Pages

Thursday, July 21, 2011

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในสายตาของฝรั่ง

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในสายตาของฝรั่ง
(ราชลำนักสยามในทรรศนะของหมอสมิธ หน้า 1-30)
                กรุงเทพฯ ในปีพุทธศักราช 2394 ซึ่งเป็นปีเริ่มต้นของเหตุการณ์ในเรื่องที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้เป็นเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบ สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 70 ปีล่วงมาแล้ว ภายหลังจากที่อยุธยาเมืองหลวงเก่าให้ถูกพม่าบุกเข้าปล้นและเผาทำลายจนกลายสภาพเป็นเมืองร้างไปในที่สุด เหมือนเช่นนกฟีนิกซ์ที่ฟื้นตัวขึ้นมาจากเถ้าถ่านจนกลับมาชีวิตชีวาอีกครั้ง เสมือนเมืองใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากเมืองเก่า และมีสภาพที่งดงามยิ่งกว่าเดิม ด้วยแรงงานของผู้คนมากมายเหลือคณานับที่ช่วยกันขนย้ายกองอิฐขนาดใหญ่จำนวนมากซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของกำแพงและวัดจากเมืองหลวงเก่าบรรทุกลงเรือมายังหมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ห่างจากแม่น้ำลงไปประมาณ 40 ไมล์ นครหลวงแห่งใหม่จึงได้ถือกำเนิดขึ้น ณ สถานที่แห่งใหม่
                เมืองหลวงใหม่แล่งนี้เรียกกันสั้นๆ ในหมู่ชาวสยามว่า กรุงเทพฯ หมายถึง เมืองแห่งเทพยดา มาจากชื่อเต็มว่า กรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทร์ ซึ่งมีความหมายว่า เทพนครอันเป็นที่สถิตแห่งอัญมณีมีค่าของพระอินทร์  ส่วนชื่อบางกอก (Bangkok) มาจากคำว่า บาง (Bang) หมายถึงหมู่บ้าน และคำว่า กอก (Kok) ซึ่งเป็นชื่อของผลไม้ป่าชนิดหนึ่งลักษณะคล้าย ลูกพลัมชาวยุโรปรู้จักเมืองหลวงแห่งนี้ในชื่อ บางกอก โดยใช้เรียกกันมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่ชาวโปรตุเกสเดินทางเข้ามาในประเทศสยามในราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16  แต่สำหรับชาวสยามเองไม่นิยมเรียกชื่อนี้กันเท่าใดนัก
                เมืองหลวงแห่งใหม่เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปี พ.. 2394 มีประชากรหลายเชื้อชาติอาศัยอยู่ปะปนกันกว่า 250,000 คน และส่วนใหญ่จะเป็นชาวจีนเสียมากกว่าชาวสยามซึ่งถือเป็นเรื่องแปลกจนได้เคยมีผู้หยิบยกโครงสร้างของชุมชนแห่งนี้ขึ้นมาพิจารณา ชาวจีนส่วนใหญ่มักจะประกอบอาชีพค้าขายหรือไม่ก็มีกิจการค้าของตัวเอง ธุรกิจการค้าเกือบทุกอย่างภายในเมืองหลวงแห่วนี้จึงตกอยู่ในมือของชาวจีนเป็นส่วนใหญ่ ส่วนชาวสยามจะทำงานด้านบริหารและเป็นบุคคลทุกระดับชั้นที่อยู่อาศัยอยู่รายรอบราชสำนักมีวิถีชีวิตที่ต่างก็พึ่งพาอาศัยผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่าขึ้นไป นับตั้งแต่พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ข้าราชการระดับล่าง ลูกจ้าง ข้าทาสรับใช้ ทั้งหมดประกอบกันเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่รูปปิรามิดมีพระมหากัษตริย์อยู่บนยอดสูงสุด
                ประชากรนอกเหนือจากนี้เป็นชาว ต่างชาติจากประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียงได้แก่ ชาวญวณ ชาวกัมพูชา ชาวมอญ ชาวมลายู และชาวพม่าซึ่งล้วนแต่เป็นกลุ่มชนหลากชาติหลายภาษาที่มีรูปแบบการแต่งกายเฉพาะตนแตกต่างกันออกไปส่วนกลุ่มชาวยุโรปประกอบไปด้วยพวกมิชชันนารีเกือบจะทั้งหมดมีจำนวนทั้งสิ้นไม่เกิน 20 คน
                อาณาเขตที่เป็นตัวเมืองในปัจจุบันตั้งอยู่ทางฝั่งซ้ายของแม่น้ำ ความยาวของกำแพงเมืองโดยรอบวัดได้ราว 4 ไมล์ครึ่ง มีลำคลองหลายสายตัดผ่านไปทั่วทุกหนแห่ง แต่ในปัจจุบันลำคลองเหล่านี้ได้ตื้นเขินและถูกทับถมไปเป็นจำนวนมากจนไม่อาจใช้เป็ยเส้นทางสัญจรทางน้ำได้อีกต่อไป บริเวณที่เป็นตัวเมืองมิได้จำกัดอยู่แต่เฉพาะภายในเขตกำแพงเมือง แต่ยังขยายออกไปตลอดแนวฝั่งแม่น้ำลำคลองบริเวณนอกกำแพงเมืองโดยรอบ ในสมัยก่อนประชากรจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่งยังคงอาศัยตามเรือนแพ เซอร์ จอห์น บาวริ่ง ซึ่งเดินทางเข้ามาประเทศสยามเมื่อปี พ.. 2398 ได้เขียนบรรยายสภาพเมืองหลวงแห่งนี้ไว้อย่างงดงามตามที่เขได้พบเห็นขณะล่องเรือไปตามลำน้ำว่า  ยิ่งเดินทางลึกเข้าไปในสภาพบ้านเรือนผู้คนก็ยิ่งหนาแน่น จำนวนเรือเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับเสียงพูดคุยของผู้คนที่ยิ่งดังขึ้นๆ ภาพยอดแหลมของหลังคาโบสถ์ตลอดจนปราสาทราชวังเริ่มปรากฎให้เห็นเหนือบริเวณเรือกสวนและแนวป่า พ้นหมู่พันธุ์ไม้เขียวชอุ่มขึ้นไปแลเห็นหลังคาอาคารสีสันสะท้อนกับแสงแดดเป็นประกายวาววับ เรือสำเภาสีสันฉูดฉาดประหลาดตา ประดับธงสีสันสดใสล่องลอยอยู่ห่างท่ามกลางคลื่นลม ตลอดสองฝั่งแม่น้ำมีเรือบรรทุกสินค้าแล่นต่อกันเป็นแนวยาว ภายในเรือแออัดไปด้วยผู้คนทั้งหญิง ชาย และเด็ก สองฟากฝั่งแม่น้ำมีภาพบ้านเรือนใต้ถุนสูงปรากฏให้เห็นอยู่เรียงราย ซึ่งทั้งหมดล้วนแต่สะท้อนให้เห็นถึงการบริโภคและธุรกิจการค้าของเมืองได้เป็นอย่างดี
                ตกกลางคืนเมืองทั้งเมืองจะสว่างไสวไปด้วยแสงจากตะเกียงนับพันๆ ดวงรวมทั้งโคมไฟหลากสี หลายขนาด และต่างแบบอันเป็นทัศนียภาพที่งดงามยิ่ง
                การคมนาคมขนส่งภายในตัวเมืองและอาณาบริเวณโดยรอบใช้เส้นทางสัญจรทางน้ำเป็นหลัก บาทหลวงปาลเลอกัวซ์ได้เคยเขียนเล่าไว้ว่า  การเดินทางไปทุกหนแห่งต้องอาศัยเรือโดยตลอด   การคมนาคมทางบกถึงแม้จะหนทางมากมาย แต่ถนนซึ่งปูด้วยอิฐแผ่นใหญ่จะพบเห็นเฉพาะภายในตัวเมืองและบริเวณที่อยู่ใกล้กับตลาด และรถเทียมม้าก็ยังไม่มีวิ่งทั่วไปในเมืองหลวง เมื่อถึงปลายฤดูฝนน้ำที่ท่วมขังอาณาบริเวณโดยรอบจะส่งผลให้พื้นที่ภายในเมืองส่วนใหญ่ล้วนจมอยู่ในน้ำ หลังจากนั้นไม่กี่ปีจึงได้มีการสร้างถนนขึ้นเป็นครั้งแรก มีถนนสายหนึ่งที่ตัดไปรอบๆ แนวเขตกำแพงเมืองด้านใน และถนนอีก 2-3 สาย หรืออาจจะมากกว่านั้น เป็นถนนสายสั้นๆ มีจุดเริ่มต้นอยู่ที่พระบรมมหาราชวัง ถนนใหม่ (New Road) ซึ่งตัดออกไปไกลถึงบ้านหม้อ กว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ก็ในปี พ.. 2407  ถนนสายแคบๆ ที่ตัดเลียบแม่น้ำเป็นระยะทางยาวที่เรียกกันว่าถนนสำเพ็งก็มีบางช่วงที่ยังคงรูปแบบที่เหมือนเดิมไว้จวบจนกระทั่งเมื่อต้นศตววษที่ผ่านมา บริเวณใต้สุดของเมืองเป็นที่ตั้งของตลาดสดขนาดใหญ่ หรือย่านการค้าซึ่งเป็นแหล่งชุมชนของผู้คนนับพันๆคนในแต่ละวัน ตลาดแห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางสำคัญในการจำหน่ายสินค้าจำพวกผลไม้ ผัก ไข่ หมู ปลา และอาหารสดทุกชนิดซึ่งล้วนแต่จำเป็นต่อการยังชีพ ปลาถูกนำใส่ถังมาขายทั้งเป็นๆ และเมื่อถึงตลาดก็จะนำมาถ่ายใส่บ่อพัก  มาร์ควิส เดอ โบวัวร์  ซึ่งเตยมาเที่ยวชมตลาดแห่งนี้เมื่อปี พ.. 2410 ได้บรรยายถึงสภาพที่เขาเห็นได้ว่า  บนแผงลอยที่ตั้งเรียงรายกันอยู่นั้นมีปลามากมายหลายชนิดทั้งปลาฉลามขนาดเล็ก ปลาจำพวกปลาลิ้นหมา ปลาไหล Sunfish และปลาชนิดหนึ่งที่ชอบเกาะติดอยู่ตามลำเรือ และส่งเสียงครืดคราดอยู่ในลำคอ ท้ายสุดก็คืองูเหลือม   ซึ่งเขาจะหมายถึงงูประเภทเดียวกันกับงูฉลามนั่นเองแต่ละปีจะมีผู้คนจับงูมากมายหลายชนิดได้เป็นจำนวนมากทั้งจากในเมืองและตำบลที่อยู่ใกล้เคียง มาร์ควิสยังได้เขียนเล่าไว้อีกว่า  บาทหลวง Larnaudie ซึ่งเคยลิ้มลองอาหารชนิดนี้มาแล้ว ยืนยันว่ารสชาดของมันใช้ได้ทีเดียว
