Pages

Thursday, July 21, 2011

วีระบุรุษแห่งความเชื่อคริสเตียนไทย

ศจ.บุญต๋วน  บุญอิต
วีระบุรุษแห่งความเชื่อคริสเตียนไทย
โดย พิษณุ  อรรฆภิญญ์

                ศจ.บุญต๋วน  บุญอิต  เป็นบุคคลที่สมควรได้รับเกียรติและได้รับการเทิดทูนว่าเป็นวีรบุรุษแห่งความเชื่อศรัทธาคนหนึ่งของคริสเตียนไทย   เพราะความสามารถอันยิ่งใหญ่และโอกาสของท่านนั้นได้มอบให้แก่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าอย่างสิ้นเชิง   แม้ท่านจะมีเวลาอยู่ในโลกนี้เพียง 38  ปี  แต่ก็เป็นชิวิตที่มีคุณาประโยชน์สำหรับคริสตจักรในประเทศไทยอย่างมากมาย 
ท่านควรจะได้เป็นเทศา  ซึ่งนับว่าเป็นตำแหน่งที่สูง   ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงกล่าวไว้เมื่อท่านเสด็จมาเป็นประทานในการเปิดอาคารบุญอิตศิลปาคารที่ได้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ถึงท่าน เพื่อใช้เป็นสำนักงานของสมาคม ไว.เอ็ม.ซี.เอ กรุงเทพฯว่า
          ฉันมีความยินดีที่ได้ช่วยเหลือในอนุสรณ์ของบุคคลผู้มีความดีผู้นี้  นายบุญต๋วนเป็นคริสเตียนที่แท้จริงผู้หนึ่ง  ท่านทั้งหลายอาจจะยังไม่ทราบว่า  ฉันได้เคยเสนอให้ตำแหน่งหน้าที่ซึ่งจะนำเขาไปสู่บรรดาศักดิ์อันสูงจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และอาจจะนำให้เขาได้ถึงตำแหน่งเทศา และมีรายได้เพิ่มพูนขึ้น แต่กระนั้นเขาก็ได้ปฏิเสธเกียรติยศและรายได้อันนี้โดยสิ้นเชิง  เพื่อเขาจะได้รับใช้พระเยซูคริสต์ต่อไป
                ศจ.บุญต๋วน บุญอิตมีโอกาสที่จะได้ศึกษาวิชาแพทย์ศาสตร์ในขณะที่กำลังเรียนอยู่ในสหรัฐอเมริกา  แต่ท่านตั้งใจถวายตัวรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า   จึงได้เลือกเรียนศาสนศาสตร์  จนได้ปริญญา B.D. ซึ่งเป็นปริญญาของผู้ที่เตรียมตัวเป็นศาสนาจารย์  ต้องใช้เวลาศึกษาอย่างน้อย 7 ปี  ซึ่งท่านน่าจะได้มีโอกาสก้าวหน้าในสหรัฐอเมริกา  แต่ก็ได้ถวายตัวเป็นมิชชันนารีมาประเทศไทย  ไปทำงานในที่กันดาร  ท่านจึงเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับปริญญา B.D. ซึ่งนับว่าเป็นปริญญาทางศาสนาที่สูงมาก 
                ศจ.บุญต๋วน บุญอิต  เมื่อได้สำเร็จการศึกษาแล้ว  ก็ได้แปลงสัญชาติเป็นคนอเมริกัน   เพราะต้องการสมัครเป็นมิชชันนารีมาประเทศไทย     แต่บอร์ดของคณะมิชชั่นมีกฎว่าจะต้องเป็นคนอเมริกันเท่านั้น ซึ่งท่านเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับสิทธินี้  นอกจากแฝดสยามอินจันที่กัปตันคอฟฟินซื้อกลับไปอเมริกาเพื่อออกตระเวณปิดวิคหาเงิน
