Pages

Thursday, July 21, 2011

ยอดหญิงวีรสตรีของคริสตจักรไทย


(ปกหน้าหนังสือ)




ยอดหญิงวีรสตรีของคริสตจักรไทย
โดยพิษณุ  อรรฆภิญญ์












(ปกหน้าด้านใน)

รูป 2 รูป (เลือกเองจากภาพที่ส่งมา)










                                                  
                                                               เอกสารหมายเลขที่  40





ยอดหญิงวีรสตรีของคริสตจักรไทย
โดยพิษณุ  อรรฆภิญญ์





ผู้ถวายเพื่อพันธกิจการพิมพ์หนังสือเล่มนี้
ลูกศิษย์ของคุณครูเจตนี  อรัญญเกษม
                                                
                                       



(ปกรองด้านใน)

























พิมพ์ครั้งที่  1     สิงหาคม  2003  จำนวน   5000  เล่ม
พิมพ์ที่  บริษัท  เบล็สซิงการพิมพ์  จำกัด โทร. 0-2233-8007,  0-2234-9611




(รูปเดี่ยว  คุณครูเจตนี)














Happy Birthday
คุณครูเจตนี
       วันอังคารที่ 30  กันยายน 2003 ศิษย์เก่าของโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย รุ่นต่างๆ   จะมาชุมนุมกันที่บริเวณโรงเรียน  เพื่ออวยพรแด่คุณครูเจตนี   อรัญญเกษม
คุณครูที่รัก  ซึ่งวันนั้นท่านจะมีอายุครบ 90 ปี
          ความรักและความทรงจำที่บรรดาลูกศิษย์มีต่อท่านนั้น  มิได้เลือนลางหายไปตามกาลและเวลาจากจิตใจของลูกศิษย์เลย   คุณครูเจตนีเป็นเพียงอีกไม่กี่ท่านของคุณครูเก่าที่ยังกระฉับกระเฉงสดชื่นอยู่เสมอ  แม้ว่าคนรุ่นใหม่ส่วนมากจะไม่รู้จักท่าน  แต่คุณความดีที่ท่านได้ทำไว้นั้นยังคงเป็นที่จดจำของบรรดาศิษย์เก่าโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยและของคริสตจักรวัฒนาอยู่เสมอ

       เมื่อเป็นวัยรุ่นคุณพ่อได้ส่งไปรับการศึกษาที่สิงคโปร์  และเมื่อสำเร็จแล้วได้มาร่วมงานอยู่ที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย  ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1934  งานของท่านที่ได้ทำตลอดเรื่อยมาเกี่ยวกับการเงินของโรงเรียน 

          เมื่อส่งครามโลกครั้งที่สองเกิดขั้น  กองทัพญี่ปุ่นได้ยึดโรงเรียนทำเป็น    โรงพยาบาล  ครูอาจารย์และนักเรียนจึงต้องแยกย้ายจากกันไปอย่างฉับพลัน  แต่   โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยยังคงอยู่ด้วยความรักและสมัครใจที่จะผดุงรักษาโรงเรียนไว้โดยครูอาจารย์ที่กระจัดกระจายนั้น 

          วัฒนาวิทยาลัยได้เปิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง  เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสุดสิ้นลง  คุณครูเจตนีเป็นท่านหนึ่งในบรรดาครูเก่าทั้งหลายที่ได้กลับมาช่วยกันเปิดโรงเรียน 

          ท่านยังคงดูแลเรื่องการเงินของโรงเรียนอยู่  แต่ก็ได้ช่วยสอนภาษาอังกฤษด้วย  นักเรียนชอบและรักคุณครูมาก  เพราะท่านมีวิธีสอนให้ได้เรียนกันอย่างสนุกสนาน  งานใหม่ที่ท่านได้รับเพิ่มขึ้นก็คือ  เป็นผู้ดูแลนักเรียนทุนฟูลไบรท์  ซึ่งเป็นนักเรียนที่ได้รับทุนเพราะเป็นนักเรียนที่เรียนดี  ได้รับเลือกส่งมาจากต่างจังหวัด  อำเภอและตำบลที่ห่างไกล  เราพอจะจินตนาการได้ว่านักเรียนเหล่านั้นคงจะว้าเหว่และคิดถึงบ้าน  เวลานั้นไม่มีโทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์ทางไกลที่จะติดต่อหากันได้เหมือนทุกวันนี้  คุณครูเจตนีจึงเปรียบเสมือนแม่ของบรรดาเด็กๆ เหล่านี้  นักเรียนฟุลไบรท์ที่ได้เรียนอยู่ที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย  ได้เป็นบุคคลสำคัญในแวดวงต่างๆ ของประเทศไทย  มีบางท่านได้รับการสถาปนาเป็นศาสนาจารย์หญิงอยู่ที่ออสเตรเลีย

          ข้าพเจ้าพิษณุ  อรรฆภิญญ์  ขณะนั้นทำงานอยู่ที่คริสตจักรวัฒนา ยังจำได้ว่าทุกวันอาทิตย์หลังเลิกโบสถ์แล้ว  คุณครูเจตนีจะเดินมาหาแล้วบอกว่า  เดี๋ยวไปกินเที่ยงด้วยกันแล้วท่านก็พากันไปเป็นหมู่ใหญ่

         
ผป.เจตนี    อรัญญเกษม
กับวันนั้นที่มีม้า  40 ตัว

                ใครบ้างจะเชื่อว่าในการนมัสการเช้าวันอาทิตย์วันหนึ่งของคริสตจักรวัฒนาของเรา  มีผู้มานมัสการด้วยกัน 3 คน  ผู้ปกครอง 1 ท่าน  ผู้เล่นเปียโน  1 ท่าน  และนักเทศน์อีก 1 ท่าน  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงหรือไม่นั้น  ก็ขอให้ถามผู้ที่อยู่ในการนมัสการเช้าวันนั้น  คือผป.เจตนี  อรัญญเกษมผู้นั่งฟัง  อาจารย์อายดา  กีรินกุล ผู้เล่นเปียโน และผมผู้เป็นนักเทศน์วันนั้น
                เมื่อผมได้รับเชิญให้มาทำงานที่คริสตจักรวัฒนาในปี 1967 นั้น  ผมดีใจและตื่นเต้นมากที่จะได้มาทำงานในโบสถ์ที่สวยงามและใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ  จึงได้ไปตัดสูทชุดใหม่สีเทา  ซึ่งราคาแพงเกือบเท่าเงินเดือนเดือนแรกที่ได้รับจากคริสตจักรวัฒนา  เมื่อวันนั้นมาถึงผมไปถึงโบสถ์ก่อนเวลา ก็เดินดูรอบ ๆ และพูดคุยกับนายใบผู้ดูแลและทำความสะอาดโบสถ์  เมื่อใกล้  10.30 .  ก็ขึ้นไปในพระวิหารเห็นสุภาพสตรี 2 ท่านนั่งชิดติดกันอยู่ที่ปลายม้ายาวใกล้กับเปียโน  ท่านทั้งสองคืออาจารย์อายดา  กีรินกุล และผป.เจตนี  อรัญญเกษม  ท่านทั้งสองได้ให้ความเมตตาแก่ผมเป็นอย่างดี   โดยแสดงความดีอกดีใจที่ผมจะมาทำงานให้แก่คริสตจักรวัฒนา  
                ถึงเวลานมัสการแล้วนะครับ แต่ยังไม่มีคน  เรารอไปอีกสักหน่อยก็ได้"  ผมพูดขึ้น  ท่านทั้งสองก็ตอบว่า ไม่เป็นไร  เรารอกันได้ อีกประเดี๋ยวจะมีคนมาเพิ่มขึ้น 
                ผมเองไม่รู้สึกพะวักพะวงมากนักว่า วันนี้เราจะต้องมาเทศนาให้ม้าฟังเสียแล้ว  แต่ที่กำลังคิดแก้ปัญหาอยู่ก็คือ  ผมจะต้องขึ้นไปเทศนาบนธรรมาสน์ ใหญ่อันสวยงามที่อยู่อีกทางฟากหนึ่งนั้น  แล้วก็จะต้องเทศนาให้ผู้มานมัสการคนเดียวฟัง คือผป.เจตนี  อรัญญเกษม   คงเป็นภาพที่ตลกน่าดู  จึงมีความคิดใหม่แวบเข้ามา  ผมจึงไปย้ายเอาโต๊ะตัวเล็กแท่นอ่านพระคัมภีร์สำหรับผู้นำงมาไว้ข้างล่างใกล้กับท่านทั้งสอง   แค่นี้ผมก็พอใจแล้วว่า การนมัสการนั้นครบรูปแบบจึงเริ่มต้นไปตามระเบียบการนมัสการที่เตรียมมาล่วงหน้า
                อาจารย์อายดาเล่นเพลงนำเข้าสู่การนมัสการ  ผมจำได้ดีว่าเป็นตี(Theme) ที่มาจากซิมโฟนี่หมายเลข 2 ของบห์  การนมัสการเริ่มต้นไปได้เพียงรายการเดียว  ก็มีรถโฟคตู้สีเขียวของสำนักกลางนักเรียนคริสเตียนแล่นมาจอดอยู่กลางลานจอดรถ  ผมกำลังดีใจเพราะสำนักกลางนักเรียนคริสเตียนนั้นมักจะนำนักศึกษาไปนมัสการตามโบสถ์ต่าง ๆ  แต่ละครั้งก็มากันเต็มรถ  เสียงประตูรถปิดดังปัง 2 ครั้ง  นึกในใจว่าคราวนี้คงมีคนมาเพิ่มเติมอีกเป็นแน่  แต่ปรากฏว่ามี 2 ท่านที่เดินออกจากรถมา  คือ อ.ดาวน์สและภรรยาของท่าน ก็ค่อยยังชั่ว  วันนั้นเรานมัสการกัน 4 คน  อาจารย์ดาวน์สมีใจเมตตาและก็คงต้องการจะปลอบใจผม  หลังนมัสการแล้วจึงได้เชิญให้ผมไปรับประทานอาหารเที่ยงกับท่านที่สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน  เมื่ออยู่บนรถ  .ดาวน์สไม่ต้องการให้ผมท้อใจจึงพูดคุยที่จะอธิบายสถานการณ์ต่าง ๆ ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  ผมตอบท่านว่า  ไม่ท้อใจหอกครับอาจารย์ ที่เรามีผู้มานมัสการ 4 คนรวมนักเทศน์ด้วยเป็น 5 คน ผมจะให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้าย  และเชื่อว่าพระเจ้าจะทรงช่วยผมให้ทำได้  แต่แท้จริงแล้ว  ในใจของผมเมื่อตอนที่ยกแท่นอ่านพระคัมภีร์ลงมา  ก็ได้เห็นภาพม้าเต็มโบสถ์อีกครั้งหนึ่ง  เวลานั้นผมคิดว่า  พระเจ้าจะทรงนำผม  ให้วันนี้เท่านั้นที่จะได้เห็นม้า 40 ตัว แต่ต่อไปในโบสถ์แห่งนี้เราจะได้เห็นคนนั่งหัวดำเต็มไปหมด
                นั่นคือเหตุการณ์ที่พวกเราในคริสตจักรวัฒนาไม่น่าจะลืม เพื่อเราจะมีเรื่องที่ขอบพระคุณพระเจ้าได้  อีกทั้ง 4 ท่านที่มาร่วมนมัสการในวันนั้น  เช่น ผป.เจตนียินดีที่จะยืนยันด้วยกันกับผมเสมอว่า  เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริง  และก็มีผู้ถ่ายรูปผป.เจตนีและผมไว้ด้วยเมื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง 
ท่านเป็นผู้ปกครองของคริสตจักรวัฒนามานมนาน  เมื่อเกษียณจากโรงเรียนวัฒนาแล้วท่านก็ยังทำหน้าที่ผู้ปกครองต่อไป  คุณครูเจตนี  มีหลานสาวชื่อจิ๊บเป็นผู้พาท่านมานมัสการในวันอาทิตย์  ท่านอยู่ในท่ามกลางฝูงชน  200-300  คน แต่เกือบไม่มีใครสักคนที่จะรู้ว่าคุณครูเจตนี  อรัญญเกษมเป็นผู้ที่อยู่ที่นี่มานานแล้ว  และท่านเป็นผู้หนึ่งที่ร่วมนมัสการที่โบสถ์นี้ในวันอาทิตย์ที่มีคนไม่กี่คนมีแต่ม้า 40 ตัว













ท่านเป็นครู ผู้เปี่ยมด้วย เมตตาจิต
อบรมสั่งสอนศิษย์สนับสนุนการศึกษา
รักเอื้ออาทรลูกศิษย์ดุจมารดา
ศิษย์วัฒนาฯ กราบมาด้วย ขอบพระคุณ
ขอบพระคุณชีวิตที่เป็นแบบอย่าง
ขอพระคุณแนวทางที่เกื้อหนุน
ขอบพระคุณความความรักความการุณย์
ขอพระเจ้าอวยพระพรซ้อนพระคุณแด่ท่านเทอญ