                ปี พ.. 2436 เมื่อการก่อสร้างทางรถไฟสายกรุงเทพฯ-ปากน้ำ สำเร็จลุล่วงถึงบริเวณปากแม่น้ำ ซึ่งช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางเข้าสู่เมืองหลวงไปได้อีกหลายชั่วโมง กรรมวิธีในการเก็บรักษาปลาให้มีชีวิตอยู่จึงมีไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป และค่อยๆ ยกเลิกไปในที่สุด
                ทมั้งหมดที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงทัศนียภาพด้านหนึ่งของเมืองหลวงแห่งนี้ยังมีทัศนียภาพอีกด้านหนึ่งซึ่งอาจจะไม่น่าดูเท่าและมีสภาพเหมือนกับเมืองในเขตร้อนในสมัยก่อนที่มีผู้คนอาศัยอยู่หนาแน่นคือ ขาดการดูแลเอาใจใส่ด้านการสุขาภิบาลและการจัดการเรื่องน้ำดื่มน้ำใช้อย่างถูกต้อง ปราศจากการดูแลด้านการแพทย์แผนใหม่อย่างเหมาะสมเป็นผลให้เกิดการแพร่ระบาดของโรค โรคบิดซึ่งมีแมลงวันเป็นพาหนะนำโรค และโรคท้องร่วงได้คร่าชีวิตพวกเด็กๆไปเป็ดจำนวนมาก อัตราการเสียชีวิตของเด็กในวัย 3-4 ปี มีปริมาณสูง 70 –75 เปอร์เซ็นต์ และยังมีโรคระบาดอีกโรคระบาดอีกโรคหนึ่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำได้แก่ โรคไข้ทรพิษ ย้อนหลังไปในปี พ.. 2383 มิชชันนารีชาวอเมริกันได้นำเอาวิธีการปลูกฝีเข้ามาเผยแพร่ในประเทศสยามเป็นครั้งแรก โดยวัคซีนแห้งถูกส่งมาจากเมืองบอสตันซึ่งในสมัยนั้นต้องใช้เวลาในการเดินทางนาน 5-6 เดือนในระยะแรกพวกมิชชันนารีได้ทดลองปลูกฝีให้แก่เด็กๆในหมู่ของพวกเขาเองก่อน เมื่อได้ผลจึงเริ่มแนะนำแก่ประชาชนโดนทั่วไป การรักษาของพวกเขาได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงส่งแทพย์หลวงไปเรียนรู้วิธีการปลูกฝีและเข้ารับการฝึกฝนอยู่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่เท่าที่เราอ่านพบในปี พ.. 2385 ได้เกิดการขาดแคลนวัคซีนขึ้น โรคไข้ทรพิษจึงได้แพร่ระบาดขึ้นอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่มีความหวังที่จะได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อบำบัดรักษา พวกมิชชันนารีจึงได้ปลูกเชื้อไข้ทรพิษให้แก่พวกเด็กๆและคนอื่นๆ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ ต่อเมื่อมีการนำกำหมายเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนและปลูกฝีมาบังคับใช้เมื่อต้นตริสต์ศตววษที่ผ่านมา โรคไข้ทรพิษจึงสามารถควบคุมไว้ได้อย่างจริงจัง เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าเดินทางเข้ามาในประเทศสยามเมื่อปี พ.. 2445 ประชากรประมาณ 8-10 เปอร์เซ็นต์ ที่พบเห็นตามท้องถนนยังคงป่วยด้วยโรคไข้ทรพิษ แต่หลังจากนั้น 20 ปี ผู้ป่วยด้วยโรคร้ายนี้จึงไม่ค่อยมีปรากฏให้เห็น
                แหล่งน้ำกินน้ำใช้สำหรับชาวสยาม คือ น้ำในแม่น้ำ ในกรุงเทพฯ ระดับน้ำมักจะขึ้นๆลงๆอยู่เสมอ ดังนั้นตลอดฤดูฝนผู้คนจึงจำเป็นต้องเก็บกักน้ำไว้สำหรับใช้ ซึ่งคนที่พิถีพิถันจริงๆ จึงจะทำเช่นนั้น นับจากเดือนตุลาคมเรื่อยไปจนถึงเดือนเมษายนจะไม่มีฝนตกลงมาอีกเลย น้ำในแม่น้ำลำคลองจึงเริ่มแห้งและขุ่นลงทุกที และเมื่อล่วงเข้าเดือนเมษายนน้ำจะเริ่มมีรสชาดกร่อย เมื่อถึงเวลานั้นอหิวาตกโรคจะแพร่ระบาดเป็นประจำทุกปีระหว่างเดือนเมษายนถึงเดือนกรกฎาคม ซึ่งนับเป็นช่วงเวลาอันเลวร้ายที่ผู้คนต้องจบชีวิตลงด้วยโรคร้ายนี้คราวละหลายๆ พันคน และท้ายสุดศพคนตายจากทุกหนแห่งจะถูกนำมาเผาหรือฝังรวมกันที่วัด เราได้อ่านพบเรื่องราวในประวัติศาสตร์อันเลวร้ายนี้จากบันทึกของทางวัด ซึ่งแม้จะไม่สมบูรณ์ทีเดียวนัก แต่เราก็พบว่าโครงกระดูกตั้งแสดงไว้อย่างเปิดเผยตรงบริเวณปากทางเข้า มีบันทึกไว้ว่าอหิวาตกโรคเริ่มแพร่ระบาดในประเทศสยามครั้งแรกเมื่อปี พ.. 2362 โดยระบาดมาจากประเทศอินเดีย และในปีต่อมาประชากรในกรุงเทพฯ ต้องจบชีวิตลงด้วยโรคร้ายนี้นับเป็นจำนวนมาก เมื่อมีผู้คนเสียชีวิตลงมากมายเช่นนั้นวัดจึงไม่สามารถจัดการกับศพเหล่านี้ได้ทันเวลา ในบันทึกยังกล่าวไว้อีกว่าศพคนตายถูกนำมากองสุมไว้กับพื้นดินราวกับกองไม้ แต่ก็ยังน้อยกว่าศพที่ถูกนำไปทิ้งลงแม่น้ำลำคลองมากนัก โรคระบาดในครั้งนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วชนิดที่ไม่มีใครเคยคาดคิดมาก่อน ประชาชนพากันหลบหนีออกจากเมืองไปด้วยความหวาดกลัวพระสงฆ์พากันละทิ้งวัด กลไกการทำงานของรัฐมีอันต้องหยุดชะงักลง บันทึกเหตุการณ์สำคัญของทางราชการในปีนั้นได้บันทึกไว้ว่า  เมื่อวันข้างขึ้นเดือน 7 เวลาประมาณ 3 ทุ่มเศษ แลเห็นแสงสว่างปรากฏมาจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ผู้คนจำนวนมากมีอาการถ่ายท้อง อาเจียน และจบชีวิตลงในที่สุด
                ปี พ.. 2392  อหิวาตกโรคได้แพร่ระบาดอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่งกล่าวกันว่าในช่วงระยะเวลา 1 เดือน มีผู้คนเสียชีวิตลงด้วยโรคนี้นับเป็นจำนวนถึง 15,000-20,000 คน และในปีนั้นเองเจ้าฟ้ามงกุฎซึ่งขณะนั้นทรงดำรงตำแหน่งหัวหน้าคณะสงฆ์ในสยาม ได้ทรงมีบัญชาให้ใช้วัดสำคัญ 3 วัด ในกรุงเทพฯ ได้แก่ วัดสระเกศ วัดบางลำภู และวัดตีนเลน เป็นสถานที่สำหรับเผาศพ สถิติผู้เสียชีวิตที่ถูกนำมาเผาที่วัดทั้ง 3 แห่ง นับตั้งแต่วันที่ 17 มิถุนายน ถึงวันที่ 25 กรกฎาคม รวม 38 วัน มีจำนวนทั้งสิ้น 5,457 ศพ จำนวนศพที่ถูกนำมาเผาสูงสุดใน 1 วันคือ วันที่ 23 มิถุนายน มีจำนวน ทั้งสิ้น 696 ศพ เมืองทั้งเมืองประสบกับความโกลาหลวุ่นวาย ธุรกิจต่างๆมีอันต้องหยุดชะงักลงเนื่องจากผู้คนส่วนใหญ่มีภาะที่จะต้องดูแลผู้ป่วยและจัดการกับศพผู้เสียชีวิต
                ในปี พ.. 2393 ก็เช่นกันการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรคได้ส่งผลให้คลเป็นไม่สามารถจัดการกับศพคนตายได้ทันเวลา  ทั้งไพร่ ผู้ดี มีจนต่างก็ถูกนำมากองรวมกันไว้   เมื่อไม่มีฟืนที่จะเผา  ศพคนตายจึงถูกปล่อยทิ้งไว้เช่นนั้นเป็นเวลาหลายวัน ภายในหลุมที่ขุดลึกแค่เข่าเต็มไปด้วยน้ำที่ไหลออกมาจากร่างกายของผู้ตาย   ศพที่ถูกนำมาโยนทิ้งลงในแม่น้ำยิ่งมีจำนวนมากเข้าไปอีกนายเรือที่นำเรือมาจอดทอดสมออยู่ใกล้ๆ กับกำแพงเมืองสามารถนับจำนวนศพได้ทั้งหมด 170 ศพ ภายในเวลา 2 วัน และไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลังจากที่เรือของเขาได้แล่นออกไปแล้วยังจะต้องมีศพอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกนำมาโยนทิ้งในความมืดของราตรีกาล ประชากรของประเทศต้องจบชีวิตลงในครั้งนี้นับเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่โรคร้ายมักพบจะแพร่ระบาดในหมู่คนจนเช่น  นักโทษ ข้าทาสบริวาส และสามัญชนโดยทั่วไป ส่วนพวกที่มีฐานะความเป็นอยู่ค่อยข้างดีที่อาศัยอยู่ตามบ้านเรือนมีระดับและตามเรือนแพมีอัตราการเสียชีวิตด้วยโรคนี้นับเป็นจำนวนน้อยมาก   อหิวาตกโรคได้แพร่ระบาดจากกรุงเทพฯ ออกไปสู่เมืองทุกเมืองและหมู่บ้านทุกหมู่บ้านทั่วประเทศ
                ปี พ.. 2411 นับเป็นปีที่เกิดโรคระบาดร้ายแรงอีกปีหนึ่ง เช่นเดียวกับในปี พ.. 2416  ที่บันทึกของทางราชการได้บันทึกไว้ว่ามีผู้เสียชีวิตขณะเกิดโรคระบาดในกรุงเทพฯ นับตั้งแต่วันที่ 22 มิถุนายนไปจนถึงวันที่ 21 กรกฎาคม เป็นจำนวนทั้งสิ้น 6,660 คน และกล่าวกันว่าในปี พ.. 2423 จำนวนประชากรที่เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของโรคมีจำนวนถึง 30,000 คน และทั้งหมดนี้คือเหตุการณ์เกี่ยวกับโรคระบาดที่นับว่ารุนแรงที่สุดและยังไม่เคยมีครั้งใดที่โรคจะระบาดรุนแรงเท่ากับเมื่อปี พ.. 2363 และ พ.. 2392 อีกแล้ว