                ศจ.บุญต๋วน  บุญอิต  ควรจะได้รับบรรดาศักดิ์ไม่ต่ำกว่าพระยาถ้าท่านรับราชการ  เพราะเด็กไทย 2 คนที่หมอเหาพาไปอเมริกาด้วยนั้น  มีเด็กชายบุญต๋วน ที่ได้อยู่และล่ำเรียนวิชาชั้นสูงอยู่ในสหรัฐฯเป็นเวลา 17 ปี  ส่วนเด็กชายอีกคนหนึ่งชื่อกร อำมาตยกุล เป็นลูกของพระปรีชา  หลานของนายโหมด อำมาตยกุล ที่ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยากษาปณ์กิจโกศล ท่านผู้นี้ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์เรียนวิชาเคมีกับหมอเหา  เด็กชายบุญต๋วนและเด็กชายกรได้รับการอุปการเลี้ยงดูจากคริสตจักรของหมอเหา นายกรเลือกเรียนวิชาวิศวกรรมเหมืองแร่  แต่กลับบ้านเสียก่อนจึงไม่ได้รับปริญญา  นายกร อำมาตยกุล  รับราชการอยู่ในกระทรวงศึกษาธิการ  สอนฟิสิกส์และเคมีในโรงเรียนของรัฐบาล จนได้รับบรรดาศักดิ์เป็นหลวงวินิจวิทยาการ ต่อมาเป็นหัวหน้ากองการสอบไล่ ได้รับบรรดาศักดิ์เป็นพระยาวินิจวิทยาการ ทำให้เราพอจะเข้าใจได้ว่า ศจ.บุญต๋วนผู้มีประสบการณ์และการศึกษาที่นับว่าสูงมากในสมัยนั้น  ก็น่าจะได้บรรดาศักดิ์ที่สูงและเป็นที่เคารพนับถือในแวดวงราชการได้ไม่ยากนักถ้าท่านประสงค์จะกระทำเช่นนั้น
                ศจ.บุญต๋วน  บุญอิต เป็นผู้บุกเบิกจนเกิดคริสตจักรขึ้นที่พิษณุโลก  เป็นผู้รวบรวมเงินจากคนไทยได้ 4000 บาท สร้างโรงเรียนชายคือโรงเรียนผดุงราษฎร์  ที่ยังรับใช้ชาวพิษณุโลกอยู่จนทุกวันนี้
                ศจ.บุญต๋วน บุญอิต ถึงแม้ท่านจะไม่ได้เป็นผู้สร้างอาคารซึ่งเป็นที่ตั้งของสมาคมไวเอ็มซีเอกรุงเทพฯที่ถนนวรจักร  แต่ท่านเป็นผู้ที่นำนิมิตนั้นมาสู่สยาม  หลังจากที่ไว.เอ็ม.ซี.เอ กำเนิดขึ้นเป็นครั้งแรกที่ลอนดอนเพียง 10 ปี  มิตรสหายเพื่อนฝูงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เจ้านายและเชื้อพระวงศ์ ได้ร่วมกันบริจาคสร้างอาคารบุญอิตศิลปาคารขึ้นที่ถนนวรจักร  เพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงท่าน
                ศจ.บุญต๋วน  บุญอิต  กำลังทำความเจริญให้แก่พิษณุโลกอยู่แล้ว  แต่ผู้นำของมิชชั่นในสมัยนั้นและคริสเตียนอีกหลาย ๆ คน ได้เรียกร้องให้ท่านลงมาทำงานในกรุงเทพฯ  เพราะท่านเป็นผู้เดียวที่สามารถจะเข้าใจและเป็นที่สนใจของนักเรียน นักศึกษาคนรุ่นใหม่ได้  เวลานั้นถึงกำหนดที่ครอบครัวของท่านจะได้รับการพักผ่อนตามระเบียบของมิชชันนารี  ท่านตั้งใจจะไปญี่ปุ่น  แต่เลิกความคิดเสีย  ได้ใช้เวลาทุ่มเทให้แก่การสร้างโบสถ์ของคริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์  ท่านเป็นผู้ที่ลงไปในคลองสาธรเพื่อเอาไม้ซูงเข็นขึ้นมาสร้างโบสถ์และ ณ ที่นี้เอง  ท่านได้รับเชื้ออหิวาตกโรคจนถึงแก่ความตายในที่สุด
           