พรรณมหา-ชูศักดิ์   วุฒิวโรภาส








ยอดหญิงวีรสตรีของคริสตจักรไทย
โดยพิษณุ  อรรฆภิญญ์








สารบัญ

1.   แอน  จัดสัน ผู้บุกเบิกนำพระกิตติคุณสู่ไทย
2.   ยอดหญิงวีรสตรีผู้เลือกเอาพระเจ้า
3.   ยอดหญิงวีรสตรีผู้ปิดทองหลังพระ-ไอรีน







1.    แอน  จัดสัน

ผู้บุกเบิกนำพระกิตติคุณสู่ไทย


               
                โดยทั่วไปเป็นที่รู้กันว่าผู้ที่นำพระกิตติคุณมาสู่สยามนั้นเป็นวีรบุรุษ 2 คน  คือ ดร.คาร์ล  กูสลาฟ ชาวเยอรมันและศาสนาจารย์จาคอบ ทอมลิน ชาวอังกฤษที่มาถึงบางกอกในวันที่  28  สิงหาคม ค..1828/2461

                แต่แท้ที่จริงแล้วนักประวัติศาสตร์จะถือว่า  พระกิตติคุณที่มาถึงคนไทยนั้นเริ่มต้นที่ประเทศพม่าโดยนางแอน จัดสัน  ภรรยาของมิชชันนารีผู้บุกเบิกงานในประเทศพม่าด้วยความทุกข์ทรมาน  แอนได้สร้างวีรกรรมในการแปลและพิมพ์ภาษาไทยรวมทั้งได้ชักนำให้คนไทยในพม่ากลับใจเป็นคริสเตียน   ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่มิชชันนารีทั้งสองท่านมาบางกอกถึง 12 ปี

                เมื่อสองสามีภรรยามิชชันนารีชาวอเมริกันมาถึงพม่า เมื่อวันที่ 12  กรกฎาคม 1813/2356  ขณะที่จัดสันกำลังทุลักทุเลอยู่กับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการขัดขวางของชาวพม่า   รวมทั้งการข่มเหงอย่างทารุณนั้น  แอนก็ได้ใช้เวลาเรียนภาษาไทยจากลูกหลานเชลยไทยที่ถูกกวาดต้อนไปเมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่สอง (2310/1767)
                เข้าใจว่ามีคนไทยที่ถูกกวาดต้อนไปพม่าในครั้งนั้นราว 30,000 คน      (สุลักษณ์  ศิวรักษ์ ในคำบรรยายเรื่องความเป็นมาของการพิมพ์ภาษาไทย ,หน้า 61 )  เชลยที่ถูกกวาดต้อนไปในครั้งนั้น คงจะประกอบด้วยชนทุกชั้นวรรณะ  แต่เมื่อแอนเริ่มเรียนภาษาไทยจากเชลยนั้น  เหตุการณ์ของกรุงแตกได้ผ่านมาแล้ว 49 ปี    ดังนั้นคนไทยที่แอนรู้จักและเรียนภาษาไทยด้วยก็คงจะเป็นคนรุ่นลูกรุ่นหลานและก็คงจะมีจำนวนทวีคูณมากขึ้นด้วย  จึงทำให้แอนสนใจที่จะประกาศพระกิตติคุณกับพวกเขา  โดยเรียนภาษาไทยจนสามารถแปล พระธรรมมัทธิว สำเร็จไปบางส่วนและคำถามคำตอบหลักความเชื่อคริสตศาสนาที่อาจารย์จัดสันได้เขียนไว้เป็นหนังสือพม่า  ในจดหมายของแอนที่เขียนไปถึงเพื่อนที่บอสตันสหรัฐอเมริกา  แอนได้เล่าให้เพื่อนฟังว่าเขาได้แปลชาดกทศชาติ ซึ่งเป็นเรื่องชีวประวัติของพระพุทธเจ้าตอนพระเตมีย์อันเป็นปางหนึ่งที่พระองค์อวตาลงมาเป็นช้าง  ท่านส่งเรื่องเป็นภาษาอังกฤษไปให้เพื่อนอ่านเพียงเพื่อความเพลิดเพลิน แอนเป็นนักเขียนที่มีชื่อเสียงก่อนที่จะแต่งงานกับศาสนาจารย์จัดสันและเดินทางมาประเทศพม่า  ดังนั้นท่านจึงได้ใช้ความสามารถเชิงวรรณกรรมให้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งเมื่ออยู่ในพม่า

                อาจเป็นคนไทยที่แอน จัดสันเรียนภาษาไทยด้วยนั้น ชื่อนายแสว่เผ่น หรือหม่องแสว่เผ่น  แสว่เป็นภาษาพม่าที่แปลว่าทอง  ชายผู้นี้ได้ตัดสินใจรับเชื่อพระเยซูคริสต์  เมื่อมิชชันนารีชื่อ บรอดแมน ไปเปิดสถานีเผยแพร่ที่เมืองทวาย  นายแสว่เผ่น ก็ได้เดินทางไปร่วมงานด้วย

หนังสือที่แปลแล้วนั้นได้ส่งไปพิมพ์ที่เมืองเซอรัมปัวร์ แคว้นเบ็งกอล ประเทศอินเดีย ซึ่งต่อมาคงจะได้ส่งมาไว้ที่สิงคโปร์ และอาจเป็นได้ว่า  กุสลาฟและทอมลินคงจะนำมาใช้แจกจ่ายในบางกอกเมื่อมาถึง

                ดังนั้นนักประวัติศาสตร์จึงให้เกียรติแก่นางแอน จัดสันเป็นผู้บุกเบิกสำหรับเมล็ดพระกิตติคุณที่มาถึงประเทศไทย  เพราะเธอได้แปลพระกิตติคุณเป็นภาษาไทย  และยังได้นำคนไทยคนแรกให้มารู้จักกับพระเยซูคริสต์

                สองสามีภรรยาจัดสันเป็นมิชชันนารีชาวอเมริกันคู่แรกที่มาประเทศพม่า  ท่านทั้งสองมีชีวิตที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากตลอดเวลา  ได้รัการข่มเหงนานาประการ  เป็นชีวิตที่ทรหดเพื่อพระคริสต์  ศาสนาจารย์จัดสันนั้น  ได้แต่งานถึง 3 ครั้ง เพราะภรรยาแต่ละคนนั้นต้องตายไปในความทุกข์ยากลำบาก  ลูก 1 คนต้องฝังไว้ในทะเล  ภรรยา 1 คนต้องฝังไว้ในทะเล และตัวท่านเองสุดท้ายก็ต้องถูกฝังไว้ในทะเลด้วย

                เราไม่สามารถที่จะรู้เรื่องราวโดยละเอียดของครอบครัวจัดสันได้ ณ ที่นี้  แต่แอนเป็นผู้ที่เราควรจะรับรู้และให้เกียรติแก่ท่านว่าเป็นวีรสตรีแห่งความเชื่อศรัทธาที่คนไทยควรจะยกย่องให้เกียรติด้วย

                แอนเป็นเด็กสาวที่สวยงามและเป็นลูกของมัคนายกที่มั่งคั่ง  ได้ใช้ชีวิตของเธอร่าเริงและเหลิงอยู่กับโลกตามภาษาวัยรุ่น  เธอจะไม่เคยปฏิเสธเมื่อมีเพื่อนชวนไปเต้นรำ  แต่มีเหตุการณ์ที่พระเจ้าได้แทรกแซงชีวิตของเธอ  ครั้งแรกเมื่อเธอเปิดหนังสือเล่มหนึ่งที่เขียนไว้สำหรับหญิง  ข้อความที่สะกิดใจเธอจากหนังสือนั้นคือ หญิงใดที่ใช้ชีวิตอยู่ในความสนุกสนานรื่นเริง  ก็เท่ากับได้ตายไปแล้วทั้ง ๆที่มีชีวิตอยู่  แอนเป็นผู้ที่สนใจวรรณคดี  เธอได้อ่านปริศนาธรรมจบทั้งเล่ม ที่ทำให้เธอรู้ว่าชีวิตคริสเตียนนั้นจะต้องเข้าประตูและทางแคบ  ประกอบกับมีการฟื้นฟูใหญ่ที่คำเทศนาของนักเทศน์สะกิดใจเธอให้รู้จักคิดและเริ่มห่วงใยจิตวิญญาณของตัวเอง  คืนวันนั้นแอนกลับบ้านคุกเข่าอยู่ที่เตียงอธิษฐานส่วนตัว  อันเป็นวันที่เริ่มต้นชีวิตใหม่ จากวัยรุ่นที่หลระเริง กลายเป็นผู้ที่เอาจริงเอาจังกับจิตวิญญาณ ต่อมาแอนได้รู้จักกับอโดนิราม  จัดสัน  หนุ่มที่ตั้งใจจะเป็นมิชชันนารีออกจากสหรัฐอเมริกาไปเผยแพร่พระกิตติคุณในประเทศอินเดีย  ตัวเขาเองเป็นลูกของศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียง  ทั้งสองได้เข้าสู่พิธีสมรส  หลังจากนั้นอีก 13  วันก็เดินทางไปอินเดีย  ในใจของแอนนั้นคิดถึงประเทศพม่าตลอดเวลา  เพราะก่อนหน้านั้นได้เคยอ่านเรื่องราวของประเทศพม่า ที่ทำให้เธอเกิดความรู้สึกใฝ่ฝันพราะเห็นภาพและคำบรรยายที่สวยงาม  มีเจดีย์ใหญ่ที่เป็นทองทั้งองค์  ภาพใจินตนาการเหล่านี้ทำให้แอนคิดตลอดเวลาว่า  ถ้าได้เป็นมิชชันนารีแล้วก็อยากจะไปทำงานที่ประเทศอันสวยงามนั้น

                สิ่งที่มิชชันนารีทั้งสองคนได้รับเมื่อมาถึงประเทศอินเดียนั้นก็คือการขัดขวางและปฏิเสธจากบริษัทอีสอินดีสของอังกฤษที่ปกครองอินเดียอยู่  ได้พยายามทุกวิธีทางที่จะให้มิชชันนารีทั้งสองคนออกไปให้พ้นจากอินเดีย  จนในที่สุดเขาทั้งสองก็ลงเรือมุ่งสู่พม่าที่คิดว่าจะทำงานของพระเจ้าได้สะดวกกว่า  แต่ทุกสิ่งทุกอย่างตรงกันข้ามกับความคิด  มีมิชชันนารีชาวอังกฤษที่เคยทำงานอยู่ก่อนแล้วแต่ได้โยกย้ายออกไปก่อนหน้าไม่นาน
                ขณะที่ลอยเรือมาสู่แผ่นดินที่คิดว่าจะทำงานของพระเจ้านั้น  แอนกำลังท้องแก่   แต่ด้วยความสมบุกสมบันกระทบกระเทือนจนกระทั่งเมื่อเด็กคลอดออกมาก็ไม่มีชีวิตแล้ว  พ่อแม่ทั้งสองจึงต้องฝังลูกคนแรกไว้ในทะเล  เมื่อเรือมาถึงฝั่ง  แอนไม่มีกำลังเลยจึงต้องหามลงจากเรือ

                เขาทั้งสองได้ไปอาศัยอยู่ที่บ้าน ซึ่งมิชชันนารีได้สร้างไว้และว่างอยู่    .จัดสันเริ่มเรียนภาษาพม่าทันที  เป็นการเรียนที่ทุลักทุเลอย่างยิ่ง  เพราะครูและนักเรียนต่างก็ไม่รู้ภาษากัน  แทนที่ครูจะสอน  นักเรียนต้องเป็นผู้เริ่มสอน จะรู้ศัพท์ทีละคำสองคำนักเรียนจะต้องยกเอาสิ่งของในห้องเรียนนั้นมา  แล้วถามครูว่า เรียกว่าอะไร  การเรียนภาษาของจัดสันเป็นไปอย่างเชื่องช้า  ส่วนแอนนั้นรู้ภาษาพม่าได้อย่างรวดเร็ว  เพราะเธอได้ไปคบค้าสมาคมอยู่กับผู้หญิงพม่าที่อยู่ตามถนนฝุ่นของแรงกูน   เมื่อถึงเวลาอาบน้ำ เธอก็นุ่งกระโจมอกอาบน้ำที่บ่อกับหญิงพม่าอื่น ๆ  นอกจากแอนจะได้ภาษาแล้วก็ยังได้เพื่อนอีกด้วย เป็นโอกาสที่จะได้เรียนเรื่องวัฒนธรรมของชาวพม่าจากหญิงเหล่านั้น  เขาเคยได้รับคำบอกเล่าว่า  คนพม่าจะโกหกไม่ได้  เพราะจะผิดศีลห้า  แต่แอนก็เห็นว่าหันไปทางซ้ายหันไปทางขวาก็เจอแต่เรื่องโกหก  พวกผู้หญิงก็บอกด้วยว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตในพม่าเป็นบาป  จึงทำให้มิชชันนารีทั้งสองคนไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมากิน  เขายังไม่สามารถรับประทานอาหารรสเผ็ดและกลิ่นแรงของเครื่องแกง  แต่แอนได้ใช้ความเฉลียวฉลาดของเธอ  เรียนวิธีทำอาหารจากผู้หญิงชาวพม่า และรู้ว่าผักชนิดใดบ้างที่จะเก็บเอามากินได้ เพราะอาหารดี ๆ ต้องสั่งมาจากมัรา อินเดีย
                พม่าได้เข้าสู่สงครามกับอังกฤษ  คนผิวขาวทุกคนจึงถูกข้อหาว่าเป็นสายลับ  ถูกจับไปขังไว้ในคุกที่อัดแอไปด้วยฆาตกรและล้วนรอวันที่จะถูกประหาร  หมอมิชชันนารีคนหนึ่งชื่อ ไครส์  และอ.จัดสัน  ได้ถูกขังอยู่ด้วยกันในห้องเล็ก ๆ ที่สกปรก  ชื้น  มืดทึบ และเต็มไปด้วยแมลงต่าง ๆ  เมื่อถึงเวลานอน  ฆาตกรที่เคยเป็นศิษย์เก่าของคุกนี้ก็จะเอาโซ่มาสวมข้อเท้าของมิชชันนารีทั้งสอง  แล้วแขวนไว้กับขื่อ ไม่สามารถจะพลิกตัวได้ตลอดทั้งคืน  แอนพยายามที่จะอธิบายให้ทางการทราบว่า  สามีของเธอไม่ใช่คนอังกฤษ  แต่พม่าก็ไม่รู้จักคนอเมริกัน 