                สำหรับผู้เสียชีวิตที่มีฐานะยากจน ญาติสามารถนำศพมาฝังและเผาได้ที่วัดสระเกศ โดยรัฐจะเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ดังนั้นศพที่ถูกนำมาทิ้งไว้ที่วัดแหล่งนี้จึงมีจำนวนมากกว่าวัดอื่นๆ สถิติที่จดบันทึกไว้ในแต่ละปีสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องวัดถึงสุขอนามัยของเมืองๆนั้นได้เป็นอย่างดี ตามความเชื่อถือของคนโดยทั่วไป ผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคอหิวาตกโรค โรคไข้ทรพิษ และ เสียชีวิตอันเนื่องมาจากการคลอดบุตรถือเป็นการตายที่รุนแรงพอๆ กับการทำอัตวินิบาตกรรม และถูกฆาตกรรม ศพผู้ที่เสียชีวิตจากสาเหตุดังกล่าวจะถูกนำไปฝังทิ้งไว้ประมาณ 1 เดือน หรืออาจจะกว่านั้นเพราะถือกันว่าเป็นการตายที่ไม่ปกติ และถ้าหากวิญญาณของผู้ตายไม่มีร่างที่จะอยู่อาศัย ก็จะกลับไปสิงสู่อยู่ตามสถานที่ที่เคยอยู่เดิม ในช่วงที่เกิดโรคระบาดรุนแรงการนำศพมาฝงังไว้ที่วัดสระเกศไม่สามารถกระทำได้ เพราะไม่มีที่ว่างมากพอที่จะทำเช่นนั้น  เมื่อถึงฤดูมรสุมกระแสน้ำที่เคยไหลรินอยู่ทุกวันเมื่อเชื่อวันก็จะกลายสภาพเป็นน้ำท่วมฉับพลัน ศพส่วนใหญ่จึงลอยอืดขึ้นมา และกลายเป็นอาหารบรรเทาความหิวโหยของสุนัขจรจัดและอีแร้งไปในที่สุด วิธีที่จะแบ่งเบาภาระหนะกในมหกรรมรุมทึ้งกินโต๊ะอันชวนขยะแขยงนี้ก็คือ สัปเหร่อจะแล่ชิ้นส่วนที่เป็นเนื้อออกจากกระดูกก่อน เสร็จแล้วจึงโยนให้เป็นอาหารของสัตว์เหล่านั้น ตามลานวัดเป็นที่สิงสู่ของสุนัขจรจัดแลเห็นอยู่ระเกะระกะ ส่วนบนต้นไม้และหลังคาวัดก็ดำทะมึนไปด้วยฝูงแร้งที่พากันมารุมสวาปามอาหารมื้อสุดท้าย หรือไม่ก็มารอคอยอาหารมื้อต่อไป
                เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า โรคระบาดมีความเกี่ยวพันกับน้ำไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่ก็ไม่มีการดำเนินการใดๆ เพื่อประชาชนเลยแม้แต่น้อย ในขณะที่พระเจ้าแผ่นดินและพระบรมศานุวงศ์ที่ประทับอยู่ภายในพระราชงวังกลับมีการจัดหาน้ำดื่มน้ำใช้มาถวายเป็นการพิเศษซึ่งวิธีนี้จะเริ่มทำครั้งแรกเมื่อใดมิได้มีบันทึกไว้ น้ำสะอาดจะถูกลำเลียงมาจากเมืองเพชรบุรีซึ่งอยู่ไกลออกไปถึง 50 ไมล์ เป็นน้ำจากแม่น้ำที่มีต้นกำเนิดอยู่บนภูเขา ไหลผ่าน กรวด หิน ดิน ทราย จนกรทั่งกลายมาเป็นน้ำสะอาด หลังจากนั้นจึงนำมากักเก็บไว้ในโอ่งขนาดใหญ่ แล้วจึงลำเลียงขึ้นมากรุงเทพฯ โดยทางเรือ การดำเนินการทุกขั้นตอนอยู่ในความรับผิดชอบของเจ้าเมืองซึ่งจะต้องดูและจัดส่งน้ำสะอาดไปให้เพียงพอกับความต้องการ
                เมื่อแรกที่ข้าพเจ้าเดินทางมาถึงกรุงเทพฯ อหิวาตกโรคยังคงแพร่ระบาดอยู่เป็นประจำทุกปี ผู้ที่ได้รับเชื้อในระยะเริ่มแรกและอัตราการระบาดของโรคยังอยู่ในเกรณ์สูง อาการที่ปรากฏจะรุนแรงจนยากที่จะรักษาให้หายได้ การรักษาด้วยยาสมาน ฝิ่น และแอลกอฮอล์ตามแบบชาวยุโรป ก็ไม่ได้เป็นวิธีการที่ดีไปกว่าที่เราเคยใช้กันในยุคกลางมากนัก และไม่ใช่วิธีที่ได้ผลมากไปกว่าการรักษาโดยหมอพื้นบ้านที่พวกเรารู้สึกดูแคลน ในสมัยนั้นการรักษาโดยการให้น้ำเกลือยังไม่เป็นที่รู้จัก ความตายจึงพรากเอาชีวิตผู้เคราะห์ร้ายไปอย่างรวดเร็ว เย็นวันนี้คุณอาจจะนั่งคุยอยู่กับเพื่อนของคุณ แต่บางทีพรุ่งนี้คุณอาจจะต้องไปพบกับเขาที่หลุมฝังศพ สภาพอากาศเมืองร้อนมีผลให้การเก็บรักษาศพไม่อาจทำได้ดีนัก และกว่าที่อหิวาตกโรคจะถูกควบคุมไว้ได้ก็ต่อเมื่อมีการสร้างโรงน้ำประปาขึ้นในกรุงเทพฯ ในปี พ.. 2457
                ในสมัยก่อนโรคมักจะแพร่ระบาดในราวปลายฤดูแล้งระหว่างเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงที่น้ำในแม่น้ำลดลงจนถึงระดับต่ำสุด กล่าวกันว่าหากมีฝนตกลงมาและประชาชนมีน้ำสะอาดสำหรับดื่มพอเพียง อัตราการระบาดของโรคก็จะลดน้อยลงและที่ผ่านมาก็มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ อย่างไรก็ดีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคในระยะแรกๆ ก็ยังเคยเกิดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายนและเดือนกรกฎาคมซึ่งมีฝนตกลงมาอย่างหนักและน้ำในแม่น้ำไหลหมุนเวียนได้โดยสะดวก
นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์  วิถีทางในการดำเนินชีวิตของผู้คนก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไป  พระเจ้าอยู่หัวทรงประกอบไปด้วยคุณลักษณะหลายประการที่น่าสนใจ  และในฐานะที่ทรงเป็นพระราชบิดาของสุภาพสตรีซึ่งเป็นสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้  จึงเป็นการสมควรที่เราจะได้กล่างถึงพระราชประวัติของพระองค์ไว้อย่างคร่าวๆ    ที่นี้
                พระราชประวัติของพระองค์เมื่อครั้งที่ยังทรงพระเยาว์มิได้ถูกบันทึกไว้ด้วยเหตุผลที่ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบข้อมูล  เหตุการณ์สำคัญในพระชนม์ชีพของพระองค์เริ่มขึ้นขณะที่พระองค์ทรงมีพระชนมายุ  20  พรรษา  และทรงตั้งพระทัยที่จะทรงผนวชเพียงชั่วระยะเวลาหนึ่งตามประเพณีของชาวสยามโดยทั่วไป  แต่หลังจากที่ทรงผนวชได้เพียง  2 สัปดาห์  พระราชบิดาของพระองค์ก็เสด็จสวรรคตลงอย่างปัจจุบันทันด่วน  พระนั่งเกล้าฯ  พระเชษฐาซึ่งมีตำแหน่งสำคัญในราชอาณาจักรและยังทรงได้รับการสนับสนุนจากพระมารดาซึ่งแม้จะมีฐานะเป็นเพียงเจ้าจอมแต่ก็เป็นผู้หญิงที่มีเล่ห์เหลี่ยม  ทำให้พระองค์ทรงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้สืบทอดราชสมบัติ  ซึ่งถ้าหากพิจารณากันตามกฎมณเฑียรบาลแล้ว   เจ้าฟ้ามงกุฏพระราชโอรสองค์ใหญ่ซึ่งประสูติแต่พระมารดาที่มีตำแหน่งเป็นพระมเหสีทรงอยู่ในฐานะรัชทายาทอันชอบธรรม  อย่างไรก็ตามแม้ว่าพระนั่งเกล้าฯ  จะทรงมีพระมารดาที่มีฐานะเป็นเพียงเจ้าจอม  แต่พระองค์ก็ทรงมีพระชนมายุมากที่สุดในจำนวนพระราชโอรสทุกพระองค์  เจ้าฟ้ามงกุฎในขณะนั้นก็ยังทรงพระเยาว์  ขาดประสบการณ์และแทบจะไม่มีข้าราชสำนักคนใดให้การสนับสนุน  พระองค์จึงไม่ทรงมีสิทธิเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนก็มิได้ทรงแต่งตั้งผู้หนึ่งผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาท  ด้วยเหตุนี้เจ้าฟ้ามงกุฎจึงต้องทรงยอมรับในโชคชะตาและทรงถือเพศบรรพชิตต่อไปโดยมิได้ทรงเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานราชการแผ่นดิน  แต่พระองค์ก็ทรงมีสิทธิเสรีภาพที่จะกระทำการสิ่งใดก็ได้ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา  ยกเว้นอำนาจในการตัดสินพระทัยเกี่ยวกับเรื่องทางโลก
                เจ้าฟ้ามงกุฏทรงมุ่งศึกษาพระธรรมวินัยและศึกษาภาษาบาลีผ่านทางคำสอนที่แปลแล้วอย่างสุดวิสัยที่จะทรงกระทำได้  และทรงเรียนรู้ในวิชาที่มีพระสงฆ์น้อยรูปนักจะมีวิชาความรู้ได้สำเร็จายในระยะเวลา   3  ปี  แต่ผลที่พระองค์ทรงได้รับแทนที่จะเป็นคำยกย่องสรรเสริญ  กลับกลายเป็นว่าทรงเป็นที่ริษยาของพระสงฆ์รูปอื่นๆ  เมื่อความทราบถึงพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างความนิยมชมชอบแก่เจ้าฟ้าผู้เยาว์พระชันษาผู้ทรงถูกแย่งชิงโอกาสในการสืบทอดราชบัลลังก์  จึงได้ทรงเปิดสอบวิชาเปรียญขึ้นในพระราชวัง  และโปรดให้เจ้าฟ้ามงกุฎทรงเข้าร่วมในการสอบแข่งขันด้วย  และในที่สุดก็เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า  เจ้าฟ้ามงกุฎทรงมีความรอบรู้ในวิชานี้ยิ่งกว่าพระสงฆ์ที่มีความรู้ระดับเปรียญเอก  พระเจ้าอยู่หัวทรงพอพระทัยในผลการทดสอบ  และโปรดให้ตั้งคำถามให้ยากขึ้นไปอีก  แต่เจ้าฟ้ามงกุฎก็สามารถตอบคำถามได้อย่างง่ายดายทุกครั้ง  ความเฉลียวฉลาดรอบรู้ของเจ้าฟ้าผู้เยาว์พระชชัษาพระองค์นี้ได้สร้างความริษยาให้เกิดขึ้นในหมู่พระสงฆ์บางรูป  ในขณะที่เจ้าฟ้ามงกุฎเองก็ไม่ทรงพอพระทัยเป็นอันมาก  และทรงประกาศว่าที่พระองค์ทรงเข้าสอบแข่งขัน  ก็เพราะเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเสด็จฯมาประทับอยู่    ที่นั้นด้วย  มิใช่เพราะทรงปรารถนาชื่อเสียงหรือเกียรติยศใดๆ  หากแต่ทรงตั้งพระทัยที่จะแสวงหาความรู้และทรงต้องการให้เรื่องจบลงแต่เพียงเท่านี้  อย่างไรก็ตามความรู้ที่พระองค์ทรงได้รับก็เทียบได้ถึงระดับเปรียญเอกซึ่งนับเป็นรพะบรมวงศานุวงศ์พระองค์แรกที่ทรงมีพระปรีชาสามารถถึงขั้นนี้