ต้นตระกู

                คนไทยคนแรกที่ได้รับเชื่อพระเยซูคริสตเจ้า ชื่อนายชื่น ได้รับบัพติศมาที่คริสตจักรสำเหร่ วันที่ 3 สิงหาคม  ค.ศ. 1859  นับเป็นเวลา 31 ปีที่มิชชันนารีหลายคณะได้ทำงานอยู่ในสยามต่อเนื่องกันถึง 31 ปี 
                ก่อนหน้านั้นผู้ที่ได้รับบัพติศมาเป็นคริสเตียนเป็นชาวจีน 2  คน  คือในปี ค.ศ. 1832 นายบุญตี่  ได้รับบัพติศมากับหมอกุสร๊าฟ  มิชชันนารีหนึ่งในสองคนแรกที่มาถึงประเทศไทย เมื่อปี ค.ศ. 1828  คนที่สองชื่อกี่เอ็งป๊วยเซียน  ได้รับบัพติศมาในปี ค.ศ. 1838 กับศาสนาจารย์สตีเฟ่น จอห์นสัน  มิชชันนารีคณะอเมริกันบอร์ด (A.B.C.F.M) อีก 5 ปีต่อมามิชชั่นคณะนี้ได้ถอนตัวออกจากประเทศไทย  ซินแสกี่เอ็งป๊วยเซียน  ก็มิได้ถดถอยไปจากความเชื่อทั้งๆที่ในช่วงนั้นได้เกิดวิกฤตขึ้น  เป็นเวลาที่บ้านเมืองไม่ต้อนรับฝรั่งถึงกับปิดประเทศ  ไม่มีใครกล้าเข้ามาใกล้มิชชันนารี  แม้แต่ครูและคนงานในบ้านก็ถูกจับกุม ซินแสกี่เอ็งป๊วยเซียนมีความกล้าพอที่จะยึดมั่นอยู่ในความเชื่อ  จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1849 ได้เกิดคริสตจักรเพรสไบเตอเรียนขึ้นในสยาม สมาชิกเป็นมิชชันนารี 5 คน  อีก 8 วันต่อมา  ซินแสกี่เอ็งป๊วยเซียนได้มาแสดงตนเข้าเป็นสมาชิกของคริสตจักร  ซึ่งก็นับว่าท่านเป็นชาวพื้นเมืองคนแรกของคริสตจักรเพรลไบเตอเรียนในสยามขณะนั้นท่านมีอายุ 45 ปีแล้ว
ซินแสกี่เอ็งป๊วยเซียน เป็นชาวจีนฮกเกี้ยนมาจากเมืองเอหมึง   เป็นผู้ที่มีความรู้ทางการแพทย์สายจีนชำนาญในการรักษาตา  คำว่าป๊วยเซียนเป็นฉายาที่ชาวบ้านให้แก่ท่านซึ่งแปลว่าหมอเทวดา  ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บางป่าราชบุรี  เป็นสอนภาษาจีนให้แก่เด็กๆที่บ้านของท่านด้วย  หมอเหากล่าวถึงท่านว่าเป็นสุภาพบุรุษที่น่านับถือ  สง่างามและมีสติปัญญา  ต่อมาเมื่อคณะมิชชั่นได้รับอนุญาตให้ซื้อที่ดินปลูกสำนักงานได้ที่กุฎีจีน  ก็ได้เปิดโรงเรียนชายขึ้นครั้งแรกในเดือนกันยายน 1952  หมอเหาก็ได้ซิงแสกี่เองป๊วยเซียนมาเป็นผู้ช่วยในการบริหารและสอนนักเรียนเป็นภาษาจีน  ครอบครัวของท่านได้ย้ายเข้ามาอยู่ในบริเวณของมิชชั่นด้วย
ซินแสกี่เอ็งป๊วยเซียนมีลูก 5 คน  คนที่ 2 และ 3 เป็นหญิง  นางต๋วนเป็นคนที่ 2  ต่อมา 5 คนนี้ได้กลายเป็นตระกูลใหญ่ที่เกิดเป็นสาขามากมายถึง 65  สกุล  มีบุคคลสำคัญจำนวนมากเกิดขึ้นและมีตำแหน่งหน้าที่ราชการชั้นสูงของประเทศชาติ