                เมื่อกองทัพอังกฤษบุกเข้ามาใกล้  ทางการพม่าจึงสั่งให้ย้ายนักโทษทั้งหมดไปขังไว้ที่คุกใหม่  นักโทษทุกคนจะต้องเดินไปเท้าเปล่า  หมอไครส์และ อ.จัดสัน  เมื่อได้รับคำสั่งก็ไม่สามารถที่จะยืนขึ้นได้  กว่าจะเดินได้ก็ใช้เวลานาน  เพราะไม่เคยได้ออกกำลังเลยนอกจากคุดคู้อยู่ในห้องขัง  กว่าจะเดินไปถึงคุกใหม่  เท้าก็พองมีแผลเก่าที่เกิดจากตรวนและแผลใหม่ที่เดินไปตามถนนหิน  ขณะที่เดินข้ามสะพาน  ข้างล่างมีหินเต็มไปหมด  .จัดสันทนไม่ไหวจนเกือบจะตัดสินใจกระโดดโหม่งโลกให้หมดเรื่องหมดราวไปเสียที  แต่ก็มีแอนที่ทำให้เขาไม่สามารถจะกระทำเช่นนั้นได้

                ส่วนแอนนั้นก็ยังพักอยู่ที่เดิมและได้คลอดลูกคนใหม่เป็นหญิงชื่อแมรี่  เมื่อเธอแข็งแรงแล้ว  ก็เดินไปหาสามีที่ขังอยู่ในคุกแห่งใหม่  แอนได้เอาห่อผ้าที่หุ้มห่อลูกสาวยื่นให้สามี  อ.จัดสันยินดีมากที่ได้ลูกคนใหม่  แอนได้วางห่อผ้านั้นที่ปลายเท้าของสามีแล้วก็ออกไปวิงวอนทางราชการว่าให้ปล่อยสามีเพราะเขาไม่ใช่คนอังกฤษ แต่ก็ไร้ผล     แต่แอนก็ไม่ลดละความพยายามได้ขอความเมตตากรุณาจากผู้คุม ที่จะให้จัดสันมีเวลาออกมาจากคุกเพื่อไปหานมให้ลูกน้อยกิน  จนผู้คุมเห็นใจและอนุญาตให้ออกได้วันละ 2  ครั้ง  สองสามีภรรยาอุ้มลูกน้อยเดินเข้าไปในหมู่บ้านถามหาหญิงที่มีลูกเพื่อจะขอให้แมรี่ได้กินนมบ้าง 

                เมื่อพม่ากับอังกฤษเจรจากันไม่รู้เรื่อง  กองทัพอังกฤษจึงขอตัวจัดสันมาให้พักอยู่ในค่ายเพื่อเป็นล่าม  ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ นั้น  เขาทั้งสองมีเวลาที่จะพักฟื้นให้แข็งแรงขึ้นไปอีก  แอนเขียนจดหมายถึงคริสตจักรที่บ้านเล่าให้ฟังว่า ช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในค่ายทหารอังกฤษนั้น  มันก็คือสวรรค์บนโลก

                แอนกลับไปอยู่ที่บ้านเก่ามิชชันนารีได้พักหนึ่ง  โดยคิดว่าจะมีโอกาสได้ทำงานประกาศพระกิตติคุณดีกว่าที่จะสุขสบายอยู่ในค่ายทหารอังกฤษ  2-3 อาทิตย์ต่อมา  มีจดหมายสีดำส่งมาถึงจัดสันว่า  แอนได้จากไปอยู่กับพระเจ้าเสียแล้ว  และอีก 2-3  อาทิตย์ต่อมา  จัดสันก็ได้รับจดหมายจากเพื่อน ๆ ที่บ้านมิชชันนารีแจ้งให้ทราบว่า แมรี่ได้ตามแม่ของเธอไปแล้ว 

                จัดสันเกือบเสียสติ  เขาไม่พูดไม่จาเก็บตัวอยู่ในความเงียบ  ออกไปสร้างกระต๊อบอยู่ในป่า  ขุดหลุมเพื่อลงไปอยู่ในนั้น  อธิษฐานกับพระเจ้าว่า เขาหาพระเจ้าไม่พบ  เมื่อจิตใจของเขาดีขึ้นก็เริ่มงานใหม่อีกครั้งหนึ่ง  เขาเดินทางประกาศไปทุกแห่งหน  แต่ในที่สุดก็ต้องหยุด  เพราะต้องการใช้สมาธิที่จะแปลพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูเป็นภาษาพม่าให้สำเร็จ
                หลังจากนั้น พ่อหม้ายจัดสันได้เข้าพิธีสมรสกับนางซาร่า บรอดแมน มิชชันนารีที่เคยไปเปิดสถานีประกาศที่เมืองทวายและได้สูญเสียสามีเมื่อ 3 ปีก่อน  แต่เธอก็ยังสู้ชีวิตอยู่พร้อมกับลูกๆ ทำงานของพระเจ้าต่ออย่างไม่ย่อท้อ ต่อมาเธอและจัดสันมีลูกด้วยกันอีก 8 คน  แต่มีชีวิตรอดอยู่เพียง 5 คน 

                จัดสันพาซาร่าพร้อมกับลูกอีก 3 คนเพื่อจะกลับไปเยี่ยมบ้านหลังจากที่ได้จากมาและไม่ได้เห็นหน้ากันเป็นเวลา  30 กว่าปี  ระหว่างที่เรือลอยลำอยู่ในมหาสมุทร ซาร่าป่วยหนักและเสียชีวิต เธอจึงเป็นอีกผู้หนึ่งที่ถูกฝังไว้ในทะเล

                จัดสันกลับถึงบ้านที่บอสตันได้รับการต้อนรับอย่างวีรบุรุษเขาได้รับเชิญให้ไปพูด ไปปาฐกถาและเทศนาจนไม่มีเวลาได้พัก ที่นี่จัดสันได้พบกับอีมีลี่  นักเขียนที่มีชื่อโด่งดังและเธอก็ยอมที่จะเป็นภรรยาของมิชชันนารี  ออกไปทำงานในที่ซึ่งไม่มีอะไรโสภาเลย

                หลังจากแต่งงานได้ 1 เดือน  ทั้งสองก็เดินทางกลับไปพม่า  ฝากลูกไว้กับญาติพี่น้องให้เป็นผู้ช่วยดูแล  วันที่จะขึ้นเรือนั้นลูกทั้ง 5 คนพากันมากอดแข้งกอดขาพ่อของเขา  ร่ำห้อย่างเวทนาซึ่งน่าจะเป็นรอยพิมพ์บาดแผลที่แก้ไขไม่ได้  แต่ตรงกันข้าม  ลูกชายสองคนเป็นศิษยาภิบาล  ลูกชายอีก 1 คนเป็นแพทย์  ลูกสาว 1 คนเป็นครูที่ได้รับความเชื่อถือในทุกองค์การ ส่วนอีก 1 คนนั้นเป็นนายทหารที่ต่อมาพิการเพราะบาดเจ็บในสนามรบ

                อีมีลี่และจัดสันมาถึงท่าเรือพม่า ลูกสองคนของซาร่ามายืนต้อนรับพ่อและแม่ใหม่ของเขาอยู่  อีมีลี่ทำหน้าที่แม่อย่างดีและภรรยาที่น่ารักของสามี เธอพร้อมที่จะสวมบทบาทของมิชชันนารีครบทุกประการ  โดยเหตุที่เธอเป็นนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงมาก่อน  เธอจึงใช้เวลาเขียนเรื่องราวของการทำงานมิชชันนารีอย่างหมดเปลือก

                เพียงสามปีที่กลับมาถึง  จัดสันก็เริ่มป่วยออดๆแอด ๆ  เพราะได้ตรากตรำทำงานมามาก  อีมีลี่เห็นว่ามีทางเดียวก็คือกลับไปรักษาตัวที่บอสตัน และได้นำลูกๆ กลับไปด้วย  แต่เมื่อเรือออกจากฝั่งไปได้ไม่กี่วัน  จัดสันก็จากไปอยู่กับพระเจ้า  แล้วเขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องถูกฝังไว้ในทะเล

                หลังจากสงครามหฤโหดที่ญี่ปุ่นทำกับพม่าแล้ว  ชาวพม่าได้พากันไปดูแลหลุมศพของแอนซึ่งสมควรจะได้รับการบูรณะซ่อมแซมและควรจะมีรั้วเหล็กล้อมรอบ  ชาวพม่าปฏิเสธที่จะได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใดแต่พร้อมใจกันที่จะทำอนุสาวรีย์แห่งนี้ด้วยน้ำพักน้ำแรงของพวกเขาเอง  ได้เคยมีแผ่นดินทรุด 2 ครั้ง ก่อนสงคราม และเกิดขึ้นอีกหลังสงครามเลิกแล้ว  ดังนั้นคริสเตียนชาวพม่าจึงได้ย้ายกระดูกของแอนไปไว้ที่ใหม่ในสถานที่ซึ่งสง่างามและเป็นอนุสรณ์แห่งความอดทนทุกข์ยากของเธอเพื่อชาวพม่า

                ภาพแกะสลักรูปของแอน จัดสัน ได้ประดิษฐานไว้ที่ห้องนมัสการของวิหารริเวอร์ไซด์ ในนครนิวยอร์ค  มีผู้มาเยือนยืนก้มศีรษะลงต่อหน้าภาพนั้นนับพันคนทุกปี


2.        ยอดหญิงวีรสตรีผู้เลือกเอาพระเจ้า


  พวกเราชนรุ่นหลัง  มีใครบ้างที่เคยได้ยินชื่อแม่กิมฮ๊อกและวีรกรรมของท่าน  ความเด็ดเดี่ยวของแม่กิมฮ๊อกและชีวิตรับใช้พระเจ้าของท่านเกือบจะไม่มีใครพูดถึงอีกเลย  ถ้าจะเอ่ยขึ้นบ้างก็เพื่อเป็นการประกอบเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่ได้กระทำโดยสามีของท่านเท่านั้น 

ที่จะเข้าใจถึงชีวิตของคุณแม่กิมฮ๊อกวีรสตรีผู้นี้  เราก็จะต้องรู้เรื่องของตระกูลและวีรกรรมของสามีของท่านเสียก่อน  .บุญต๋วน  บุญอิต  เป็นวีรบุรุษแห่งความเชื่อของคริสตจักรไทยอีกผู้หนึ่ง  ที่ได้สิ้นชีวิตไปเมื่อ 100 ปีมาแล้วนั้น  เกือบจะไม่มีใครรู้จักและไม่พูดถึงกันอีก  เราจึงจะต้องย้อนกลับไปดูชีวิตของท่านอย่างพอสังเขป      เพื่อเป็นภูมิหลังที่เราจะเข้าใจถึงชีวิต      และงานของแม่
กิมฮ๊อกภรรยาของท่านได้อย่างดี