                แต่ชั่วไม่นานหลายสิ่งหลายอย่างในการดำเนินชีวิตของพระสงฆ์โดยส่วนรวมก็เริ่มทำให้เจ้าฟ้ามงกุฎไม่ทรงพอพระทัย  ความเฉื่อยชา   การไร้ซึ่งระเบียบวินัย  ตลอดจนความฉ้อฉลของพระสงฆ์บางรูปได้สร้างความขุ่นเคืองพระทัยให้บังเกิดขึ้นแก่พระองค์  รวมไปถึงการประพฤติปฎิบัติอย่างไม่จริงใจที่ส่งผลให้พิธีกรรมกลายเป็นเรื่องไร้สาระ  พระราชดำริในอันที่จะปฎิรูปสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นสาเหตุทำให้พระองค์ทรงตั้งลัทธิใหม่ขึ้นมาเรียกว่า  ธรรมยุติกนิกาย   หมายถึง ผู้ที่ยึดมั่นในพระธรรมวินัย   หลักธรรมคำสอนที่สำคัญของพุทธศาสนานิกายนี้คือ  การละเลิกการปฎิบัติกิจทั้งหลายทั้งปวงที่ไม่มีผลอื่นใดนอกเหนือไปจากการปฎิบัติสืบทอดต่อๆ กันมา  และการถือปฏิบัติตามกฎระเบียบบางข้อที่มีปรากฎอยู่ในพระธรรมวินัย  รวมไปถึงการปฏิบัติกิจที่มีความสำคัญรองลงมา   เป็นต้นว่าการเดินบิณฑบาตรด้วยลักษณะท่าทีที่กำหนดไว้และการสวดภาษาบาลีด้วยน้ำเสียงที่ออกไปทางอินเดีย
                เมื่อเสวยราชย์แล้วเจ้าฟ้ามงกุฎทรงมีรับสั่งให้พระโอรสและพระนัดดาของพระองค์เปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนานิกายใหม่นี้ด้วยกันทั้งสิ้น   และโปรดให้ทรงผนวชที่วัดบวรนิเวศฯ ซึ่งเป็นแหล่งศูนย์กลางสำคัญของพุทธศาสนานิกายนี้  โดยมีเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์  พระราชโอรสองค์ใหญ่ทรงปฎิบัติตามเป็นพระองค์แรกด้วยการผนวชเป็นสามเณรอยู่นาน  6  เดือนขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 13 พรรษา
                นับตั้งแต่เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชย์  พระองค์ทรงดำเนินความพยายามที่จะลดจำนวนพระสงฆ์ที่มีอยู่มากมายในวัดแต่ละวัดลง  วิถีชีวิตอันเฉื่อยชาที่ซ่อนเร้นอยู่ภายให้ผ้าไตรจีวรสีเหลืองดึงดูดให้ผู้คนที่ไร้คุณค่ากลุ่มหนึ่งเข้าไปดำเนินชีวิตในลักษณะนี้   อาหารที่ได้รับจากประชาชน  เครื่องนุ่งห่มที่ได้รับจากรัฐบาลโดยไม่ต้องเสียค่าตอบแทนใดๆ  ทำให้พวกเขาอยู่ในสภาพที่ไม่ได้ดีไปกว่ากาฝากเท่าใดนัก  และด้วยเหตุที่การสร้างวัดถือเป็นการสร้างกุศลผลบุญที่ไม่อาจมีสิ่งใดมาเทียบได้  เราจึงเห็นมีวัดปรากฏอยู่มากมาย  ขณะที่เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชย์ในกรุงเทพมีวัดอยู่ถึง  54 แห่ง  และมีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่รวมทั้งหมด 3,606 รูป  แม้ว่าพระองค์จะไม่สามรถลดจำนวนของวัดที่มีอยู่อย่างมากมายลงไปได้  แต่ก็ทรงสามารถลดจำนวนพระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่ภายในวัดลงไปได้มาก  วัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในขณะนั้นได้แก่วัดมหาธาตุ และวัดแจ้ง  ซึ่งมีบันทึกๆ ไว้ว่า  มีพระสงฆ์จำพรรษาอยู่ถึง  600 และ  500  รูปตามลำดับ  เจ้าฟ้ามงกุฎทรงสามารถลดจำนวนพระสงฆ์ของวัดทั้งสองแห่งนี้ลงไปได้ถึง 3 ใน 4
                ระหว่างที่เจ้าฟ้ามงกุฎทรงผนวชพระองค์ได้เสด็จธุดงค์ไปตามดินแดนส่วนต่างๆ ขชองประเทศทำให้ได้ทรงมีโอกาสพบปะกับประชาชนอย่างใกล้ชิดซึ่งถ้าหากเสด็จฯ ไปในฐานะพระเจ้าแผ่นดินก็คงไม่อาจปฏิบัติพระองค์เช่นนั้นได้  และการที่ได้ทรงมีโอกาสใกล้ชิดกับประชาชนเป็นการส่วนพระองค์นี้เองที่นับว่าก่อให้เกิดคุณประโยชน์อย่างใหญ่หลวงต่อพระองค์ในเวลาต่อมา
                เดิมทีเจ้าฟ้ามงกุฎทรงจำพรรษาอยู่ ณ วัดสมอรายเป็นแห่งแรก  ต่อมาจึงได้ทรงย้ายมาจำพรรษา ณ วัดมหาธาตุซึ่งเป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดวัดหนึ่งในกรุงเทพฯ  แต่เนื่องจากพระองค์ไม่ทรงโปรดปรานการประทับอยู่ร่วมกับพระสงฆ์หมู่มาก   พระองค์จึงได้ทรงย้ายกลับมาจำพรรษาวัดสมอราย  ซึ่งพระองค์สามารถดำเนินพระชนชีพอย่างสันโดษได้อีกครั้งหนึ่ง
                ปี พ.. 2380  ขณะที่เจ้าฟ้ามงกุฎทรงมีพระชนมายุ  30  พรรษาพระองค์ทรงได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าอยู่หัว พระเชษฐาให้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหารซึ่งเป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 10 ปีก่อนหน้านี้ และคงต้องใช้เวลาอีกนานนานกว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์ ภายในวัดแทบจะไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เลยนอกจากพระสงฆ์ที่จำพรรษาอยู่เพียง 5 รูป วันที่ 11 มกราคม เจ้าฟ้ามงกุฎประทับมาในเรือพระที่นั่งภายใต้ปะรำซึ่งคลุมด้วยผ้าสีแดง ติดตามมาด้วยเรือของเหล่าข้าราชบริพารแล่นมาเป็นคู่ เสด็จพระราชดำเนินมายังพระตำหนักที่พระเจ้าอยู่หัวโปรดฯให้สร้างขึ้นมาใหม่โดยรื้อมาจากของเดิมที่สร้างอยู่ภายในอุทยานพระบรมมหาราชวัง เป็นพระตำหนัก 2 ชั้นทรงยุโรป มีชื่อเรียกว่า พระตำหนักปั้นหยา
                เจ้าฟ้ามงกุฎประทับอยู่ ณ พระตำหนักองค์นี้ตราบจนกระทั่งทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินในเวลา 14 ปีต่อมา ระหว่างนั้นวัดแห่งนี้ไดัรับการทำนุบำรุงให้กว้างขวางใหญ่โต และมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ชื่อเสียงของพระองค์ในการเทศนาสั่งสอนได้แพร่กระจายออกไปทั่วราชอาณาจักร พระองค์ทรงเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่ทรงเทศน์โดยไม่ทอดพระเนตรพระคัมภร์ มีผลให้ประชาชนจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาที่วัดกันจนแน่นขนัดและส่งผลให้วัดแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางของแหล่งความรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเรียนรู้ภาษาบาลีของประเทศ
                ระหว่างที่เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จกลับมาประทับ ณ วัดสมอรายอีกครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ทรงมีโอกาสพบปะกับบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ มิชชันนารีชาวฝรั่งเศสผู้มีความรอบรู้ในภาษาสยามมากที่สุดคนหนึ่ง และได้ทรงศึกษาภาษาละตินตลอดจนวิชาคณิตศาสตร์และดาราศาสตร์จากบาทหลวงผู้นี้ โดยพระองค์ทรงสอนภาษาบาลีแก่บาทหลวงปาลเลอกัวซ์เป็นการตอบแทน
                ปี พ.. 2388 ขณะที่เจ้าฟ้ามงกุฎทรงมีพระชนมายุได้ 40 พรรษา พระองค์ทรงเริ่มศึกษาภาษาอังกฤษจากศาสนาจารย์ เจ.แคสเวล ศาสนาจารย์ ดี.บี.บรัดเลย์ และ ดร.เอส.อาร์. เฮาส์  มิชชันนารีชาวอเมริกัน โดยทรงใส่พระทัยศึกษาอย่างจริงจัง ทรงใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองและได้ทรงถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่พระราชโอรสของพระองค์เองด้วย ในสมัยนั้นภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาที่ใช้ในทางการฑูต และเริ่มเปิดสอนตามโรงเรียนต่าง ๆ บ้างแล้ว เจ้าฟ้ามงกุฎทรงใช้เวลาเพียงไม่กี่ปี ทรงพยายามฝึกพูดและเขียนแม้จะไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เท่าใดนัก พระอาจารย์คนหนึ่งของพระองค์ได้บันทึกไว้ว่า พระเจ้าอยู่หัวสามารถตรัสภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ยังเป็นลักษณะภาษาเขียน ประหนึ่งว่าทรงเรียนรู้จากหนังสือมากกว่าจากการสนทนา