อิทธิพลของแม่

ซินแสกี่เอ็งป๊วยเซียนถึงแก่ความตายเมื่อนางต๋วนอายุได้ 5 ขวบ  โดยโรคอหิวาต์  ในวันที่  23  พฤศจิกายน 1858  นางเฮ ภรรยาของท่านไม่ได้รับเชื่อแต่สนใจในงานของคริสตจักร  ส่วนลูกทั้ง  5 คนนั้น  ท่านซินแสได้ให้ทุกคนรับบัพติศมาแล้ว  มารดาคือนางเฮ  ได้พาครอบครัวกลับไปบ้านที่บางป่า  ซึ่งเป็นชุมชนที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความเชื่อของคริสเตียนเลย  มิชชันนารีไปเยี่ยมเป็นครั้งคราว  นางต๋วนแต่งงานกับนายบุนสุยเขาไม่เคยเป็นคริสเตียนตลอดชีวิต มีลูก 3 คนคือ บุนต๋วน บุนยี่ และประเสริฐ  มีลูกสาวหนึ่งคนแต่เสียชีวิต
ชื่อของแม่ต๋วนปรากฎเป็ลลายลักษณ์อักษรที่หมอเหาได้เขียนไว้ในจดหมายส่งไปถึงแหม่มแฮริสภรรยาของท่านที่กลับไปรักษาตัวอยู่ในสหรัฐอเมริกา  เมื่อปี 1872  หมอเหาเล่าว่า
นางต๋วนบุตรสาวคนโตของท่านซินแสกี่เอ็ง ผู้เป็นนักเรียนเก่าของคุณได้มาประชุมกันคราวที่ถือศีลมหาสนิท  แม่ต๋วนได้มาเที่ยวกรุงเทพเป็นครั้งแรก  ตั้งแต่ได้จากพากเราไป  เขาเจริญขึ้น  เป็นคนมีความรู้ดีอ่านหนังสือภาษาอังกฤษได้  มีสามีเป็นผู้ใหญ่บ้านค่อนข้างมีทรัพย์ในตำบลบางป่า ทำการค้าขายไม่สู้จะเจริญนักแต่มีชื่อเสียงดี
          เมื่อสามีถึงแก่ความตายแล้ว  แม่ต๋วนได้พาลูกย้ายมาอยู่ที่สำเหร่ โดยตระหนักว่าที่นี่มีโรงเรียนแห่งเดียวเป็นของมิชชั่น ที่เด็กๆ จะมีโอกาสได้รับการศึกษาที่จะนำไปสู่ความก้าวหน้ายุคใหม่สมัยใหม่ได้      แม่ต๋วนเองได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของคริสตจักรสำเหร่
                ในปี 1874  แหม่มแฮริสเฮ้าท์ได้เปิดโรงเรียนวังหลังขึ้น  แม่ต๋วนได้เป็นกำลังสำคัญของโรงเรียนใหม่นี้ตั้งแต่ต้น  และเป็นผู้เดียวที่มั่นคงอยู่ในโรงเรียนแห่งนี้ต่อเนื่องกันถึง 10 ปี  ในช่วงนี้เกือบจะกล่าวได้ว่า  โรงเรียนกุลสตรีวังหลังอยู่ภายใต้การนำ การดูแลรักษาของแม่ต๋วนแต่ผู้เดียว  ท่านทำงานได้ทุกอย่าง  เป็นแม่บ้าน  เป็นครู  เป็นล่าม  ในช่วงนี้หลังจากแหม่มแฮริสได้กลับไปสหรัฐฯแล้ว  โรงเรียนไม่มีความมั่นคงเลย  เพราะมิชชันนารีที่มารับผิดชอบนั้นอยู่กันไม่ได้นาน  ก็ต้องกลับบ้านเพราะไม่สามารถทนกับอากาศร้อนและชื้นของบางกอกได้  จนกระทั่งแหม่มโคล์ได้ย้ายมาจากเชียงใหม่โรงเรียนจึงมั่นคงอีกครั้งหนึ่ง  ในปี 1880 แม่ต๋วนได้รับเชิญให้ไปสอนหญิงในวังด้วย
            เมื่อบุนต๋วนลูกชายอยู่ในสหรัฐอเมริกา      แม่ต๋วนเขียนจดหมายถึงแหม่มแฮริสเฮ้าท์ว่า  เกือบทุกคืน เวลาเที่ยงคืน เธอได้ลุกขึ้นอธิษฐานทูลขอให้พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่ลูกชายให้เขาเป็นคริสเตียนที่ดี  เพื่อว่าเขาจะกลับมาประเทศไทยเป็นนักเทศประกาศพระกิตติคุณสำหรับบ้านเกิดเมืองนอนของเขาเอง  ต่อมาเธอได้รับข่าวว่า  บุนต๋วนได้รบพระเยซูคริสต์แล้ว  และเป็นสมาชิกของคริสตจักรเพรสไบเตอเรียน  อันเป็นข่าวที่เธอปีติยินดียิ่งกว่าสิ่งใดหมด  แม่ต๋วนถึงแก่ความตาย