ทั้ง อ.บุญต๋วน  บุญอิตและแม่กิมฮ๊อกนั้น มาจากต้นตระกูลบรรพบุรุษบุคคลเดียวกัน  คือ ซินแส กีเอ็ง  ก๊วยเซียน  ท่านเป็นแพทย์แผนจีนที่มีชื่อเสียงเพราะความสามารถในการรักษาโรคของท่าน  จนชาวบ้านตั้งฉายาให้ท่านว่า ก๊วยเซียน  ซึ่งแปลว่า หมอเทวดา มีนิวาสถานอยู่ที่หมู่บ้านบางป่า  บนฝั่งแม่น้ำแม่กลอง จังหวัดราชบุรี  ท่านเป็นผู้หนึ่งในจำนวนคนจีนไม่กี่คนที่ได้รับเชื่อพระเยซูเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของท่าน  ต่อมามิชชั่นคณะนั้นได้โยกย้ายจากสยามไปทำงานในประเทศจีน  โดยเหตุที่สยามมีปัญหามากมายในการทำงาน เช่นไม่ได้รับอนุญาตให้ซื้อที่ดินสำหรับปลูกบ้านและทำสำนักงาน  มิชชันนารีจึงต้องอาศัยอยู่บนแพริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา  กีเอ็ง  ก๊วยเซียนจึงถูกทิ้งไว้และยังมั่นคงอยู่ในความเชื่อศรัทธาของตน  ท่านจึงไปแสดงตัวต่อคณะมิชชันนารีอีกพวกหนึ่ง  คืออเมริกันเพรสไบทีเรียน  ที่ท่านได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี  หมอเหาเห็นความสามารถของท่านและบุคลิกที่น่านับถือ  จึงได้ชวนท่านให้มาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนชายที่ได้ตั้งขึ้นใหม่ เมื่อ 30  กันยานน 1852/2395  กีเอ็ง  ก๊วยเซียนได้ทำความเจริญให้แก่โรงเรียน  ซึ่งเวลานั้นสอนภาษาจีน  แล้วในเวลาต่อมาก็ได้พัฒนาขึ้นตามยุคสมัยผ่านหลายเหตุการณ์จนได้กลายเป็นโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
 
เมื่อกีเอ็ง  ก๊วยเซียนสิ้นชีวิตแล้ว  ลูกๆ  ของท่านที่เคยร่ำเรียนอยู่ที่โรงเรียนชายสำเหร่และครอบครัวจึงได้อพยพกลับไปอยู่ที่บางป่า  เด็กหญิงบุญต่วน ลูกสาวของท่านเคยเรียนอยู่ที่โรงเรียนนี้มาก่อนและเป็นเด็กผู้หญิงคนเดียวในชั้น  เมื่อกลับไปอยู่ที่บางป่าไม่นานนักก็ได้แต่งงานกับพ่อค้าที่มีฐานะดี ครั้เมื่อสามีตายก็เห็นว่าทางเดียวที่จะให้ลูก 3 คนมีโอกาสเล่าเรียน  จึงอพยพกลับมาที่สำเหร่อีก  เด็กชายบุญต๋วน  ลูกชายของท่านจึงได้มีโอกาสเล่าเรียนสูงขึ้น  ส่วนตัวแม่ต่วนก็เป็นที่รักของแหม่มแฮร์เรียต  เฮ้าส์  ที่ได้อบรมสั่งสอนแม่ต่วนให้มีความสามารถด้านต่าง    โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นหญิงไทยไม่กี่คนในสมัยนั้นที่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้

แหม่มแฮร์เรียต  เฮ้าส์  ได้เปิดโรงเรียนสำหรับเด็กผู้หญิงขึ้นที่วังหลัง  ซึ่งต่อมามีชื่อเสียงและเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่  มีชื่อว่าโรงเรียนกุลสตรีวังหลัง  แหม่มเหา  ได้แม่ต่วนไปช่วยงานเป็นแม่บ้าน    ต่อมาแหม่เหาเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ท่านและสามีจึงต้องอำลาสยามไป  ทิ้งกุลสตรีวังหลังไว้ในความดูแลของแม่ต่วน เป็นเวลาเกือบ  10  ปีที่โรงเรียนนี้อยู่ในความดูแลของท่านอย่างต่อเนื่อง  มิชชันนารีที่มาทำงานกันนั้นอยู่กันไม่นาน  เพราะอากาศที่ร้อนชื้นทำให้สุขภาพเสื่อมโทรม จึงต้องลากลับบ้าน  หรือมิฉะนั้นก็ย้ายออกไปเพื่อแต่งงาน  แม่ต่วนจึงเป็นคนเดียว  ที่อยู่ยงรักษาโรงเรียนไว้มิให้ต้องมีอันเป็นไป

เมื่อครอบครัวหมอเหาจะต้องเดินทางกลับนั้น  ได้เอาเด็กชายไปด้วย 2 คน คือนายกร  และนายบุญต๋วนลูกชายแม่บ้าน  ทั้งสองได้รับความสำเร็จในการศึกษาที่สหรัฐอเมริกา  นายกรกลับมาก่อนแล้วรับราชการจนได้เป็นพระวินิจปรีชา  ส่วนบุญต๋วนนั้นเมื่อไปอายุได้ 11 ขวบ เรียนอยู่ 16 ปี จนได้ปริญญาโททางศาสนศาสตร์   เป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญา  B.D. 

บุญต๋วนเป็นคนที่สง่างาม  สามารถในกีฬาทุกชนิด  และเป็นนักศึกษาที่ดีมาตลอด  วันหนึ่งท่านตัดสินใจเป็นคริสเตียน  เมื่อรับบัติศมาแล้วจึงส่งข่าวไปให้แม่ที่บางกอก  เป็นเหตุการณ์ที่นำความชื่นชมยินดีมาสู่ทุกคนที่เป็นเพื่อนในสหรัฐฯ  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งมารดาของท่านที่ได้พร่ำสอนและอธิษฐานอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อลูกชายจะเป็นคริสเตียน  รับการศึกษาศาสนศาสตร์แล้วกลับไปเป็นนักเทศน์ที่สยาม

              แต่ในเวลาเดียวกัน  บุญต๋วนผู้นี้ก็ได้เขียนจดหมายถึงเพื่อนที่บางกอกบอกว่า  เขาก็เป็นคริสเตียนไปอย่างนั้นเอง  เพราะสงสารแม่และรักเทิดทูหมอ
และแหม่มเหาที่ได้ให้อุปการะเลี้ยงดูตลอดมา 

               เมื่อจบปริญญาตรีแล้ว  อนุศาสกของมหาวิทยาลัยพยายามที่จะสนับสนุนให้ท่านไปเรียนต่อที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์  ได้พูดคุยกันอยู่สักพักหนึ่ง  บุญต๋วนพูดกับอนุศาสกว่า  เขาไม่แน่ใจในเรื่องการอภัยบาปของพระเจ้า  อนุศาสกโกรธมาก  เห็นว่าบุญต๋วนเป็นคนไม่จริงใจจึงไม่พูดจาด้วยตั้งแต่นั้นมา

               ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น  ได้มีการฟื้นฟูทางจิตวิญญาณที่วิทยาลัยที่ท่านเรียนอยู่  เมื่อได้ฟังนักเทศน์มาหลายวันแล้ว  ท่านได้สัมผัสกับพระเจ้า  คุกเข่าลงถวายชีวิตทั้งสิ้นให้แก่พระองค์  จากนั้นมาไม่เคยมีคำถามในเรื่องพระเจ้าอยู่ในใจของบุญต๋วนอีกเลย

            เมื่อจบปริญญาตรีแล้ว  ทุกคนที่รู้จักและเห็นความสามารถของท่าน  ได้พยายามส่งเสริมให้ไปศึกษาต่อวิชาแพทยศาสตร์  แต่บุญต๋วนคนใหม่กลับคิดว่าเมื่อจบการศึกษาแล้วก็จะกลับสยาม  จริงอยู่การเป็นแพทย์ก็มีประโยชน์ที่จะช่วยผู้อื่นทั้งในด้านร่างกายและจิตวิญญาณได้  แต่บุญต๋วนปฏิเสธความคิดนั้นและไม่รับการช่วยเหลือที่จะเป็นนักศึกษาแพทย์  เขากลับเดินเข้าวิทยาลัยศาสนศาสตร์  ได้พิสูจน์ตนเองว่าเป็นนักศึกษาที่มีความสามารถ  เมื่อจบแล้ว พี่น้องในคริสตจักรสนับสนุนความคิดของท่านที่จะกลับไปสยามทำงานของพระเจ้า  เหมือนมิชชันนารีคนหนึ่ง
             บุญต๋วนกลับถึงบางกอก ในปี 1893/2436 เริ่มงานกับมิชชันนารีซึ่งมีสำนักงานอยู่ที่สำเหร่  ท่านเป็นคนสยามคนเดียวที่รู้ภาษาฮีบรู และภาษากรีก  ส่วนภาษาอังกฤษนั้นก็ได้กลายเป็นภาษาที่ใช้เป็นประจำวันของท่าน  ดังนั้นจึงต้องเริ่มเรียนภาษาไทยกันใหม่

               ในปี ค..  1897/2440  ท่านตกลงกับมิชชันนารีผู้หนึ่งชื่อหมอทอยส์  ที่จะออกไปบุกเบิกทำงานของพระเจ้าในที่ใหม่แห่งหนึ่งแห่งใด  จึงได้ต่อเรือใหญ่ขึ้นลำหนึ่ง แล้วจะเดินทางขึ้นเหนือเพื่อประกาศพระกิตติคุณ ณ ที่หนึ่งที่ใดที่พระเจ้าจะทรงนำ

                ขณะนั้นบุญต๋วนได้หมั้นกับแม่กิมฮ๊อก  ที่กำลังทำงานอยู่ที่โรงเรียนกุลสตรีวังหลัง  และตกลงที่จะใช้ชีวิตที่จะไปบุกเบิกด้วยกัน  อีกไม่กี่วันก่อนที่จะเข้าพิธีแต่งงานอยู่แล้ว  .บุญต๋วน  ได้รับจดหมายเชิญจากบริษัทฝรั่งในบางกอก ให้ไปทำงานด้วย  โดยเสนอเงินเดือนให้ปีละ  6,000 ดอลลาร์  ในขณะนั้นท่านอยู่ในฐานะของมิชชันนารีได้รับเงินปีละ 500  ดอลลาร์  บุญต๋วนคิดทบทวนอยู่นานว่าจะตัดสินประการใดดี  แต่ก็เห็นว่าจะต้องปรึกษากับผู้ที่จะเป็นภรรยาร่วมชีวิตด้วยกันเสียก่อน 

                ในช่วงเวลาเช่นนั้นนับว่าเป็นวิกฤตที่จะต้องเลือกทางชีวิตว่าจะไปทำงานกับบริษัทหรือจะไปประกาศพระกิตติคุณ  แน่นอนคำถามเหล่านี้มาถึงทุกคนและเป็นการตัดสินใจที่ยากในเมื่อรายได้แตกต่างกันลิบลิ่ว  ความคิดของท่านนั้น ก็คงจะเหมือนกับคนหนุ่มทั่ว ๆ ไป  โดยเฉพาะผู้ที่เป็นคริสเตียนและยิ่งยากมากขึ้นถ้าคนหนุ่มนั้นกำลังเตรียมตัวจะไปรับใช้พระเจ้า   ก็คงจะมีหลายความเห็นเกิดขึ้นในจิตใจ  เช่น

1.             เมื่อข้อเสนอเช่นนี้มาถึงก็คงจะคุกเข่าลงขอบพระคุณพระเจ้า  เชื่อว่าต้องเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่จะให้รายได้สูงอย่างนั้น ไม่มีใครอีกนอกจากพระเจ้าที่เมตตาเราและทำได้เช่นนั้น  แล้วคงจะจบลงด้วย  อาเมน  ก็คือให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์เช่นนั้น

2.             ตัวเราคือบุญต๋วน  ใช้เวลามากมายถึง  16  ปี  ศึกษาเล่าเรียนในสหรัฐฯ  ส่วนกรนั้นไปเรียนไม่กี่ปี  เวลานี้เขาเป็นถึงพระวินิจปรีชาไปแล้ว  มีความมั่นคงทั้งตำแหน่งหน้าที่การงาน  เงินทองและเกียรติยศ  แต่ตัวเรานี่สิยังไม่มีอะไรเลยที่จะเทียบกับเขาได้  เพราะฉะนั้นเงินปีละ  6,000 ดอลลาร์นี้  ก็จะต้องเป็นการปลอบใจที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าแน่  ขอบคุณพระเจ้า

3.             พระองค์คงจะเห็นว่าเรานี้ยังตั้งตัวไม่ได้ในบ้านเกิดเมืองนอนของเราเอง  ถ้าเราจะรับเอาเงินปีละ  6,000 ดอลลาร์ทำงานอยู่ในบางกอก  เราก็มีความสะดวกสบายและก็ยังมีเวลาที่จะรับใช้พระองค์ได้ในฐานะผู้อาสาสมัคร ซึ่งก็คงจะมีผลงานเท่ากันสำหรับพระเจ้าด้วย

4.             ขอบคุณพระเจ้า ถ้าได้ทำงานมีเงินปีละ 6,000 ดอลลาร์  เราก็จะถวายสิบลดให้แก่พระองค์  ซึ่งเป็นเงินถึงเดือนละ  600  ดอลลาร์ที่จะกลับไปช่วยคริสตจักรต่อไป  เวลานั้นไม่มีใครที่จะถวายสิบลดมากถึงขนาดนั้นแน่  เพราะมิชชันนารีเองก็รับเงินเพียงปีละ  500 ดอลลาร์  ขอบพระคุณพระเจ้าที่ได้ประทานหนทางแก่ฉเราเสมอ  เราจะมีเงินสำหรับใช้อย่างเหลือเฟือ และเวลาเดียวกันก็ยังช่วยคริสตจักรซึ่งอ่อนแออยู่นี้ให้แข็งแรงขึ้นได้ด้วยเงินส่วนถวายของเรา