                เจ้าฟ้ามงกุฎทรงมีข้อโต้แย้งในเรื่องศาสนากับพระอาจารย์ของพระองค์เสมอ ๆ ซึ่งก็ตรงกับที่มิชชันนารีเหล่านี้คาดหวัง อย่างไรก็ตามความพยายามในอันที่จะชักจูงให้หันมานับถือคริสตศาสนาก็ดูจะไร้ผล ความยึดมั่นศรัทธาในพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนาที่แท้จริงของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง พระองค์ได้ตรัสกับพระอาจารย์ของพระองค์อย่างตรงไปตรงมาหลังจากที่ทรงมีข้อโต้แย้งกันในคราวหนึ่งว่า ท่านจะต้องไม่คาดหวังว่าพวกเราคนใดคนหนึ่งจะเปลี่ยนใจไปนับถือคริสต์ศาสนา เราไม่มีวันยอมรับในศาสนาที่พวกเราคิดว่าเป็นศาสนาที่งมงายอย่างแน่นอน"
                พระราชสาสน์ที่เจ้าฟ้ามงกุฎทรงเขียนไว้นั้นมีความน่าสนใจและล้วนแต่แสดงให้เป็นถึงพระปรีชาญาณของพระองค์ได้เป็นอย่างดี แม้ว่าภาษาอังกฤษที่ทรงใช้จะมีลักษณะกระท่อนกระแท่นก็ตาม พระราชศาสน์ที่ทรงเขียนถึง เซอร์ จอห์น เบาริ่ง และบุคคลอื่น ๆ พระองค์ทรงลงประมรมาภิไธยในท้ายพระราชสาสน์ว่า S.P.P Mongkut,Rex Siamensium และ Major King of Siam นอกจากนี้พระองค์ยังทรงลงพระนามในหนังสือราชการทุกฉบับด้วยอักษรโรมัน โดยไม่ทรงเขียนเป็นภาษาสยามเลย พระองค์นับเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์แรกที่ทรงลงพระปรมาภิไธยในหนังสือราชการด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เอง พระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อนๆ ล้วนแต่ทรงใช้ตราประทับของพระเจ้าแผ่นดินสืบทอดกันมาตามแบบอย่างในประเทศแถบตะวันออกทุกประเทศที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับตราประจำพระองค์และไม่เคยที่จะทรงลงพระนามด้วยลายพระหัตถ์เลย ในสมัยนั้นการเขียนและการอ่านยังคงจำกัดวงอยู่เฉพาะกับกลุ่มคนจำนวนน้อยมาก ตราประทับจึงทำขึ้นมากมายสำหรับใช้ในแต่ละโอกาสและแต่ละวัตถุประสงค์
                ตลอดระยะเวลาที่เจ้าฟ้ามงกุฎทรงติดต่อคบค้าสมาคมกับพระอาจารย์ชาวต่างชาติเหล่านั้น นับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญยิ่งในพระชนม์ชีพของพระองค์ มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า รูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ยึดถือปฏิบัติกันในประเทศฝรั่งเศส อเมริกา และอังกฤษ น่าจะมีบทบาทสำคัญยิ่งต่อการวางนโยบายในการบริหารประเทศของพระองค์ ในสมัยก่อนมิชชันนารีมิได้มีความสำคัญเพียงแค่เป็นผู้ให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับประเทศหรือกิจการของประเทศนั้น ๆ เท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการชี้นำพระเจ้าอยู่หัวด้วยในขณะเดียวกัน
                เจ้าฟ้ามงกุฎทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทรงติดต่อคบค้าสมาคมกับชาวยุโรป นับตั้งแต่พระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์มีชาวยุโรปเข้ามารับราชการสนองเบื้องพระยุคลบาทเป็นจำนวนมาก และเมื่อถึงวันที่ 18 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันพระราชสมภพ พระสหายพิเศษเหล่านี้จะได้รับเชิญมาร่วมงานในงานพระราชทานเลี้ยงพระกระยาหารค่ำที่จัดขึ้นภายในพระบรมมหาราชวังเป็นประจำทุกปี งานพระราชทานเลี้ยงสำหรับชาวต่างชาติครั้งแรกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม พ.. 2402
เนื่องในพระราชพิธีเฉลิมฉลองพระราชวังแห่งใหม่ แขกรับเชิญมีทั้งพระสหายชาวอเมริกันและชาวยุโรปพระกระยาหารค่ำมื้อนั้นเสิร์ฟด้วยภาชนะเงินซึ่งได้รับการออกแบบอย่างสวยงาม ภายในห้องสว่างไสวไปด้วยแสงจากเชิงเทียนซึ่งประดับประดาอยู่ทั่วบริเวณ มีผู้บันทึกไว้ว่าในปีที่พระองค์เสด็จสวรรคตมีชาวยุโรปรับราชการสนองเบื้องพระยุคลบาทอยู่เป็นจำนวนถึง 84 คน
                เรื่องราวที่กล่าวถึงมีเหตุการณ์ระหว่างที่เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชย์ที่เป็นภาษาอังกฤษนั้นมีอยู่ด้วยกันหลายเรื่อง แต่ไม่มีเรื่องใดที่มีความสมบูรณ์พร้อมในตัวของมัน ส่วนใหญ่จะมีข้อมูลบางอย่างที่ขัดแย้งกันเอง แต่สำหรับเรื่องที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องราวที่ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง และในส่วนที่เกี่ยวกับชื่อของบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในเรื่องนี้น่าจะเป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดีว่าในสมัยก่อนโน้นประเทศสยามยังไม่มีการใช้นามสกุล ข้าราชการจะเป็นที่รู้จักและกล่าวถึงกันโดยทั่วไปตามชื่อตำแหน่งที่เขาได้รับแต่งตั้ง หากมีการเปลี่ยนตำแหน่งชื่อที่เรียกขานก็จะเปลี่ยนไปตามด้วย บุคคลที่ประสบผลสำเร็จในชีวิตบางคนอาจจะมีชื่อที่แตกต่างกันไป 3-4 ชื่อในช่วงชีวิตของคนผู้นั้น ระบบดังกล่าวอาจจะมีประโยชน์ แต่ค่อนข้างเป็นที่สับสนในประวัติศาสตร์
                ในราวต้นปี พ.. 2398 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอาการประชวร ครั้นถึงกลางเดือนมีนาคมพระอาการเริ่มทรุดหนักลงจนมีทีท่าว่าจะเสด็จสวรรคต ปัญหาเกี่ยวกับผู้สืบทอดราชสมบัติได้กลายเป็นหัวข้อสำคัญที่กล่าวถึงกันในหมู่เสนาบดี พระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้พระราชโอรสองค์ใหญ่ของพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์ แต่ติดขัดตรงที่ว่ากลุ่มบุคคลผู้มีอำนาจในราชอาณาจักรขณะนั้นปรารถนาที่จะให้เจ้าฟ้ามงกุฎเป็นผู้สืบทอดราชสมบัติ เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ต่างก็มีความรู้สึกตรงกันว่า เมื่อ 26 ปีก่อนหน้านั้นเจ้าฟ้ามงกุฎได้ทรงถูกกีดกันออกจากราชบัลลังก์มาแล้วครั้งหนึ่ง และในระหว่างนั้นก็มิได้มีเหตุการณ์รุนแรงใด ๆ เกิดขึ้น นอกเหนือจากนี้ชื่อเสียงของเจ้าฟ้ามงกุฎในฐานะที่ทรงเป็นนักบวชและพระสติปัญญาอันชาญฉลาดของพระองค์ก็มีผลต่อการตัดสินใจของพวกเขาเป็นอย่างมาก ความรู้สึกของประชาชนเองก็อยู่เคียงข้างกับเจ้าฟ้าพระองค์นี้ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงทราบในข้อนี้ดี ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าพระองค์จะทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้พระราชโอรสเด็จขึ้นครองราชย์สืบแทน แต่ประชาชนก็เห็นพ้องต้องกันว่า รัชทายาทจะต้องมาจากการเลือกสรร
                วันที่ 15 มีนาคมได้จัดให้มีการประชุมในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์และขุนนางชั้นผู้ใหญ่เพื่อพิจารณาถึงปัญหาข้อนี้ จนถึงขณะนั้นเป็นที่ปรากฎแน่ชัดแล้วว่าพระเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงแต่งตั้งผู้หนึ่งผู้ใดขึ้นเป็นรัชทายาทอย่างเปิดเผย เจ้ากรมท่า (เจ้าพระยาพระคลัง) บุคคลที่มีอำนาจมากที่สุดในประเทศขณะนั้นได้รับการถามความเห็น ซึ่งเขาได้ตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า เขาไม่เห็นว่าจะมีบุคคลหนึ่งบุคคลใดในราชอาณาจักรที่สมควรจะมีสิทธิในพระราชบัลลังก์มากเท่ากับเจ้าฟ้ามงกุฎ และยิ่งไปกว่านั้นเขาได้ตัดสินใจที่จะใช้อำนาจทุกวิถีทางในการสนับสนุนการขึ้นครองราชย์ของเจ้าฟ้ามงกุฎในครั้งนี้