บุญต๋วน  บุญอิตในสหรัฐฯ

เมื่อแหม่มแฮริสเจ็บออดๆ แอดๆ อยู่ตลอดเวลา ครอบครัวหมอเหาจึงตัดสินใจลาออกจากงานมิชชันนารี  กลับสหรัฐฯในปี ค.ศ.1875  ได้นำเด็กไทย 2 คนไปด้วย  คือ บุญต๋วน  อายุ 11 ขวบ  และกร อำมาตยกุล  ที่บิดาขอให้ไปสหรัฐฯด้วย
ภาพของคืนวันนั้นที่เด็กน้อยจะต้องจากบ้านไปยังดินแดนที่เขาไม่รู้จักและอนาคตที่ไม่รู้  ได้เขียนบรรยายไว้โดย ดร.จอห์น เอ.เอกิ้นว่า เสื้อผ้าก็เตรียมพร้อมแล้ว  ล้วนเป็นเสื้อผ้าหนา ๆ สำหรับเมืองหนาว  และก็ได้บรรจุไว้ในกระเป๋าใบเล็กพร้อมที่จะเดินทาง  บุญต๋วนไปลาเพื่อน ๆ และครูอาจารย์ทุกคน   คืนวันสุดท้ายนั้นแม่ได้มานั่งอยู่ข้างบุญต๋วนตรงที่เคยนั่งคุยกันเสมอริมแม่น้ำ  พูดคุยสั่งลากัน  แม่สอนให้คิดถึงอนาคต  อีกหลายปีต่อมา  เมื่อบุญต๋วนกำลังเป็นนักศึกษาศาสนศาสตร์อยู่ได้เขียนจดหมายถึงแม่ว่า คืนวันนั้นที่ได้คุยกันริมแม่น้ำเป็นเหตุการณ์ที่ท่านไม่ลืมเลย  เป็นการล่ำลาที่ท่านจดจำตลอดชีวิตและเป็นกำลังใจที่มีคุณค่ายิ่ง     หมอเหาแม้จะต้องกลับบ้านแต่ก็ยอมที่จะรับผิดชอบเด็กทั้ง 2 ในการเรียนการศึกษาอย่างดีที่สุด  เด็กชายบุญต๋วนเป็นที่รักของทุกคน  ตลอดระยะเวลา 17 ปีที่อยู่ในสหรัฐฯ  ท่านเป็นสุภาพบุรุษนักศึกษาที่มีครบทุกอย่าง  ไม่วาจะเป็นการกีฬา  การเรียน  มีบุคลิกภาพที่ร่าเริง  มีอารมณ์ขัน  ทำคะแนนได้ยอดเยี่ยมไม่ว่าจะเรียนที่ไหน
บุญอิตเป็นที่รักของทุกคนและทุกแห่งหนที่เขาไป  ได้รับการอุปการอุ้มชูจากคริสตจักรของหมอเหา แม้แต่รวีวารศึกษาก็ช่วยสนับสนุนให้ค่าใช้จ่าย  ตัวเขาเองก็ไม่ได้หยุดที่จะออกหางานทำในระหว่างปิดภาคฤดูร้อน
จดหมายของท่านที่เขียนถึงแม่  หลังจากที่ได้จากกันมาแล้ว 5 ปี  มีรายละเอียดที่จะช่วยให้พวกเราได้เห็นและซาบซึ้งถึงชีวิตของท่านในท่ามกลางคนอเมริกันที่โอบอ้อมอารีย์ให้การสนับสนุนแก่ท่าน  ข้อความจดหมายนั้นคือ 