5.             เราจะรับงานนี้เสียก่อน  เพื่อจะตั้งตัวให้ได้เป็นที่เรียบร้อย  มีเงินสำหรับปลูกบ้านให้การศึกษาแก่ลูกๆ  และให้ความสุขแก่ภรรยา  เมื่อตั้งตัวได้แล้ว  เราก็จะกลับมาถวายตัวแด่พระเจ้าใหม่อีกครั้งหนึ่ง  และเมื่อเกษียณแล้วเราจะได้รับใช้พระเจ้าอย่างเต็มที่

นั่นคือบางประการของความคิดที่ใครก็แล้วแต่เมื่อรู้ว่าจะได้เงินปีละ 6,000 ดอลลาร์  ซึ่งหนึ่งเดือนของจำนวนนั้น เท่ากับรายได้ของหนึ่งปีของงานในคริสตจักร

                สิ่งที่อาจารย์บุญต๋วนได้ทำนั้นนับว่าอันตรายยิ่งกว่า  5 ประการที่กล่าวมาทั้งหมด  เป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง คือได้เอาจดหมายฉบับนั้นให้คู่หมั้นได้อ่านแล้วตัดสินใจ   เราคงจะคิดกันได้ต่อไปว่า  ผู้หญิงส่วนใหญ่จะคิดอย่างไรกับเงิน 6,000 ดอลลาร์  นั่นก็อาจเป็นวิธีหนึ่งที่ อ.บุญต๋วนพยายามซัดทอกความผิดให้แก่สตรี  เช่นเดียวกับที่อาดัมได้ทำกับนางอีวาในสวน  คือโทษทั้งผู้หญิงและโทษทั้งพระเจ้า  ถ้าคู่มั่นจะตอบว่า ให้ไปรับ  6,000 ดอลลาร์  จะมีใครเล่าที่จะต่อว่าเขาทั้งสองได้ 

                แต่เมื่อแม่กิมฮ๊อกได้อ่านจดหมายของบริษัทแล้ว แม่กิมฮ๊อกกล่าวคำซึ่งจะต้องถือว่าเป็นอมตะว่า  
ดิฉันคิดว่าเราทั้งสองคงจะมีความสุขมากมายกว่านักที่เราจะทำงานของพระเจ้าด้วยเงินเพียงเล็กน้อย  ดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยเงินที่มากมายเช่นนั้น
               
เมื่อพิธีวิวาห์ผ่านไปได้หนึ่งเดือน  ครอบครัวของบุญต๋วน  บุญอิตก็ได้ลงเรือพร้อมกับหมอทอยส์  เป็นเรือหางแมงป่อง ขึ้นเหนือเพื่อจะหาที่ที่พระเจ้าจะทรงนำไปให้ทำงานของพระองค์  เดินทางอยู่ 6 สัปดาห์ คณะผู้บุกเบิกทั้งสองจึงตัดสินใจที่จะปักหลักทำงานที่เมืองสองแควซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำน่าน  ซึ่งก็คือพิษณุโลก

                งานการได้พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว  ในช่วงไม่กี่ปีท่านทั้งสองได้เป็นที่รักของชาวพิษณุโลก  สนับสนุนส่งเสริมการงานของท่าน  รวบรวมเงินบริจาคให้ อ.บุญต๋วนได้ 4,000  บาท แล้วท่านได้สร้างโรงเรียนชายขึ้นให้ชื่อว่าโรงเรียนผดุงราษฎร์  มีบันทึกว่าข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้หนึ่งได้ยกวัวทั้งฝูงซึ่งมีอยู่ 40 ตัวให้อ.บุญต๋วน  เพื่อจะมีเงินสำหรับเลี้ยงตัวเองได้  และนี่คือโรงเรียนแห่งแรกในประเทศไทยที่เลี้ยงตนเองได้

                ส่วนแม่กิมฮ๊อกนั้น ก็ไม่ได้อยู่เฉย ๆ ได้รวบรวมเด็กผู้หญิงมาเรียนที่กระต๊อบไม้ไผ่บ้านของท่าน  และต่อมาก็ได้กลายเป็นโรงเรียนผดุงนารีที่เจริญ
ก้าวหน้าและเป็นที่นิยมของชาวพิษณุโลก 

                ความสามารถของผู้รับใช้องสามีภรรยาคู่นี้  เลื่องลือไปทุกทิศทุกทาง  จนวันหนึ่งในปี ค.ศ 1902/2445  Dr.Arthur  J. Brown เลขาธิการของคณะมิชชันนารีเพรสไบทีเรียนที่นิวยอร์ค  เดินทางเยี่ยมงานของมิชชั่นทั่วเอเซีย เมื่อมาถึงบางกอกก็ชื่นชมยินดีกับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ที่สร้างขึ้นใหม่  แต่ท่านเห็นว่าชีวิตคริสเตียนจะเติบโตขึ้นได้อย่างไร  เพราะถ้าจะไปโบสถ์ก็ต้องไปที่คริสตจักรที่หนึ่งสำเหร่ ซึ่งไกลเกือบสิบกิโลเมตร  หรือมิเช่นนั้นก็ต้องไปคริสตจักรที่สองที่วังหลัง ซึ่งก็ไกลอีกเกือบสิบกิโลเมตรเหมือนกัน  ท่านเห็นว่าจะต้องมีงานที่ทำกับครูและนักเรียนของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย  ที่กำลังจะเป็นปัญญาชนของประเทศชาติ  จะต้องเป็นหน่วยงานที่เป็นศูนย์กลางของเยาวชน  ท่านลงความเห็นอย่างหนักแน่นว่า  ผู้เดียวที่จะทำงานนี้ได้ก็คิอ  ศาสนาจารย์บุญต๋วน  บุญอิต  เป็นผู้ที่ปราเปรื่องและสามารถที่สุดในบรรดาผู้นำที่มีอยู่ในเอเซีย  ความคิดของท่านเป็นที่ยอมรับกันโดยทันที       มีจดหมายลงชื่อคริสเตียนในกรุงเทพยาวเป็นหางว่าวส่งขึ้นไปพิษณุโลก  เชิญให้อ.บุญต๋วนมารับหน้าที่ตามข้อเสนอของ ดร.Brown 

                พอดีเวลานั้นครอบครัวของท่านได้รับอนุมัติให้ไปพักผ่อน  ซึ่งก็คิดกันไว้ว่าจะไปญี่ปุ่น  แต่เมื่อมีคำเชิญมาเช่นนั้นและดูจะมีคนสนับสนุนกันมากมาย  ท่านจึงย้ายครอบครัวลงมากรุงเทพฯ และลงมือทำงานทันที 

                งานใหม่ที่เริ่มต้นขึ้นทันทีคือ สร้างสำนักกลางขึ้นที่หน้าโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย  กิจการกำลังคึกคัก  มีคนมาเรียนพระคัมภีร์  มาสนทนาและมาเล่นกีฬากันทุกวัน  มีทางใหม่เกิดขึ้นอีก  เมื่อพระยาสารสิน  ซึ่งก็เป็นศิษย์เก่าจากสำเหร่ด้วยกัน  และพระยาสารสินเองก็ได้รับความกรุณาจากหมอเหา ส่งไปเรียนแพทย์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  นิวยอร์ค  ท่านได้สูญเสียนายสืบลูกชายคนโตของท่านอย่างกระทันหัน  พระยาสารสินโศกเศร้าเสียใจมาก  พวกเพื่อน ๆ จากสำเหร่ได้เปลี่ยนเวรกันไปดูแลท่าน  วันหนึ่งก็เป็นหน้าที่ของ อ.บุญต๋วน ซึ่งดูจะสนิทสนมกันมาก  เพราะต่างก็เป็นนักเรียนอเมริกันด้วยกัน  พระยาสารสินถาม อ.บุญต๋วนว่า  ทำไมพระเจ้าจึงทำเช่นนั้นแก่ท่าน  พระองค์เฆี่ยนตีท่านด้วยเหตุผลอะไร  ที่เอานายสืบไป  .บุญต๋วนพูดกับท่านอย่างสุขุมว่า  ท่านเจ้าคุณ พระเจ้าได้ทรงประทานอะไรบ้างแล้วให้แก่ท่านเจ้าคุณ  ท่านมีบรรดาศักดิ์สูง เจ้าคุณกำลังเป็นเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดคนหนึ่งของสยาม  ท่านเจ้าคุณควรจะขอบพระคุณพระเจ้า  เหตุการณ์ที่นายสืบต้องจากไปโดยด่วนนั้น  พระเจ้าก็คงจะเตือนท่านเจ้าคุณว่า  ทรัพย์สินที่สำคัญกว่าคือชีวิตนิรันดร์  ท่านเจ้าคุณจึงย้อนถามกลับไปว่า จะให้ท่านทำอะไรได้บ้าง  .บุญต๋วนจึงชี้ให้เห็นว่าเราจะต้องมีโบสถ์เกิดขึ้นที่นี่  ที่หน้าโรงเรียนใหม่นี้  รับใช้คนทั้งในโรงเรียนและผู้คนจะได้ไม่ต้องเดินทางไปนมัสการครั้งละเป็นสิบกิโลเมตร  ท่านเจ้าคุณตอบทันที โดยจะยกที่ดินแปลงหนึ่งหน้าโรงเรียนให้ และสัญญาจะให้ค่าก่อสร้างอีกครึ่งหนึ่ง  ขอให้ตั้งชื่อโบสถ์นี้ว่า  คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์  เพื่อเป็นที่ระลึกถึงนายสืบลูกชาย 

                การก่อสร้างก็ได้เริ่มต้นขึ้นทันที  ซุงซึ่งอยู่ในคลองสารนั้นจะต้องชักลากขึ้นมาเพื่อสร้างโบสถ์  คนงานก็มีอยู่แล้ว  แต่บุคคลอย่าง อ.บุญต๋วนย่อมจะยืนเฉยอยู่มิได้  ท่านลงไปในคลองเพื่อเอาซุงขึ้นมา น้ำสกปรกได้เข้าปากเป็นเหตุให้ท่านต้องตายเพราะอหิวาต์
 
ผู้หญิงคนดที่เป็นแม่กิมฮ๊อก  จะคิดอย่างไรกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หญิงที่เห็นว่าการรับใช้พระเจ้าด้วยเงินเล็กน้อยดีกว่าที่จะมีชีวิตอยู่กับเงินก้อนใหญ่  เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องไปอยู่กับดินกินกับทรายที่พิษณุโลก  ได้สร้างความเจริญให้แก่โรงเรียน และก็ได้สร้างโบสถ์กระต๊อบไม้ไผ่ขึ้นด้วย  งานกำลังจะรุดหน้า  แต่ก็มีพระสุรเสียงเรียกให้ลงมาบางกอก  และการมาครั้งนี้ก็เป็นการสูญเสียสามีที่รักไป  คนที่จะรับใช้พระเจ้าทั้งชายและหญิงจะคิดอย่างไรในเหตุการณ์เช่นนี้ 

                แม่กิมฮ๊อกต้องเลี้ยงดูลูกสามคน  ท่านได้เป็นกำลังสำคัญของโรงเรียนกุลสตรีวังหลังอีกครั้งหนึ่ง  ได้ฝากฝีมือการเขียนไว้ที่นับว่ายอดเยี่ยมมากในวารสาร แสงอรุณ  แม่กิมฮ๊อกพยายามเลี้ยงดูลูกทั้งสามคน  อบรมสั่งสอนเหมือนกับอยู่ในโรงเรียน  จนเพื่อนบ้านใกล้เคียงพากันมารบเร้าขอฝากลูกให้เรียนด้วย  เมื่อเด็กมากขึ้น  แม่กิมฮ๊อกผู้มีนิมิตและเห็นการณ์ไกล  จึงได้สร้างโรงเรียนผดุงดรุณีขึ้นสอนในแนวของกุลสตรีวังหลัง  เป็นโรงเรียนที่เจริญขึ้นได้รับความไว้วางใจจากชาวบางกอกอย่างรวดเร็ว 

                แม่กิมฮ๊อก  ยอดหญิงวีรสตรีผู้นี้ เป็นผู้ที่สัตย์ซื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า  รางวัลที่ท่านได้เห็นนั้นก็คือ เพื่อนฝูงในสหรัฐอเมริกาได้ส่งเงินมาเพื่อให้สร้างอาคารเพื่อเป็นที่ระลึกถึง อ.บุญต๋วน ชื่อว่า บุญอิตอนุสรณ์  มีเงินบริจาคมากมายที่มาจากคนไทย  นอกจากมิตรสหายเพื่อนฝูงแล้ว  ข้าราชการขุนนางก็ได้บริจาคด้วย  พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามงกุฎฯ  ก็ได้มีส่วนสนับสนุนทางการเงินด้วย  และที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นก็คือ  พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อเสด็จนิวัตกลับจากการประาสยุโรป  ก็ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ให้ด้วย

                จะมีอะไรที่จะเป็นรางวัลแก่แม่กิมฮ๊อก  ที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าคำกล่าวของกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ที่ได้เสด็จมาทำพิธีเปิดอาคารนี้ว่า