                คำกล่าวยืนยันอย่างชัดแจ้งมีผลโดยตรงต่อที่ประชุม บุคคลอื่น ๆ ต่างก็สนับสนุนความคิดเห็นของเขา ส่วนพวกที่มีความเห็นแย้งก็เป็นอันต้องล้มเลิกความคิดไป สถานการณ์อึมครึมทั้งหลายจึงค่อย ๆ คลี่คลายลง แต่ถึงอย่างไรก็นับเป็นความคิดอันชาญฉลาดที่จะต้องมีการถวายการอารักขาแด่เจ้าฟ้ามงกุฎ กองทัพได้รับคำสั่งให้เตรียมพร้อมหากมีเหตุจำเป็น หลังจากนั้นจึงนำความขึ้นกราบทูลเจ้าฟ้ามงกุฎ ผลปรากฏว่าพระองค์ทรงลังเลพระทัยเนื่องจากทรงห่างเหินจากงานราชการบ้านเมืองมาเป็นเวลานาน พระองค์ทรงเกรงว่าจะไม่
                เช้าตรู่ของวันที่ 3 เมษายน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต หลังจากนั้นจึงได้จัดให้มีการประชุมเพื่อแต่งตั้งรัชทายาทขึ้นในทันที เจ้ากรมท่าและเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ ได้แสดงเจตนารมณ์อย่างชัดแจ้งในอันที่จะสถาปนาเจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และยิ่งไปกว่านั้นเขาทั้งสองยังได้ให้การยืนยันว่า หากมีข้าราชบริพารคนใดขัดขวาง เขาจะใช้กำลังเข้าจัดการเพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว อย่างไรก็ตามก็ยังเป็นที่คาดหวังว่าทุกคนคงจะเห็นพ้องกันเป็นเอกฉันท์เพราะถ้าหากปล่อยให้ล่าช้าไปก็อาจจะนำไปสุ่เหตุการณ์นองเลือดได้ ในฐานะที่บุคคลทั้งสองเป็นผู้ที่คุมกำลังทั้งกองทัพบกและกองทัพเรือเกือบจะทั้งหมด พวกที่ไม่เห็นด้วยจึงถูกขู่จนต้องยอมจำนนไปในที่สุด การประชุมได้ยุติลงและในทันทีที่ย่างเข้าสู่วันใหม่ ขบวนของเจ้ากรมท่าและเจ้าพระยาราชสุภาวดี ว่าที่สมุหนายกได้ออกเดินทางจากพระบรมมหาราชวังไปยังวัดที่เจ้าฟ้ามงกุฎประทับ เพื่อกราบทูลเชิญพระองค์ขึ้นเสวยสิริราชสมบัติ ครั้นถึงรุ่งเช้าเจ้าฟ้ามงกุฎในเครื่องทรงจีวรเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคมายังพระบรมมหาราชวัง ขบวนเสด็จในครั้งนั้นประกอบด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนาง ตลอดจนข้าราชบริพาร เรือพระที่นั่งที่เจ้าฟ้ามงกุฎประทับมีชื่อว่าเรือประจำทวีป ความยาว 74 ศอก (110 ฟุต) ตลอดเส้นทางพระราชดำเนินมีทหารรักษาพระองค์คอยถวายการอารักขาอย่างใกล้ชิด
                เมื่อเสด็จฯมาถึงท่าเทียบเรือเสนาบดีจตุสดมภ์กรมวัง ได้มาเฝ้ารอรับเสด็จฯ และอัญเชิญเจ้าฟ้ามงกุฎประทับบนพระราชยานคานหามเสด็จฯเข้าไปภายในพระบรมมหาราชวัง ขบวนได้มาหยุดอยู่หน้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระราชภารกิจประการแรกที่เจ้าฟ้ามงกุฎกระทำในเวลานั้นก็คือ เสด็จฯเข้าไปภายในพระราชมณเฑียรเพื่อประกอบพระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพพระเชษฐาที่เพิ่งจะเสด็จสวรรคตซึ่งอยุ่ในชุดฉลองพระองค์เต็มยศในท่าประทับนั่ง และในฐานะที่ทรงเป็นใหญ่ในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหมด การประกอบพระราชพิธีต่าง ๆ รวมทั้งทอดพระเนตรขั้นตอนการบรรจุพระบรมศพลงในพระโกศและอัญเชิญพระโกศขึ้นประดิษฐานบนพระแท่นจึงเป็นพระราชภารกิจที่พระเจ้าอยู่หัวองค์ใหม่จะต้องทรงกรำทำ หลังจากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เพื่อให้ข้าราชบริพารทุกระดับชั้นที่รับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทเข้าเฝ้าทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
                พระราชพิธีสรงน้ำพระบรมศพจัดเป็นพระราชพิธีที่มีความสำคัญยิ่งในพระราชพิธีหนึ่งที่จะละเลยเสียมิได้ และหนังสือเล่มนี้ก็ได้กล่าวถึงพระราชพิธีนี้ไว้หลายตอนด้วยกัน ดังนั้นจึงเป็นการสมควรที่จะอธิบายถึงขั้นตอนของพระราชพิธีไว้อย่างสั้น ๆ ณ ที่นี้
                ทันที่ที่ชีวิตมนุษย์ดับสูญร่างกายจะถูกนำมาชำระล้าง เปลี่ยนเครื่องแต่งตัวแล้วนำไปจัดวางลงบนที่นอนหรือเตียงเพื่อรอรับการรดหรือประพรมน้ำศักดิ์สิทธิ์อันเป็นการแสดงความเคารพครั้งสุดท้ายจากญาติพี่น้องและเพื่อนฝูง ถ้าหากผู้ตายมีฐานะยากจนร่างกายจะถูกห่อหุ้มด้วยผ้าขาว ส่วนผู้ที่มียศฐาบรรดาศักดิ์จะแต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบเต็มยศ หรือชุดข้าราชการประดับเหรียญตราและเครื่องหมายต่าง ๆ ส่วนเครื่องราชอิสริยาภรณ์จะวางไว้ด้านข้างลำตัว มือของผู้ตายจะกางออกเพื่อรองรับน้ำซึ่งมีกลิ่นหอมของดอกไม้และผ่านการเสกเป่าจากพระสงฆ์เพื่อความศักดิ์สิทธิ์มาเรียบร้อยแล้ว น้ำที่ใช้รดจะใช้กระบวยตัก ในกรณีของพระเจ้าแผ่นดินการสรงน้ำพระบรมศพจะกระทำที่พระบาท พระเพลาข้างหนึ่งวางทับอยู่บนพระเพลาอีกข้างหนึ่ง
                สำหรับประชาชนที่เสียชีวิตด้วยโรคไข้ทรพิษหรืออหิวาตกโรค สีผิวของร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป ขั้นตอนพิธีนี้จึงได้รับการยกเว้น
                ตามปกติพระบรมศพจะถูกจัดให้อยู่ในท่านอน แต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเล่าว่า พระบรมศพของพระเชษฐาของพระองค์ทรงอยู่ในท่าประทับนั่ง ข้อมูลดังกล่าวปรากฎอยู่ในเอกสารที่ร่างขึ้นโดยพระบรมราชโองการของพระองค์ส่งถึง ฯพณฯ พันเอกบัตเตอร์เวอร์ธ ซี.บี. ผู้ว่าราชการดินแดนสหพันธรัฐมลายู ซึ่งตีพิมพ์ไว้เมื่อปี พ.. 2394
                ข้อเขียนทั้งหมดบอกเล่าถึงเหตุการณ์ขณะที่เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จพระราชดำเนินออกจากวัดเข้าไปภายในพระบรมมหาราชวังหลังจากพระเชษฐาของพระองค์เสด็จสวรรคต ความว่า เมื่อเจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จพระราชดำเนินเข้ามาถึงภายในพระบรมมหาราชวังเรียบร้อยแล้ว พระองค์ได้มาหยุดประทับอยู่ ณ ด้านข้างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย (พระที่นั่งภายในพระบรมมหาราชวังซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงใช้เป็นที่ประทับว่าราชการกับเหล่าเสนาบดี) โดยมีพระบรมวงศานุวงศ์ทุกลำดับชั้นเฝ้ารอรับเสด็จฯ และติดตามพระเจ้าอยู่หัวเข้าไปยังพระที่นั่งอันเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพภายในพระราชมณเฑียร พระบรมศพของพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนทรงอยู่ในท่าประทับนั่ง ทรงเครื่องพระมหากษัตริย์เต็มยศ จากนั้นพระเจ้าอยู่หัวทรงสรงน้ำพระบรมศพตามราชประเพณี แล้วจึงอัญเชิญพระบรมศพประดิษฐานภายในพระโกศทองคำแกะสลักเป็นลายนูนประดับพลอยนพรัตน์ เสร็จแล้วพระบรมวงศานุวงศ์จึงพร้อมกันอัญเชิญพระบรมศพไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท (พระที่นั่งชั้นในที่มีความงดงามที่สุดองค์หนึ่งภายในพระบรมมหาราชวัง) ตามโบราณราชประเพณี
                จากนั้นจึงอัญเชิญเจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จฯ ไปประทับ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และอัญเชิญสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์เสด็จฯไปประทับ ณ พลับพลาหน้าคลังแสงสรรพาวุธ ครั้นถึงเวลาย่ำค่ำพระสงฆ์ย่ำฆ้องกล้อง พระยาพิพัฒนโกษาอ่านคำกราบบังคมทูลความว่า ด้วยพระสติปัญญาอันชาญฉลาดและรอบรู้ในงานราชการตลอดจนแบบแผนราชประเพณี พระบรมวงศานุวงศ์ พร้อมด้วยพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ขุนนาง ข้าราชการ ทหาร และประชาชน จึงพร้อมใจกันอัญเชิญเจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบต่อจากพระเชษฐา
                คืนนั้นเจ้าฟ้ามงกุฎประทับอยู่ภายในพระอุโบสถ จนกระทั่งรุ่งเช้าจึงจัดให้มีพิธีทรงลาสิกขาบท  ภายใต้ปะรำซึ่งคลุมด้วยผ้าสีขาว เจ้าฟ้ามงกุฎทรงเปลื้องเครื่องจีวรแล้วทำพิธีสรงน้ำที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว จากนั้นจึงเสด็จพระราชดำเนินมาปรากฏพระองค์ต่อหน้าประชาชนในชุดฉลองพระองค์สีขาว พระองค์ยังทรงประทับอยู่ ณ พระตำหนักที่สร้างขึ้นเป็นการชั่วคราวภายในพระบรมมหาราชวังจนกระทั่งถึงวันประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