                                                                            วอร์เตอร์ฟอร์ด

                                     5  มกราคม  1880
คุณแม่  ที่รัก

นับเป็นเวลานานที่เราจะได้รับจดหมายจากกันและกัน  ผมหวังว่าคุณแม่คงจะสุขสบายในการทำงานที่โรงเรียน  ส่วนผมนั้นสุขสบายดี
                ผมมีบางอย่างที่อยากให้คุณแม่ทราบ  ผมรู้สึกว่าพระเจ้าได้ทรงตอบคำอธิษฐานของแม่ที่ได้อธิษฐานเผื่อให้ผมกลับใจใหม่  บัดนี้ผมได้ให้ชีวิตแด่พระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว  และพระองค์จะเป็นพระเจ้าของผมตลอดไป  พระองค์จะเป็นพระผู้ไถ่ของผม  เวลานี้ผมได้สมัครเป็นสมาชิกของคริสตจักรเพรสไบเตอเรียนแล้ว ขออธิษฐานเผื่อผมให้เป็นผู้ที่เชื่อฟัง  สัตย์ซื่อต่อสิ่งที่ผมได้สัญญา  ตอนแรกผมสั่นไปทั้งตัวที่จะต้องยืนต่อหน้าคนมากมาย  แต่เมื่อได้ทำแล้วผมก็รู้สึกสบายใจยิ่งกว่าเดิม  หลังจากนมัสการแล้ว  ใครต่อใครก็มาจับมือแสดงความยินดีต่อผม  ผมหวังว่า  วันหนึ่งจะได้เห็นคุณย่า คุณลุง คุณป้า น้อง ๆ ของผมและญาติ ๆ ทุกคนเป็นคริสเตียน  ฉะนั้นแหละ ถ้าเราจะไม่มีโอกาสได้พบกันอีกบนโลกนี้  เราก็จะได้พบกันอีกในโลกหน้า 
                สุภาพบุรุษท่านหนึ่งวิลค๊อก     ท่านเป็นอาจารย์อยู่ที่โรงเรียนเตรียมทหารแกรนด์วิลล์   ห่างจากวอร์เตอร์ฟอร์ดไปทางเหนือ 65 ไมค์  ที่นั่นต้องเสียค่าที่พักที่เรียนปีละ 400 ดอลล่าร์  แต่ท่านได้เสนอต่อแหม่มเฮ้าท์ที่จะให้ผมไปเรียนที่นั่นฟรี  เพียงแต่ให้แหม่มเฮ้าท์ช่วยรับผิดชอบเสื้อผ้าและหนังสือ  และค่าใช้จ่ายในระหว่างปิดภาคเรียนเดือนมิถุนายนถึงเดือนกันยายน  อีก 2 วัน กรและผมจะไปที่นั่น
                พวกเราที่บ้านของหมอเฮ้าท์ต่างก็บอกเราว่า  พวกเขาจะคิดถึงเรามากๆ    และเราเองก็รู้สึกเสียใจที่ต้องจากพวกเขาไป  คุณแม่ครับสิ่งเหล่านี้เป็นการอัศจรรย์  ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดประทานแก่กรและผมให้มีโอกาสได้เล่าเรียน  เรื่องราวเกิดขึ้นดังนี้   วันนั้นแหม่มเฮ้าท์ได้ไปเล่าเรื่องสยามให้คณะสตรีที่แกรนด์วิลล์และเวลาเดียวกันก็ได้เล่าถึงเรื่องเด็กสยาม 2 คนด้วย   จึงทำให้พวกแกรนด์วิลล์สนใจถึงกับให้พวกเราไปเรียน  ผมเห็นว่าไม่มีใครอีกแล้วที่ได้รับโอกาสเช่นนี้  ก่อนที่จะเดินทาง  มีคณะสตรี 2-3 คนได้นำเอาผ้าปูที่นอนมาให้  บางคนก็ให้ปลอกหมอน  บางคนก็ให้ผ้าเช็ดตัวและอีกหลาย ๆ อย่าง  ที่สตรีเหล่านั้นต้องการให้เรานำไปใช้
                ทั้งหมดนี้เป็นมาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า  ขอให้พระนามของพระองค์ได้รับการยกย่องนับถือตลอดไป  ขอฝากความรักคิดถึงมายังทุกคนด้วย 
               