                ฉันมีความยินดีที่ได้มาร่วมในการเปิดอาคารบุญอิตอนุสรณ์
 ของบุคคลผู้ที่มีความดีผู้นี้  นายบุญอิต เป็นคริสเตียนที่แท้จริง
ผู้หนึ่ง ท่านทั้งหลายอาจจะยังไม่ทราบว่า ฉันได้เคยบอกให้
ตำแหน่งหน้าที่ซึ่งจะนำเขาไปสู่บรรดาศักดิ์อันสูงจากพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และอาจจะนำให้เขาได้ถึงตำแหน่งเทศา
ก็ได้และมีรายได้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น  แต่กระนั้นเขาได้ปฏิเสธเกียรติยศ
และรายได้อันดีเหล่านี้โดยสิ้นเชิง  เพื่อเขาจะได้รับใช้พระเยซูคริสต์
ต่อไป






3.  ยอดหญิงวีรสตรีผู้ปิดทองหลังพระ

              ใครจะรู้หรือใครจะเชื่อบ้างว่า บุคคลที่ยิ่งใหญ่เป็นดุจดาวดวงเด่นในประวัติศาสตร์ช่วงรัตนโกสินทร์ที่ทุกวงการรู้จักคือ หมอปลัดเลนั้น จะต้องตาย  ทิ้งลูกสาวคนสุดท้องชื่อไอรีนไว้ให้อยู่ต่อสู้ชีวิตแต่ผู้เดียวต่อไปอีกถึง 68 ปี  ช่วงสุดท้ายในวัยชราของไอรีนต้องเก็บข้าวของที่มีค่าในบ้านขายและจำนำเพื่อจะมีเงินพอสำหรับเลี้ยงตัวเอง

                ก่อนที่จะมาถึงชีวิตของยอดหญิงไอรีนผู้นี้  เราจำเป็นจะต้องรู้เรื่องราวความยิ่งใหญ่ของคุณพ่อของเธอพอสังเขปคือ หมอปลัดเลเสียก่อน  แล้วเราจึงจะเห็นชีวิตของไอรีนได้อย่างชัดเจนว่าเธอสมควรจะได้รับการยกย่องเป็นยอดหญิงวีรสตรีแห่งความเชื่อในประเทศไทยได้อย่างไร

                ดร.แดเนียล  บีช แบรดเลย์ (1804/2347-1873/2416)  เข้ามาทำงานในสยาม  โดยคณะ ABCFM  เป็นผู้ส่งมา  ท่านเดินทางจากบอสตันถึงบางกอกในวันที่  18  กรกฎาคม  1835/2478  ซึ่งตรงกับวันเกิดของท่าน  คือ 18 กรกฎาคม 1804/2347  ใช้เวลาเดินทาง  1 ปี  13 วัน  ท่านเป็นที่รักของประชาชนและสนิทสนมกับเจ้านายที่อยู่ในบางกอกสมัยนั้น ชาวสยามจึงให้ชื่อใหม่แก่ท่านว่า หมอปลัดเล  ภรรยาของท่านชื่อ อีมีลี่ รอยซ์   แบรดเลย์  เสียชีวิตหลังจากที่ได้มาร่วมทุกข์ร่วมสุขทำงานของพระเจ้ากับสามีในสยามเพียง  10  ปี 

                หมอปลัดเลเป็นมิชชันนารีชาวอเมริกัน ที่นักประวัติศาสตร์ทุกคนจะต้องรู้จักดี มีวิทยานิพนธ์หลายฉบับเขียนถึงเรื่องราวของท่าน  มีหนังสือหลายเล่มบันทึกเรื่องราวชีวประวัติของท่านไว้ทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาไทย ไอทีวี ได้เคยทำเรื่องของท่านเป็นสารคดีทางโทรทัศน์  บรรยายเฉพาะเรื่องการเดินทางโดยเรือของท่าน ที่วกเวียนอยู่ในบางกอกและสยาม  ออกอากาศอยู่เป็นเวลาถึง  2  เดือน  ห้องสมุดที่มีระดับทุกแห่งจะต้องมีหนังสือเกี่ยวข้องกับชีวิตและงานของหมอปลัดเลเอาไว้  และนั่นแหละคือเครื่องหมายที่จะตัดสินว่าห้องสมุดนั้นจัดอยู่ในระดับไหน  ประชุมพงศาวดารภาคที่  31  บันทึกเรื่องราวชีวิตและงานของหมอปลัดเลไว้โดยเฉพาะ   หมอปลัดเลเป็นพระสหายที่สนิทสนมกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   ท่านเคยถวายอักษรภาษาอังกฤษให้  พระองค์  ได้ช่วยหาและจัดตั้งโรงพิมพ์ไว้ที่วัดบวรฯ เมื่อพระองค์ยังทรงผนวชอยู่  พระองค์ท่านทรงเคยเขียนบทความโต้แย้งกับหมอปลัดเลบ่อยๆ ในหนังสือพิมพ์ที่หมอปลัดเลออกจำหน่ายในสยาม

                หมอปลัดเลเป็นเอ็มดีคนแรกที่ผ่าตัดในสยาม  ท่านตัดแขนของพระภิกษุที่ห้อยล่องแล่งอยู่  เนื่องจากไฟเนียงระเบิดในการฉลองเปิดวัดประยูรวงษาวาส  ซึ่งเป็นวัดของเจ้าพระยาพระคลัง  ทุกวันนี้เรายังเห็นอนุสาวรีย์ที่หมอปลัดเลตัดแขนพระ  ซึ่งได้สร้างไว้ที่ สวนมอ หน้าวัด  

ในสมัยนั้นทุกปีจะมีคนล้มตายด้วยโรคอหิวาต์นับพันๆ คน   หมอปลัดเลเป็นพระเอกสู้กับโรคนี้อยู่แต่ผู้เดียวเป็นเวลาหลายปี  ฝีดาษหรือไข้ทรพิษปลิดชีวิตผู้คนไปมากมาย   หมอปลัดเลได้ใช้เวลา  22 ปี ทดลองต่อสู้จนผลิตหนองฝีได้สำเร็จ  ใช้เป็นวัคซีนปลูกให้แก่ประชาชน  ซึ่งไม่มีใครเชื่อว่าจะเป็นไปได้  ท่านจึงต้องปลูกฝีกับลูกของตนเอง  เพื่อให้เกิดความเชื่อถือของประชาชน  พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ส่งหมอหลวงมาฝึกหัดกับท่าน  เพื่อนำไปปลูกให้กับประชาชนต่อไป  พระองค์ท่านได้พระราชทานเงินให้แก่หมอปลัดเล 3,000  บาท และหมอหลวงคนละ  200  บาท  หมอปลัดเลเปิดคลีนิคและสถานที่แจกจ่ายยาบนแพที่ท่านอาศัยอยู่  ท่านแจกจ่ายยาไปพร้อมกับใบปลิวเรื่องของพระเยซูคริสต์  งานของท่านเป็นที่ยอมรับของชนทุกชั้น  รวมทั้งขุนนางและเจ้านาย  สิ่งหนึ่งที่หมอปลัดเลสอนบรรดาผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายให้รู้เรื่องของสิทธิมนุษยชนก็คือ  คนมาก่อนก็ได้รับก่อนทุกคนต้องเข้าแถวรอรับการรักษารวมทั้งผู้ใหญ่  ผู้โต  ขุนนาง และเจ้านายด้วย    การพยาบาลรักษาของท่านได้เปลี่ยน ทัศนคติที่มีต่อมิชชันนารี  ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นภาพลบของเจ้านาย  ขุนนาง และประชาชน นับเป็นการสร้างความเข้าใจที่ดีให้เกิดขึ้น

                ประวัติศาสตร์ไทยยอมรับว่าหมอปลัดเลเป็นผู้นำเครื่องพิมพ์ดีดเข้ามาใช้เป็นคนแรกในสยามและตั้งโรงพิมพ์เป็นแห่งแรก  ท่านได้ปรับปรุงแก้ไขรูปร่างของตัวหนังสือเสียใหม่  เพื่อให้เหมาะสมที่จะหล่อเป็นตัวพิมพ์ได้  นั่นก็คือตัวหนังสือไทยที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้  โรงพิมพ์ของหมอปลัดเลนอกจากจะพิมพ์ใบปลิวสำหรับประกาศพระกิตติคุณแล้ว  ก็ยังมีโอกาสสนองพระเดชพระคุณของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3  โดยพิมพ์พระราชกฤษฎีกาห้ามสูบฝิ่น  9,000  ใบ  ท่านเป็นผู้ที่นำเอาวรรณคดีซึ่งจารึกไว้บนใบลานหรือสมุดไทยนั้น  มาพิมพ์ด้วยกระดาษสมัยใหม่ที่เรียกว่าสมุดฝรั่ง  ซึ่งเป็นการอนุรักษ์วรรณกรรมของไทยไว้ไม่ให้ตกหล่นเสียหายไป  ท่านเป็นคนแรกที่ได้ซื้อขายลิขสิทธิ์หนังสือโดยทำสัญญาซื้อหนังสือนิราศลอนดอนของหม่อมราชวงศ์ราโชทัย ซึ่งก็คือลูกศิษย์ก้นกุฏิที่เคยมาอยู่ มากิน มานอนที่บ้านของท่าน เพื่อเรียนภาษาอังกฤษ  ท่านเป็นผู้หนึ่งในคณะทูตไทยที่เดินทางไปลอนดอน

                ทุกวงการให้เกียรติแก่หมอปลัดเลว่า  ท่านเป็นบิดาของหนังสือพิมพ์และวารสารของไทย  ท่านใช้โรงพิมพ์ของท่านผลิตหนังสือพิมพ์ออกตั้งแต่ปี 1846/2387  มีหนังสือพิมพ์ออกจำหน่ายเป็นภาษาอังกฤษบ้าง  เป็นภาษาไทยบ้าง  เป็นรายเดือน และรายปีบ้างรวม 8  ฉบับ  จำหน่ายอยู่เป็นเวลา 24 ปี  ในช่วงนี้มีหนังสือพิมพ์ที่ออกโดยมิชชันนารีคณะแบ๊บติศ 3 ฉบับ 

                ท่านเป็นผู้ที่ต่อสู้ตำหนิฝรั่งเศสซึ่งพยายามจะฮุบสยาม  หมอปลัดเลป็นผู้เดียวในสยามสมัยนั้น ที่หันหน้าสู้กับฝรั่งเศส  จนตัวท่านนั้นถูกฟ้องคดีหมิ่นประมาท  เมื่อคดีสู่ศาลท่านเป็นฝ่ายแพ้ต้องถูกปรับ 1,500  ดอลลาร์   แม้กระนั้น ชาวต่างประเทศในบางกอกได้เรี่ยไรเงินเพื่อช่วยเหลือท่าน  และเช้าวันหนึ่งมีถุงใบใหญ่ใส่เงินเหรียญไว้หนักอึ้งวางอยู่ที่หัวบันไดบ้าน  หมอปลัดเลรู้ทันทีว่ามาจากไหน

                ภรรยาของท่านเสียชีวิตในปี 1845/2488  หมอปลัดเลจึงต้องกลับสหรัฐฯนำลูกทั้งสามไปด้วย   ท่านเกือบจะไม่ได้กลับสยาม  เพราะขัดแย้งกับ ABCFM ที่ส่งตัวท่านมา  ท่านจึงต้องออกหาเงินเพื่อจะส่งตัวเองและกลับมา สยามในนามของ AMA   ซึ่งเป็นองค์การมิชชันนารีที่ตั้งขึ้นเพื่อทำงานกับพวกนิโกร  หมอปลัดเลเสียชีวิตเมื่ออายุ  69 ปี    ใช้ชีวิตทำงานอยู่ในสยาม  39  ปี  ศพของท่านฝังอยู่ที่สุสานโปรเตสแตนท์  ซึ่งเป็นที่ดินที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4 พระราชทานให้สำหรับฝังศพคริสเตียนโปรเตสแตนท์   