                พระราชพิธีพระบรมราชาภิเษกมิได้จัดขึ้นในทันที โหรคำนวณวันประกอบพระราชพิธีไว้คือวันที่ 15 พฤษภาคม ในระหว่างนั้นเจ้าฟ้ามงกุฎทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกรณียกิจในการบริหารราชการบ้านเมือง และทรงริเริ่มงานปฏิรูปการปกครองซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงรูปแบบจากที่พระเจ้าอยู่หัวองค์เดิมทรงวางไว้ให้เป็นไปตามแบบอย่างที่พระองค์ทรงปรารถนา ในพระราชสาสน์ที่ทรงเขียนถึงพันโทบัตเตอร์เวอร์ธ ผู้สำเร็จราชการแห่งเกาะปริ๊นซ์ ออฟ เวลส์ ลงวันที่ 21 เมษายน ทรงลงพระยศในท้ายพระราชสาสน์ว่า newly elected President หรือ Acting King of Siam และในพระราชสาสน์อีกฉบับหนึ่งลงวันที่ 22 พฤษภาคม ทรงลงพระยศ newly enthroned King of Siam ในท้ายพระราชสาสน์
                ชาวยุโรปทุกคนไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปมีส่วนร่วมในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก แต่จะได้รับเชิญให้ไปปรากฏตัวในพระราชพิธีเถลิงถวัลยราชสมบัติที่จัดขึ้นในเวลาต่อมาของวันเดียวกัน วันที่ 20 พฤษภาคมจึงได้จัดให้มีพระราชพิธีเสด็จเลียบพระนครทางสถลมารค ส่วนพระราชพิธีเสด็จเลียบพระนครทางชลมารคนั้นได้จัดให้มีขึ้นในวันที่ 21 พฤษภาคม ในวโรกาสนี้เจ้ากรมท่าและเจ้าพระยาศรีพิพัฒน์ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นสมเด็จเจ้าพระยาองค์ใหญ่และสมเด็จเจ้าพระยาองค์น้อย ตามลำดับ ในฐานะที่มีส่วนสนับสนุนการขึ้นครองราชย์ของเจ้าฟ้ามงกุฎในครั้งนี้
                เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชสมบัติขณะที่ทรงมีพระชนมายุ 46 พรรษา หลังจากที่ผ่านการเรียนรู้มาอย่างมากมายตลอดช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา การรอคอยมิได้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ พระองค์ทรงใช้เวลาเหล่านั้นศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับประเทศที่การศึกษาแทบจะไม่เป็นที่รู้จักของประชาชน ตลอดจนทรงศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับต่างประเทศ และทรงวางนโยบายในการบริหารประเทศเสียใหม่ พระองค์ทรงเล็งเห็นถึงความเจริญก้าวหน้าของประเทศตะวันตก ซึ่งมีการพัฒนาไปในขณะที่ประเทศทางตะวันออกยังคงย่ำอยู่กับที่ และทรงตระหนักว่าหากประเทศไม่ได้รับการพัฒนาให้ก้าวไปข้างหน้าก็คงไม่อาจยืนหยัดอยู่ต่อไปได้ ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับพระราชดำริของพระองค์ซึ่งนับว่าก้าวไปไกลในยุคนั้นมีอยู่ด้วยกันเป็นจำนวนมาก แต่ถึงกระนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่จะมาเปลี่ยนแปลงการตัดสินพระทัยของพระองค์ได้
                อย่างไรก็ตามเจ้าฟ้ามงกุฎก็มิได้ทรงโดดเดี่ยวเสียทีเดียว บุคคลที่มีความคิดเห็นไปในทางเดียวกันและพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับพระองค์ยังพอมีอยู่บ้าง ใครก็ตามที่ได้มีโอกาสรู้จักบุคคลทั้งสามนี้จะสามารถยืนยันถึงความสามารถที่แตกต่างไปจากบุคคลธรรมดาของพวกเขาได้เป็นอย่างดี ดังนั้นการที่บุคคลทั้งสามได้เข้ามาร่วมงานกับพระองค์จึงก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่หลวงในรัชสมัยของพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้
                สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ พระอนุชาผู้ทรงอยู่ในฐานนะพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สอง ทรงมีความคิดก้าวไกลในการบริหารประเทศมากยิ่งกว่าเจ้าฟ้ามงกุฎ เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้ที่นิยมชมชอบในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และหากจะเปรียบกันในด้านพระสติปัญญาก็ดูเหมือนว่าพระองค์จะทรงเหนือกว่าเจ้าฟ้ามงกุฎด้วยเช่นกัน แต่ด้วยเหตุที่พระราชอำนาจส่วนใหญ่กลับไปตกอยู่ในมือของเสนาบดีอันชาญฉลาด พระราชกรณียกิจของพระองค์จึงไม่ปรากฏเด่นชัดต่อสาธารณชนเท่าที่ควร พระองค์สามารถตรัสและเขียนภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว พระราชวังอันเป็นที่ประทับของพระองค์ก็ทรงสร้างและตกแต่งอย่างมีรสนิยมในแบบยุโรป
                เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ สมุหพระกลาโหม แม้จะมิได้มีฐานันดรศักดิ์เป็นเจ้าแต่ก็เกิดในตระกูลที่เต็มไปด้วยบุคคลที่มีความสามารถ บิดาของเขามีตำแหน่งเป็นสมุหพระกลาโหมในรัชกาลก่อน ตัวเขาเองเป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในการสนับสนุนให้เจ้าฟ้ามงกุฎเสด็จขึ้นครองราชสมบัติแทนที่พระราชโอรสของพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อน และยังได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตและเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ยังทรงพระเยาว์ สมัยที่ยังเป็นหนุ่มเขาได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งหลวงสิทธิ ไปปฏิบัติราชการที่จันทบูรณ์ เมืองชายฝั่งทะเลภาคตะวันออกซึ่งอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้เนื้อแข็ง และเป็นผู้ที่ต่อเรือขึงใบลำแรกตามแบบชาวยุโรป ซึ่งในสมัยนั้นการติดต่อค้าขายกับประเทศจีนยังคงเป็นการค้าทางสำเภาจีน
                บุคคลที่ 3 ได้แก่ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ เสนาบดีว่าการต่างประเทศ (พระคลัง)
                พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนม์ชีพยืนยาวอยู่ทันได้เห็นพระราชปณิธานหลายอย่างของพระองค์ได้รับการปฏิบัติจนเป็นผลสำเร็จ พระองค์ทรงริเริ่มให้มีการสร้างถนนขึ้นเป็นครั้งแรก และทรงสนับสนุนให้มีการจัดพิมพ์หนังสือภาษาไทยและภาษาอังกฤษด้วยเหตุที่ทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในการอ่านสูง ก่อนหน้านั้นจำนวนผู้ที่อ่านหนังสือออกยังมีอยู่ไม่มากนักและผู้ที่เขียนหนังสือได้ก็ยิ่งมีจำนวนน้อยเข้าไปอีกแม้แต่ในหมู่ข้าราชการระดับสูงก็ยังต้องจ้างอาลักษณ์ไว้คอยปฏิบัติหน้าที่แทน นอกจากนี้พระเจ้าอยู่หัวยังทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ถวายฎีการ้องทุกข์ด้วยการแขวนกลอง ไว้ที่หน้าพระบรมมหาราชวัง คำว่า ตีกลองร้องทุกข์จึงกลายเป็นสำนวนที่บอกความหมายถึงการถวายฎีกาที่ทราบกันโดยทั่วไป ส่วนกรมพระตำรวจเป็นหน่วยงานพิเศษที่ตั้งขึ้นเพื่อรับเรื่องราวร้องทุกข์จากประชาชน แต่มีบันทึก บันทึกไว้ว่าพระเจ้าอยู่หัวมักจะเสด็จฯออกมารับเรื่องราวร้องทุกข์ด้วยพระองค์เองทุก ๆ วันอาทิตย์  อย่างไรก็ตามกลองใบนั้นก็ตั้งอยู่ได้ไม่นานเนื่องจากเสียงตีกลองร้องทุกข์ดังขึ้นบ่อยมาก ส่วนการถวายฎีกายังคงปฏิบัติสืบต่อกันมาจวบจนกระทั่งเมื่อรัชกาลที่ผ่านมา โดยพระเจ้าอยู่หัวจะทรงไต่สวนเรื่องราวร้องทุกข์ด้วยพระองค์เอง พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงคาดคะเนว่าในรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงไต่สวนเรื่องราวร้องทุกข์เกือบปีละ 1,000 เรื่อง คดีร้องทุกข์เหล่านี้มีตั้งแต่กฎระเบียบในราชสำนักไปจนถึงปัญหาทะเลาะเบาะแว้งภายในครอบครัว หรือแม้แต่จดหมายเขียนมาขอพระราชทานเงิน