             ลูกที่รักของคุณแม่


       บุญอิต 

ต่อมาท่านได้ไปเรียนที่วิทยาลัยวิลล์เลี่ยมในระดับอุดมศึกษา เป็นนึกศึกษาทีมีความสามารถทุดด้านเป็นที่รักของเพื่อนและครูอาจาย์  วันหนึ่งได้มีการฟื้นฟูจิตใจของมหาวิทยาลัย  นักศึกษาจำนวนมากได้พากันกลับใจสารภาพความผิดบาปของตนและรับเอาพระเยซูคริสต์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด  ในการฟื้นฟูครั้งนี้  พระเจ้าได้สัมผัสจิตใจของท่าน  ที่ทำให้ท่านถวายตัวแด่องค์พระเยซูคริสต์เจ้าใหม่อีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งเป็นการเกิดใหม่อย่างแท้จริง  สำหรับครั้งที่ท่านได้ปฏิญาณตนเป็นคริสเตียนที่คริสตจักรเพรสไบเตอเรียนนั้น  ท่านเองมีความรู้สึกว่าได้ทำตามรูปแบบเคยเขียนจดหมายถึงเพื่อน ๆ ในสยามว่า  ท่านทำเช่นนั้นก็เพราะรักและสงสารแหม่มและหมอเฮาท์ที่ได้เมตตาท่าน  ใจจริงนั้นก็เพื่อจะให้ท่านทั้งสองสบายใจ  และยังบอกเพื่อนด้วยว่า  เมื่อกลับมาบ้านก็จะบวชด้วย  แต่สำหรับประสบการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งหลัง  เป็นเวลาที่ท่านได้ตัดสินใจ  ด้วยตนเองอย่างแท้จริง  และเป็นเวลาที่มีความคิดอย่างผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว  ครั้งนี้จึงเป็นการบังเกิดใหม่ ที่เป็นเหตุให้เปลี่ยนโฉมหน้าชีวิตอย่างสิ้นเชิง  เมื่อจบวิทยาลัยแล้ว  โอกาสที่จะเรียนต่อแพทย์นั้นรออยู่  แต่บัดนี้ท่านคิดใหม่ว่า  แพทย์ที่สยามก็มีแล้ว  คนที่มีความสามารถอื่น ๆ ก็มีมากแล้ว  แต่สำหรับท่านจะถวายตัวเรียนศาสนศาสตร์  เพื่อสมัครเป็นมิชชันนารีกลับไปทำงานของพระเจ้าในสยาม แทนที่จะหาความสุขอยู่ในเมืองนอก