                ไม่ปรากฏว่ามีผู้ใดที่รับเชื่อพระเยซูคริสต์เจ้าในงานของท่าน  แท้จริงแล้วคนไทยคนแรกในประวัติศาสตร์ที่เป็นคริสเตียนนั้น  ต้องใช้เวลาของมิชชันนารีถึง  31  ปี  ดังนั้นทุกครั้งที่มีคริสเตียนใหม่เกิดขึ้น  หมอปลัดเลจะดีใจจนหัวใจแทบวาย  ศาสตราจารย์ โดนอลด์  ลอล์ด เขียนไว้ในหนังสือของท่าน  Mo  Bradley and Thailand ว่ามีผู้คนสนใจในงานและคำสอนของท่านมาก แต่ล้วนเป็นผู้ที่พยายามจะมาของานทำ  ต้องการเป็นช่างในโรงพิมพ์  มิหนำซ้ำก็ยังขโมยตัวพิมพ์ไปขายด้วย  คนเหล่านี้พยายามแสดงตัวอยากจะเป็นคริสเตียน  แต่ท่านก็ปฏิเสธหมดทุกคน เพราะความไม่จริงใจของพวกเขา  ความยิ่งใหญ่นั้นอยู่ที่วรรณกรรมที่ท่านผลิต ไปเกิดผลกว้างไกลอย่างที่ไม่น่าเชื่เช่นพระยาสีหนาท  ข้าราชการผู้ใหญ่ของเจ้าหลวงลำปาง  ร่วมเดินทางมาถวายบรรณาการที่บางกอก  ท่านได้รับแจกพระธรรมมาระโกจากหมอปลัดเล  ซึ่งก็คือเมล็ดพระกิตติคุณเมล็ดแรกของลำปาง   เมล็ดพระกิตติคุณนี้ตกลงไปในคนหูหนวกและคนที่อ่านหนังสือไทยไม่ได้ซึ่งเป็นปัญหาของพระยาสีหนา  ท่านเป็นคนหูหนวกจึงสนใจในเรื่องของชายหูหนวกที่พระเยซูรักษา  ท่านอ่านตัวหนังสือไทยไม่ออก  เมื่อกลับไปแล้วก็เริ่มต้นเรียนภาษาไทยใช้เวลาถึง  20  ปี  ในปีนั้นท่านไปติดต่อราชการกับเจ้าอุปราชที่เชียงใหม่  ได้ศึกษาพระคัมภีร์กับ ดร.แมคกิลวารี อยู่ 2 วันจึงขอรับศีล  เมื่อกลับถึงลำปางก็รวบรวมพี่น้องและเพื่อนข้าราชการด้วยกันเปิดคริสตจักรขึ้น นับว่าลำปางนั้น ผู้ที่นำคริสตศาสนาไปคนแรกคือคนไทย  ในปี ค..1858/2401  ก่อนที่แมคกิลวารีจะมาถึงสยามเสียอีก  (1860/ 2403)
                เมื่อมิชชันนารีไปถึงเพชรบุรี  ได้พบกับนายกรที่สามารถจำพระคัมภีร์ได้ขึ้นใจจากพระธรรมยอห์  กิจการ แลโรมทุกถ้อยคำ  อีกทั้งก็สอนลูกหลานให้จำด้วย  ท่านผู้นี้เป็นคริสเตียนคนแรกที่เพชรบุรีด้วยตนเอง  แต่แน่นอนจากการอ่านวรรณกรรมของหมอปลัดเล

ในปี  1873/2416  ซึ่งปีเดียวกันนั้นท่านได้เสียชีวิตคือวันที่  23  มิถุนายน  1873/2416   ท่านได้พิมพ์หนังสือที่ได้ทำงานหนักต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายปีจนสำเร็จชื่อ  อักขราภิธานศรับท์ (Dictionary of the Siamese  Language by  Dr.D.B.BRADLEY  MD. Bangkok  1873)  และได้พิมพ์ออกจำหน่ายเป็นครั้งแรก  หนังสือเล่มนี้เป็นการอธิบายศัพท์ภาษาไทยเป็นภาษาไทย  ที่นับว่ามีค่าอย่างยิ่งก็เพราะมีศัพท์ภาษาไทยจำนวนมากที่ท่านได้รวบรวมไว้  แต่ปัจจุบันสูญหายไปหรือมิได้ใช้อีก  จึงเป็นหนังสือที่ช่วยในการค้นคว้าให้ได้ความหมายของคำได้เป็นอย่างดี และนอกจากนั้นทุกคนที่ได้อ่านก็จะบอกว่าเป็นหนังสือที่อ่านสนุก  อักขราภิธานศรับท์  ได้พิมพ์ออกจำหน่ายอีกหลายครั้ง  ซึ่งก็เป็นตัวพิมพ์ดั้งเดิมของหมอปลัดเลเอง  ปัจจุบันนี้ยังมีจำหน่ายอยู่ที่ศึกษาภัณฑ์ ราคาเล่มละ  1,200  บาท  อักขราภิธานศรับท์จึงเป็นอนุสรณ์ชิ้นเดียวของหมอปลัดเลที่ยังมีชีวิตอยู่

ไม่มีถาวรวัตถุ  ไม่มีอนุสาวรีย์ที่สร้างไว้ให้เป็นเกียรติแก่หมอปลัดเล  ที่มีอยู่ก็คืออาคารบลัดเลย์  ซึ่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนได้สร้างไว้เป็นอนุสรณ์ถึงท่าน 
                ลูกสาวของหมอปลัดเลคนสุดท้องชื่อว่า ไอรีน ได้เสียชีวิตไปเมื่อปี ค.. 1941/2484 นี้เอง  ยอดหญิงวีรสตรีของคริสตจักรไทย ผู้นี้ เกือบจะหายสาบสูญไปพร้อมกับกาลเวลา  ถ้ามิใช่เพราะแหม่มเบอร์ต้าเบล้าท์บันทึกไว้เราก็จะไม่รู้เรื่องวีรกรรมของผู้ปิดทองหลังพระแห่งประวัติศาสตร์ของคริสตจักรไทยผู้นี้ได้เลย
 
แหม่มเบล้าท์ เป็นชื่อที่ชาววังหลังและช่วงแรก ๆ   ของวัฒนาวิทยาลัย    รู้จักกันดี  ท่านมาถึงสยามในปี 1908/2451 ต่อมาได้รับช่วงเป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัยต่อจากแหม่มโคล์       แหม่มเบล้าท์ได้แต่งงานกับหมอ ยอร์จ บี.แมคฟาร์แลนด์หรือพระอาจวิทยาคม ท่านเป็นนักเขียนที่มีความสามารถผู้หนึ่ง เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม  Our  garden  was  so fair  เป็นหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่ท่านเขียนขึ้นในระหว่างที่ถูกจับเพราะเป็นชาวอเมริกันที่ถือว่าเป็นชนชาติศัตรูในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง โดยถูกคุมตัวไว้ที่บ้าน Holyrood  ซึ่งปัจจุบันคือ YWCA  ถนนสาร ต่อมาได้เดินทางกลับอเมริกาโดยทางเรือเป็นการแลกเปลี่ยนเชลย   เรื่องหนึ่งในหนังสือเล่มนี้ซึ่งไม่เคยปรากฏที่ไหนเลยก็คือ  ชีวิตของไอรีนลูกสาวคนสุดท้องของหมอปลัดเลที่ไม่เคยไปอเมริกาเลย  ในขณะที่พี่ ๆ ของท่านกลับไปสหรัฐฯได้รับการศึกษาและเจริญรุ่งเรืองขึ้น  แต่ไอรีนตัดสินใจอยู่กับพ่อแม่เพื่อช่วยงานและดูแลท่านทั้งสองเมื่อสูงอายุ  ไอรีนต้องว้าเหว่อยู่เมื่อบิดาและมารดาของท่านชราและสิ้นชีวิตในแผ่นดินสยาม  เรื่องราวของท่านได้บันทึกไว้อย่างบรรเจิดบรรจง โดยแหม่มเบล้าท์

                ในช่วงแรก ๆ ของมิชชันนารีที่เข้ามาในประเทศสยาม ซึ่งอยู่ในรัชสมัยของรัชกาลที่ 3 นั้น  ไม่มีผู้ใดที่มีสิทธิ์ที่จะเช่าหรือซื้อที่ดินสำหรับปลูกบ้านหรือทำสำนักงานได้  เหตุการณ์อันท้อแท้ใจของพวกมิชชันนารีก็หมดสิ้นลง   เมื่อรัชกาลที่ 4 ขึ้นครองราชย์ในปี 1851/2394  พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นคุณความดีและทรงสนิทสนมกับพวกมิชชันนารี  หมอปลัดเลเป็นพระสหายสนิทของพระองค์  จึงได้รับพระบรมราชานุญาตให้เช่าที่ดินหลังป้อมวิชัยประสิทธิ์ ปากคลองบางหลวง  การเช่านั้นตกลงกันในราคาปีละ 320  บาท   สัญญาเช่านั้นนานเท่ากับที่คณะมิชชันนารีของหมอปลัดเลให้ความเคารพนับถือกฎหมายไทย   แต่ไม่ปรากฏว่ามีการเก็บค่าเช่า  ที่ดินนี้ซึ่งเป็นที่ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หมอปลัดเลได้สร้างบ้านขึ้น 3 หลังในที่ดิน 4 ไร่กว่าสำหรับมิชชันนารีในคณะของท่าน  และได้สร้างอาคารอีกหลังหนึ่งสำหรับใช้เป็นโรงพิมพ์  บ้านหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ของครอบครัวหมอปลัดเลมาตลอด  หมอปลัดเลมีลูกรวม 10 คน   สามคนตายเมื่อยังเป็นทารก  ส่วนที่มีชีวิตอยู่อีก 7 คนนั้น  คนสุดท้องเป็นหญิงชื่อไอรีน  บิดาของเธอถึงแก่ความตายเมื่อไอรีนกำลังเข้าสู่วัยรุ่น  พี่ๆ ของเธอเดินทางไปรับการศึกษาในสหรัฐทั้งหมด   ส่วนไอรีนนั้นไม่เคยจากแผ่นดินสยามเลย เป็นลูกคนสุดท้องที่อยู่ปรนนิบัติช่วยเหลือพ่อแม่  และต่อมาได้เป็นผู้ดูแลโรงพิมพ์  แต่ไอรีนไม่ใช่คนที่ไร้การศึกษา  แม่ของเธอเป็นหญิงที่เฉลียวฉลาด และเป็นหญิงคนแรก ๆ ที่ได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัย Oberlin  นางเป็นผู้ที่สอนลูกทุกคนให้สามารถไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยได้  ไอรีนก็เป็นลูกคนหนึ่งที่ได้รับการสั่งสอนจากนางแต่เธอไม่มีโอกาสเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยเลย  แต่เป็นผู้ที่มีความสามารถในภาษากรีก  ลาตินและฮีบรู  ไอรีนสามารถจำพระคัมภีร์ได้มากมายรวมทั้งบทที่เป็นเรื่องของลำดับวงศ์ซึ่งเป็นรายชื่อของคน  ก็โดยที่บิดามารดาของไอรีนมีความเชื่อว่าพระคัมภีร์ทุกตอนเป็นพระวจนะที่พระเจ้าทรงดลบันดาลให้เขียนและเหมาะสมสำหรับการอบรมสั่งสอน

                เมื่อดิฉันมาถึงบางกอกนั้น  ไอรีนเป็นคนเดียวที่ยังอยู่ในบ้านหลังนั้น เธอเป็นคนสูงโปร่งมีดวงตาประกายจดจำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง  โรงพิมพ์นั้นได้ขายไปนานแล้ว  รายได้ของเธอมาจากการสร้างร้านเล็ก ๆ ตามแนวคลองเพื่อให้เช่าและเก็บเงินจากเรือบรรทุกอ้อยซึ่งมาจากชนบทไกลๆ แล้วมาจอดที่ท่าหน้าบ้านของเธอ  เธอมีสุนัขเป็นเพื่อนที่สนิทสนมยิ่งกว่าผู้ใด  ทั้งนี้ก็เพราะเธอรักสุนัข  สุนัขเป็นเพื่อนแท้ตลอดชีวิตของเธอ  เธอเคยมีสุนัขถึง  20  ตัว  และต่อมามีจำนวนลดลงเหลือ 10  ตัว  มีพวกหนึ่งอยู่บนบ้าน  อีกพวกหนึ่งอยู่ไต้ถุนบ้าน  และทั้งสองพวกจะไม่เกี่ยวข้องกัน ถึงเวลาที่มันเห่ามันก็เห่าพร้อมเพรียงกัน   ไอรีนน่าจะเป็นผู้ที่มีคนมาเยี่ยมเยียนมากมายถ้าเธอจะมีสุนัขจำนวนน้อยกว่านี้สักหน่อย  เพราะผู้คนไม่ค่อยชอบ  พากันตกอกตกใจเมื่อได้ยินสุนัขเห่าประสานเสียงต้อนรับพวกเขา   ดิฉันก็ต้องสารภาพว่าตอนแรก ๆ  นั้นดิฉันขาสั่นไปหมด  แต่เวลานี้พวกมันรู้จักดิฉันดีและยอมรับเป็นเพื่อน  ถึงแม้ว่าขณะนี้จะไม่กลัวมันมากนักก็ตาม  แต่ดิฉันไม่เคยมาถึงจุดนั้นที่จะรักสุนัขของไอรีนสักตัวเดียว  แต่เธอก็รักมันเพราะไม่มีผู้ใดที่ยอมรับเป็นเจ้าของพวกมัน และมันก็ต้องพึ่งพาอาศัยเธอ

                ดิฉันได้รับการแนะนำให้รู้จักกับไอรีนเมื่อมาถึงบางกอกใหม่ ๆ  แต่ก็ไม่คุ้นเคยและรู้สึกรักเธอจนเมื่อไม่นานมานี้  แต่ดิฉันสนใจในไอรีนมากที่เธอเป็นคนที่เฉลียวฉลาด  มีความรอบรู้สถานการณ์ของโลกเป็นอย่างดี  ทุกครั้งที่สนทนากันเธอก็มีหลายสิ่งหลายอย่างที่กระตุ้นให้ดิฉันได้คิดเพราะเธอเป็นผู้ที่เข้าใจสถานการณ์และเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ลึกซึ้งดีกว่าผู้ใด  เป็นผู้ที่สามารถจดจำได้อย่างแม่นยำ  ผู้ใดก็ตามที่มาสนทนากับเธอแล้วก็ต้องตัวเกรงเมื่อถกกันถึงเรื่องสถานการณ์ของโลก  ที่นับว่าสำคัญมากก็คือเธอเป็นแหล่งแห่งข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์และเรื่องของคนเก่าๆ ในสยาม