                การปฏิรูปอีกอย่างหนึ่งซึ่งอาจจะดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ส่งผลกระทบอย่างมากต่อประชาชนโดยส่วนรวมได้แก่การปฏิรูปด้านการแต่งกาย ก่อนหน้าที่เจ้าฟ้ามงกุฎจะเสด็จขึ้นครองราชย์ ขุนนางจะไม่สวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ครั้นพอถึงรัชสมัยของพระองค์ พระองค์ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯให้ขุนนางทุกคนสวมเสื้อเวลาเข้าเฝ้าซึ่งอาจจะเป็นเสื้อที่ตัดเย็บด้วยผ้ามัสลินสีขาวหรือผ้าที่ดูดีกว่านี้
                บางทีการปฏิรูปที่นับว่าส่งผลกระทบต่อการพัฒนาประเทศอย่างใหญ่หลวงเห็นจะได้แก่ การว่าจ้างชาวยุโรปเข้ามาช่วยปรับปรุงงานราชการบ้านเมือง การปฏิรูปดังกล่าวนับว่ามีส่วนช่วยให้ประเทศได้มีโอกาสติดต่อกับโลกภายนอก และยังผลให้มีการนำเอาความคิดตลอดจนสินค้าแปลก ๆ ใหม่ ๆ เข้ามาเผยแพร่และที่ได้รับเข้ามาใช้ก็มีอยู่มากมาย นับตั้งแต่การตายของ คอนสแตนติน ฟอลคอน ในปี พ.. 2231 ความรู้สึกของชาวสยามที่มีต่อชาวยุโรปค่อนข้างจะเป็นไปในทางลบ ชาวยุโรปถูกมองด้วยสายตาที่เกลียดชังและหวาดระแวงซึ่งก็เป็นการยุติธรรมดีแล้ว กับการที่ชาวยุโรปเองก็มิได้ปฏิบัติต่อชาวสยามอย่างตรงไปตรงมา พวกที่เดินทางเข้ามาในประเทศแถบตะวันออกในสมัยนั้นแทบจะหาคนที่มีคุณสมบัติดีจริงๆ ได้ยากส่วนใหญ่จะเป็นนักผจญภัยที่เดินทางเข้ามาแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ เป็นวิถีทางที่พวกเขาปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่พวกเขามุ่งหวังก็มิได้แปลกประหลาดจนเกินไปนัก
                อย่างไรก็ตามแม้ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะทรงมีแนวคิดที่สมัยใหม่เพียงใด พระองค์ก็ยังทรงรักษาประเพณีที่ปฏิบัติสืบต่อกันมาแต่ครั้งโบราณไว้อย่างเคร่งครัด พระองค์ยังทรงพอพระทัยในการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และการที่ทรงมีพระราชอำนาจเหนือประชาชนทุกคนโดยไม่มีข้อแม้ ระบบโครงสร้างของสังคมโดยส่วนรวมยังคงยอมรับนับถือในผู้มีอำนาจ ผู้ที่ด้อยสถานะยังคงต้องให้การยอมรับในผู้ที่มีสถานะสูงกว่า และบุคคลที่มีฐานันดรศักดิ์ต่ำกว่าก็จะต้องหมอบคลานกับพื้นเวลาที่อยู่ต่อหน้าบุคคลที่มีฐานันดรศักดิ์สูงกว่า และนั่งอยู่ในท่านั้นตลอดจนกว่าจะออกไปจากบริเวณนั้น ฐานันดรศักดิ์จึงเป็นตัวกำหนดทุกสิ่งซึ่งความคิดนี้ได้ซึมซาบเข้าไปในทุกย่างก้าวของผู้คน และถือเป็นตัวกำหนดสถานะของบุคคลเวลาที่อยู่ในที่ชุมชน แม้แต่ในหมู่พระบรมวงศานุวงศ์ด้วยกันเองก็ยังใช้ลำดับฐานันดรศักดิ์ตลอดจนพระชนมายุของพระราชโอรสและพระราชธิดาแต่ละพระองค์เป็นตัวกำหนดตำแหน่งที่ประทับเวลาที่เข้าเฝ้าอยู่ต่อหน้าองค์พระเจ้าอยู่หัว
                การแสดงออกซึ่งประเพณีดังกล่าวอย่างเห็นได้ชัดได้ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ในหมู่นักประวัติศาสตร์ทุกคนที่ได้มีโอกาสพบเห็น ภาพประชาชนนับร้อยๆ คนจากทุกชนชั้นและทุกสถานะหมอบคลานอยู่เบื้องพระพักตร์ในงานพระราชพิธีสำคัญ ๆ สะท้อนให้เห็นถึงความเท่าเทียมกันว่ามีปรากฏอยู่น้อยมากในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ มันเป็นลักษณะของสมมติเทพ รากฐานของประเพณีต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประชาชนเมื่อเทียบกับในสมัยก่อนแล้วแทบจะเปลี่ยนแปลงไปน้อยมาก การปฏิรูปอย่างแรกที่พระองค์ทรงกระทำในเวลานั้นเป็นวิถีทางที่ถูกต้องก็คือทรงเปิดโอกาสให้ประชาชนได้ออกมายืนรอรับเสด็จฯ ขณะที่ขบวนของพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ผ่าน
                ในอดีตที่ผ่านมาพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อน ๆแทบจะมิได้ทรงมีโอกาสพบปะและใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์มากสักเท่าใด ประชาชนส่วนใหญ่ไม่เคยมีโอกาสแม้แต่จะได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวของพวกเขา ตามกฎมณเฑียรบาลมีข้อห้ามมิให้ประชาชนจ้องมองพระพักตร์ของพระเจ้าอยู่หัวแม้แต่ขบวนเสด็จฯ พระเชษฐาของพระองค์เมื่อครั้งที่ยังทรงอยู่ในราชสมบัติโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงระยะหลังของการครองราชย์ก็แทบจะมิได้เสด็จฯ ออกนอกพระบรมมหาราชวังเลย ยกเว้นจะเสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปยังวัดในเมืองเพียงปีละครั้ง และในโอกาสเช่นนี้ประชาชนจะไม่ได้รับอนุญาตให้จ้องมองขบวนเสด็จฯ เรือทุกลำถูกกันออกไปพ้นจากลำน้ำ ประชาชนได้รับคำสั่งให้เก็บตัวอยู่แต่ภายในบ้านเรือน พระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อนไม่ทรงโปรดปรานชาวยุโรปทุกคนและทรงกลัวความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากชาวยุโรปในทุก ๆ ด้าน
                พระบรมราชโองการของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงต่อประชาชนชาวสยาม และได้ถูกกล่าวถึงไว้ในหนังสือบางกอกคาเลนเดอร์ ฉบับประจำปี พ.. 2405 “พระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันทรงแตกต่างไปจากพระเจ้าอยู่หัวองค์ก่อน ๆพระองค์ไม่ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้ประชาชนต้องหลบซ่อนตัวเวลาที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินผ่าน แต่ทรงเปิดโอกาสให้ทุกคนปรากฏตัวได้อย่างเปิดเผยด้วยกิริยาอาการที่แสดงถึงความอ่อนน้อมและอยู่ในอาการที่สงบ นอกจากชาวยุโรปแล้วไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ลุกขึ้นยืนขณะเข้าเฝ้า ชาวสยามอาจจะทำได้แค่เพียงคุกเข่าและมองดูพระเจ้าอยู่หัวของพวกเขาด้วยสายตาที่ชื่นชม ซึ่งเท่านี้ก็คงจะช่วยให้พระองค์ทรงตระหนักถึงความจงรักภักดีของพวกเขาได้มากกว่าการหลบซ่อนตัวตามแบบอย่างประเพณีโบราณ แต่ก็อาจจะมีโอกาสที่จะทรงได้รับอันตรายจากฝูงชนที่อยู่รอบข้างด้วยเช่นกัน
                ประเพณีดังกล่าวได้ปฏิบัติสืบทอดกันมาจนถึงพระราชโอรสของพระองค์ ซึ่งเราได้มีโอกาสพบเห็นภาพขบวนเสด็จพระราชดำเนินครั้งสุดท้ายเมื่อคราวที่พระองค์จะเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ แม้ว่าพระองค์จะไม่สามารถล้มเลิกประเพณีดังกล่าวลงได้อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่เคยปรากฏให้เห็นอีกเลยในงานพระราชพิธีที่จัดขึ้นท่ามกลางสาธารณชน
                บ่อยครั้งที่ผลงานการปฏิรูปที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงกระทำไว้ได้ถูกบดบังโดยผลงานของพระราชโอรสของพระองค์เอง แต่ถึงอย่างไรพระองค์ก็นับได้ว่าเป็นผู้ที่ปฏิรูปประเทศให้ก้าวไปสู่ความทันสมัยอย่างแท้จริง และเป็นผู้จุดประกายความคิดให้ผู้คนหลีกหนีจากการปฏิบัติตามประเพณีแบบเก่า และรู้จักที่จะวางรากฐานในการดำรงชีวิตของตนเองขึ้นใหม่ การปฏิรูปเหล่านี้ได้สืบทอดต่อมาจนถึงพระราชโอรสของพระองค์ เจ้าฟ้ามงกุฎทรงได้รับการถวายความเลี้ยงดูมาในสภาพแวดล้อมแบบตะวันออก แต่ความรู้ที่พระองค์ทรงได้รับในรูปแบบของวัฒนธรรมตะวันตกส่วนใหญ่จะเกิดจากความคิดริเริ่มและความมานะพยายามบากบั่นของพระองค์เอง ในขณะที่เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ทรงได้รับการปลูกฝังแนวความคิดแบบตะวันตกมาตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์และด้วยเหตุที่ทรงทราบว่าเจ้าฟ้าพระองค์นี้จะทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินในภายภาคหน้า พระราชบิดาของพระองค์จึงทรงให้ความสนพระทัยในเรื่องการศึกษาของพระราชโอรสองค์นี้มากเป็นพิเศษ


No comments:

Post a Comment