John เราจะจากที่นี่ไปได้อย่างไรเมื่อทุกคนที่มาล้อมรอบพวกเรานั้นก็คือคนที่เรารักจนเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา  ศิษยาภิบาล John  ในขณะที่กำลังยืนงงอยู่นั้น  เพราะไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร  จึงหันมาพูดกับภรรยาด้วยประโยคสั้น ๆ ว่า ผมเองก็รู้สึกว่า เราจะไปจากพวกเขาได้อย่างไร  ครั้นแล้วก็ออกคำสั่งให้ลูก ๆ ลงจากเกวียน  แล้วบรรดาลูกศิษย์ก็ช่วยกันขนของกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้งหนึ่ง  บรรยากาศของหมู่บ้าน  ความรู้สึกของลูกศิษย์ก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน  ในวันอาทิตย์ที่โบสถ์มีแต่ความรู้สึกซาบซึ้งในความรักและในสายสัมพันธ์ที่ไม่อาจทำให้แยกจากกันได้  ศิษยาภิบาล John Fawcett ได้เขียนบทประพันธ์อ่านเป็นส่วนหนึ่งของคำเทศนาของท่าน   ท่านให้ชื่อบทประพันธ์ว่า  ความรักของพี่น้อง (Brotherly Love)  และได้รวบรวมไว้ในหนังสือซึ่งเป็นบทประพันธ์ของท่านอีก 166 บท

                ศิษยาภิบาล John  Fawcett  ยังคงอยู่กับสมาชิกยากจนบ้านนอกต่อไปอีกกว่า 50 ปี  ด้วยเงินค่าตอบแทนจำนวนเท่าเดิม  ท่านได้ใช้เวลาแต่งหนังสือขึ้นหลายเล่ม  เป็นนักเทศน์ที่มีผู้คนศรัทธา  ท่านจึงได้เปิดโรงเรียนสอนพระคัมภีร์และฝึกนักเทศน์ให้มีประสิทธิภาพขึ้นในปี 1777/2320  ต่อมาเมื่อชื่อเสียงของท่านเป็นที่ยอมรับ  ในปี 1793/2336  ก็มีคำเชิญมาอีกจากกรุงลอนดอน  ให้ท่านไปรับตำแหน่งอธิการบดีวิทยาลัยศาสนศาสตร์คณะแบ๊บติสต์ แล้ว John Fawcett ก็ตอบจดหมายปฏิเสธไปทั้งๆที่โอกาสเปิดกว้างสำหรับท่าน
                ศิษยาภิบาลบ้านนอกผู้นี้ได้เขียนหนังสือขึ้นหลายเล่ม บางเล่มเกี่ยวกับการปฏิบัติตนของคริสเตียน  บางเล่มได้รับการพิมพ์ซ้ำแล้วซ้ำอีก  เพื่อเป็นการให้เกียรติในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านและความสามารถที่ท่านได้ทุ่มเทให้แก่พระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้า  มหาวิทยาลัย Brown ที่สหรัฐอเมริกาได้ประสาทปริญญาเอกทางศาสนศาสตร์ให้แก่ท่านในปี 1811/2354 John Fawcett  อยู่กับลูกศิษย์ของท่านจนกระทั่งถึงวันที่ท่านต้องจากไปอยู่กับพระเจ้าในวันที่ 25  กรกฎาคม  1817/2360
                ศิษยาภิบาล John Fawcett ได้รับการกล่าวถึงตลอดมาว่าเป็นชีวิตของผู้รับใช้ที่ถวายตัวเพื่อการพัฒนาจิตวิญญาณ โดยได้เสียสละสิ่งซึ่งเป็นโอกาสที่จะเจริญรุ่งเรืองได้ในชีวิตอันเป็นความใฝ่ฝันของปุถุชน  เลิกคิดถึงความก้าวหน้าที่จะมาถึงตัวเองลูกและเมีย  ชีวิตการเสียสละของท่านจึงยังคงอยู่ในฐานะที่เป็นศิษยาภิบาล John Fawcett ที่แต่งเพลงอมตะ ความรักเป็นสายสัมพันธ์
                เพลงบทนี้ได้แปลไว้ในหนังสือเพลงนมัสการของ ดร.ซามูเอลล์ จี. แม๊คฟาร์แลนด์  ด้วยถ้อยคำง่าย ๆ แต่ดูจะซาบซึ้งกว่าที่พวกเราได้แก้ไขขึ้นมาซึ่งเต็มไปด้วยศัพท์แสง  บรรทัดแรกของเพลงฉบับโบราณนั้นได้ให้คำแปลไว้ว่า
ความรักนั้นไซร้ได้ผูก

1.    ความรักนั้นไซร้ได้ผูก                      จิตใจของศิษย์ทั้งหลาย
ให้สามัคคีเจริญเป็นสุข                      ดังชาวสวรรค์สบาย

2.    เรามากราบวอนตรงหน้า                 ที่นั่งอันงามเฉิดฉัน
รวมซึ่งความกลัวความหวังนา ๆ     ทั้งความชื่นใจด้วยกัน

3.    เราแบ่งสุขทุกข์ด้วยกัน                     ร่วมใจในคราวโพยภัย
ใครๆมีความลำบากยากครัน             ก็พลอยกันร่ำร้องให้

4.    เมื่อถึงเวลาจำจาก                               ทุกคนรู้สึกใจหาย
แต่ถึงกระนั้นใจเราไม่พราก             โดยหวังจะพบกันใหม่

เพลงที่ 7 และ เพลงที่ 8 เป็นผลงานของอาจารย์จันทร์แรม พันธุพงษ์ สตรอบอก
เพลงที่ 7  ก็คือเพลงซึ่งมีเนื้อร้องเช่นเดียวกับเพลงที่ 1   แต่ อ.จันทร์แรม ได้แปล
   และปรับปรุงใหม่สำหรับใช้กับทำนองใหม่ ซึ่งนิยมร้องกันในประเทศ                 
   อังกฤษเพื่อให้เหมาะสมสำหรับใช้เป็นเพลงพิเศษ
เพลงที่ 8  อ.จันทร์แรมแต่งขึ้นเพื่อใช้สำหรับวันไหว้ครู  และได้ใช้ครั้งแรกที่
   โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย  ได้นำมารวมไว้ที่นี่ด้วย โดยหวังว่าจะเป็น
   ประโยชน์ในวันไหว้ครูของโรงเรียนต่าง ๆ ด้วย
บทที่  7  สรรเสริญพระนามพระเยซูคริสต์







บทที่  8  วันไหว้ครู















  

No comments:

Post a Comment