                ไอรีนเป็นบุคคลที่มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 19 แม้วันเวลาได้เปลี่ยนไปเป็นศตวรรษที่ 20 แล้ว  แต่ชีวิตของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย  ถ้าเราสามารถที่จะมองผ่านทางสายตาของเธอได้แล้ว  สิ่งที่เราได้รับนั้นล้วนมีคุณค่าแก่การศึกษาทั้งสิ้นเมื่อเรามองดูจากแง่มุมของโลกยุคใหม่ของเรา  ยิ่งกว่านั้นอีกการที่รู้จักมักคุ้นกับเธอนั้นก็นับว่าเป็นกำไร  เพราะทำให้เราสามารถที่จะรู้เรื่องชีวิตของบุคคลที่อยู่ในยุคบุกเบิกในหลาย ๆ เรื่องซึ่งไม่ได้บันทึกไว้

                ครั้นเมื่อกาลเวลาเคลื่อนย้ายไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง  คนรุ่นก่อน ๆ ที่รู้จักมักคุ้นกับเธอก็ค่อย ๆ หายไปจากเวทีชีวิตของพวกเขา  คนเดียวเท่านั้นที่ยังเชื่อมโยงอยู่ระหว่างอดีตกับปัจจุบันที่สามารถพูดคุยกับเธอได้อย่างมีชีวิตชีวา  ก็คือสามีของดิฉันผู้เดียว  ถ้าจะมีอีกผู้หนึ่งก็คงจะต้องเป็นภรรยาของท่านนั่นเอง  ก็คือ  ข้าพเจ้าที่ช่วยดูแลเอาใจใส่ไอรีน ด้วยความสำนึกว่า  พวกเราในยุคหลังสมัยหลัง  ควรจะมีความรู้สึกกตัญญูต่อครอบครัวแบรดเลย์ที่ได้เป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้ที่วางพื้นฐานไว้ให้แก่พวกเราที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆ ขึ้นมาได้  เป็นที่แน่ชัดว่าในบรรดามิชชันนารีทั้งหลายที่อยู่ในสมัยเริ่มต้นนั้น  ไม่มีผู้ใดที่ได้ทำสิ่งดีงามทิ้งไว้ให้แก่พวกเรารุ่นหลังเท่ากับที่ ดร.แดนบีช  แบรดเลย์ได้ทำไว้  เราทั้งหลายเป็นหนี้ท่านซึ่งเป็นหนี้ที่เราไม่สามารถจ่ายชำระคืนให้ได้  นอกจากดอกเบี้ยซึ่งเป็นดอกเบี้ยทางบุญคุณนั้น  เราก็ควรจะจ่ายให้แก่ลูกสาวคนสุดท้องของท่าน  สำหรับดิฉันนั้น  ดิฉันรักเขา  เพราะเธอได้ทำประโยชน์ให้แก่ดิฉันมากมายและเธอก็เป็นเพื่อนของดิฉัน

                ในที่สุดเรืออ้อยเหล่านั้นที่เคยมาจากชนบทไกล ๆ  ก็ไม่ได้มาเทียบที่ท่าเรือของบ้านเธออีก  ส่วนร้านที่ปลูกอยู่ข้างคลองนั้นก็ถูกน้ำเซาะสลายหายไป  ดังนั้นรายได้ที่เคยได้รับก็พลอยหมดไปด้วย  ความทุกข์ยากลำบากอย่างยิ่งคืบคลานเข้ามาหาไอรีน  ทุกครั้งที่เกิดปัญหาขึ้น  ดิฉันก็ถามไอรีนอยู่เสมอว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง  แต่คำตอบที่ได้รับจากไอรีนนั้น  มักจะเป็นคำตอบที่สงบสุขุมว่า ดิฉันจัดการกับมันได้

 ไอรีนเป็นคนที่มีความภาคภูมิใจในตนเอง  มีจิตใจที่เข้มแข็ง  การที่คิดจะต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นนั้นเป็นความรู้สึกที่ขมขื่น  แม้กระนั้นก็ถึงเวลาที่เธอจะต้องยอมถามขอยืมเงินจากดิฉัน  ดิฉันทราบจากคนรับใช้ในบ้านว่าไอรีนไม่มีเงินเลย  ไอรีนได้นำสิ่งของที่มีค่าเกือบทุกอย่างในบ้านไปจำนำหมดแล้ว  เพื่อเธอจะมีเงินสำหรับซื้ออาหาร นับแต่บัดนั้นมา  เงินยืมก็กลายเป็นหนี้สินที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นๆ  ดังนั้นดิฉันจึงส่งข่าวไปถึงพี่ๆ ของไอรีนให้ได้ทราบถึงสถานการณ์ที่ไอรีนเผชิญอยู่  พวกเขาจึงทยอยส่งเงินมาที่ดิฉันเพื่อให้ไอรีนใช้  ในส่วนนั้นเธอก็ได้รับการดูแลเอาใจใส่ดีพอสมควร  แต่ไอรีนเริ่มอิดโรยลงตามวาระของคนชรา  ไอรีนบอกว่าเธอรู้สึกหมดเรี่ยวแรง  และบอกต่อไปว่า  ตลอดเวลาต้องมีแอมโมเนียในมืออยู่เสมอ เพื่อใช้ดม  เธอไม่ยอมไปหาหมอ และก็ไม่ต้องการที่จะให้หมอมาตรวจและมาดูแลเธอด้วย  

ขณะนั้นดิฉันและหมออร์จ แม๊คฟาร์แลนด์อยู่ที่บ้านโฮลี่รู๊ด ถนนสาร จึงเป็นการยุ่งยากอย่างยิ่ง  ที่จะข้ามฟากมาโดยเรือสำปั้นเพื่อจะเยี่ยมเธอที่ป้อมวิชัยประสิทธิ์  แต่ดิฉันก็พยายามไปเกือบทุกเย็น ไอรีนตั้งหน้าตั้งตาคอย  ต่อมาดิฉันก็ไปหาเธอวันละสองครั้ง  ดิฉันรู้ว่าเธอมีเวลาอีกไม่นาน  และเธอเองก็เข้าใจเช่นนั้น  ไอรีนพูดเสมอถึงชีวิตหลังความตาย  เรื่องเมืองบรมสุขเกษมและพระกรุณาธิคุณของพระเจ้า
               
เย็นวันหนึ่ง  เด็กรับใช้ของไอรีนแจวเรือข้ามฟากมาหาดิฉันกลางดึก  บอกว่าไอรีนคงจะสิ้นชีพแล้ว  เพราะไม่มีชีพจรอีกแล้ว  ดิฉันก็เพิ่งจากเธอมาเมื่อไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง  ดิฉันรู้ว่าเวลาจากไปของเธอนั้นใกล้มากแล้ว  แต่ไม่ได้นึกว่าจะเร็วเช่นนั้น  หัวใจของเธอคงจะหยุดเต้นแล้วและเธอก็คงหลับไปอย่างสงบ  ดิฉันและคุณพระรีบเดินทางไปบ้านไอรีนทันที  ก็พบว่าไอรีนไปแล้ว

                นับเป็นเวลานานทีเดียวที่กองทัพเรืออยากจะซื้อที่ทางของไอรีน  เพื่อสำหรับใช้ขยายโรงเรียนนายเรือที่ติดอยู่กับที่ดินของเธอ  หรือมิฉะนั้น  ถ้าเธอไม่ขาย ราชนาวีก็เสนอสร้างนังริมคลองเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเซาะดินต่อไป  ส่วนป้อมที่อยู่ติดกับที่ดินของเธอนั้น  รัฐบาลได้เอาเสาอากาศขึ้นไปติดตั้ง จนเป็นที่น่าหวาดกลัวว่าป้อมจะทรุดลงวันหนึ่ง  แต่หญิงชราผู้นี้ปฏิเสธข้อเสนอทุกประการ  เพราะไม่ต้องการความสับสนวุ่นวายใดๆ ที่จะเกิดขึ้น  ทั้งนี้เพราะเธอรู้ว่าจะอยู่ต่อไปอีกไม่นาน  แต่แท้จริงแล้วเธอครอบครองที่ดินผืนนี้ในฐานะผู้เช่าอาศัยเท่านั้น  แต่ความจริงข้อนี้รัฐบาลไม่เคยรู้  ก็เพราะการเซ็นสัญญาได้กระทำกันนมนานมาแล้ว จนไม่มีใครในรุ่นนั้นที่ยังอยู่และสามารถจำข้อตกลงได้  ทุกคนเข้าใจว่าที่ดินผืนนี้พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวคงจะพระราชทานให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่หมอปลัดเล  ซึ่งคงจะเป็นการตอบแทนกันบางอย่าง  หรืออาจจะทรงพระราชทานให้แก่หมอ หรือ อาจจะทรงพระราชทานให้เป็นที่อยู่ของหมอ สำเนาข้อตกลงที่รัฐบาลมีอยู่นั้นสูญหายไปนานแล้ว  ผู้เดียวที่มีสำเนาอยู่ก็คือ ไอรีน  เธอเก็บรักษาไว้อย่างดี  สัญญานั้นลงพระนามโดย รัฐมนตรีต่างประเทศ  จนกระทั่งหลังจากที่เธอสิ้นชีพไปแล้ว  ดิฉันพบเอกสารนั้นจึงรู้ความลับ  เธอรู้ดีว่าเธอไม่มีสิทธิทางกฎหมาย แต่เธอปรารถนาอย่างเดียวคือ  ขอให้ได้อยู่ในบ้านที่เกิดและตายในบ้านซึ่งเธอได้เกิดมา

                เราเอาธงชาติอเมริกันคลุมศพของเธอ  ซึ่งเป็นธงชาติผืนเดียวที่เธอรักมากและจะชักธงนี้ทุกครั้งเมื่อถึงวันที่ 4 กรกฎาคม  ดิฉันไม่เคยเห็นใครที่ไหนที่รักอเมริกามากเท่าเธอ  ทั้งๆ ที่เป็นแผ่นดินซึ่งเธอไม่เคยเห็นและไม่เคยเหยียบย่างไปถึง  แต่เป็นแผ่นดินที่คุณพ่อและคุณแม่ของเธอมา  เราได้นำเอาศพของ ไอรีนไปฝังไว้ข้าง ๆ หลุมศพของคุณพ่อและคุณแม่ของเธอที่ได้เคยใช้ชีวิตสร้างคุณาประโยชน์นานาประการให้แก่สยาม

                เวลาที่จะต้องโอนผืนดินนั้นให้แก่รัฐบาลก็มาถึง  ส่วนเอกสารสัญญานั้นก็ได้กลายเป็นสมบัติที่มีคุณค่าทางวัตถุโบราณ  ครอบครัวปลัดเลได้คืนผืนดินนั้นโดยไม่ได้เรียกร้องค่าป่วยการใดๆ  แต่ด้วยความรู้สึกสำนึกในพระคุณที่ครอบครัวหมอปลัดเลเคยอาศัยอยู่  และคนสุดท้ายที่อยู่ก็คือลูกสาวสุดท้องของท่าน รัฐบาลได้มอบเงินจำนวน 3,000 บาทให้กับ  แคทธารีน  แฮรีต  นิลเลอร์  หลานสาวของหมอปลัดเล  ทายาทที่ใกล้ชิดที่สุด  เงินนี้ได้ใช้เพื่อการขนย้าย  และไถ่ถอนสิ่งของซึ่งไอรีนเคยจำนำไว้

                รัฐบาลได้มอบโล่ห์ให้แก่ดิฉัน ซึ่งทำความประหลาดใจให้แก่ดิฉันมาก  แต่เจ้าหน้าที่พยายามอธิบายว่าเป็นโล่ห์ที่ทางราชการให้เพื่อเป็นการขอบพระคุณที่ดิฉันได้มีส่วนทำให้เรื่องราวจบลงด้วยดี  โล่ห์นั้นมีรูปสลักของสมอเรือและโซ่ทองคำ และเครื่องหมายสัญลักษณ์ของกองทัพเรือ  ข้อความที่บันทึกอยู่บนโล่ห์ห์นั้นจารึกถึงว่ามอบให้ดิฉันเพื่อเป็นการขอบพระคุณที่ได้ทำ คุณงามความดีสูงสุดแก่ราชนาวีไทย  ได้มีพิธีมอบกันโดยผู้บัญชาการกองทัพเรือและจดหมายแสดงความขอบคุณจากปลัดกระทรวงกลาโหม

                โล่ห์กลับกลายเป็นของดิฉัน  แต่แท้ที่จริงนั้นคุณงามความดีทั้งสิ้นเป็นการกระทำของครอบครัวปลัดเลซึ่งดิฉันเองมีส่วนอยู่ด้วยน้อยนิด































No comments:

Post a Comment