ถวายตัวรับใช้

                บุญอิตแน่วแน่ว่าเขาจะกลับสยาม  หลังจากที่เติบโตขึ้นในสหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 17 ปีมาแล้ว  จนเขาเองพูดภาษาสยามเกือบไม่ได้อีก  ชีวิตก็เป็นอเมริกันไปแล้ว  อเมริกาก็คือบ้านใหม่ของท่าน  แต่ประสบการณ์ของการเกิดใหม่  ทำให้ท่านมีความรู้สึกรับผิดชอบต่อพี่น้องและต่อเพื่อนร่วมชาติ  ท่านต้องการจะเห็นคริสตจักรไทยเติบโตขึ้นอย่างมีอิสระ  มีเกียรติ  มีศักดิ์ศรี  สามารถปกครองตนเองเป็นพยานด้วยตนเอง  ท่านจึงเสนอตัวขอรับการแต่งตั้งต่อบอร์ดเพื่อเป็นมิชชันนารีกลับไปสยาม
                อุปสรรค์เกิดขึ้น  เนื่องจากบอร์ดได้มีนโยบายที่จะไม่แต่งตั้งคนพื้นเมืองให้เป็นมิชชันนารี เพราะจะทำให้เกิดการฝักฝ่ายระหว่างคนพื้นเมืองกับมิชชันนารีขึ้นจนอาจเป็นปัญหาในการปกครอง และจะไม่ได้ช่วยให้คนพื้นเมืองตั้งหน้าตั้งตาทำงานโดยอาศัยการสนับสนุน  อุดหนุนจากคนพื้นเมืองด้วยกัน  โดยเหตุนี้เอง บอร์ดจึงไม่สามารถแต่งตั้งให้บุญอิตเป็นมิชชันนารีได้  เพราะเขายังมีสัญชาติสยามอยู่   เพื่อให้ชีวิตของท่านซึ่งก็เป็นอเมริกันอยู่แล้วนั้น  สามารถที่จะเป็นมิชชันนารีได้ตามกฎเกณฑ์ ท่านจึงแปลงชาติเป็นสัญชาติอเมริกันเสีย

กลับสยาม

อ.บุญต๋วน บุญอิต กลับถึงสยามในปี ค.ศ. 1893 ท่านจากไปเมื่ออายุ 11 ขวบ  อยู่ในสหรัฐอเมริกา  17 ปี  เมื่อกลับมามีความรู้อย่างดีถึง 3 ภาษาคือ อังกฤษ  ฮีบรู  กรีก  แต่ภาษาไทยนั้นใช้เกือบไม่ได้เลย  ท่านจึงต้องเริ่มต้นเรียนภาษาไทยกับ ดร.ยูจิน.พี.ดันแลป พักอยู่กับ ดร.จอห์น เอ เอกิ้น  เพื่อเรียนรู้ชีวิตคนสยาม  เดินทางออกเยี่ยมเยียนและประกาศไปในที่ต่าง ๆ กับมิชชันนารีที่ทำงานอยู่แล้ว  เพื่อฟื้นฟูความเป็นคนสยามของท่านใหม่อีกครั้งหนึ่ง  ท่านได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่แทนมิชชันนารีที่เดินทางกลับไปพักผ่อนหลายครั้งหลายคราว ในปี ค.ศ. 1897  วันที่ 20 กันยายน  ท่านได้เข้าพิธีสมรสกับแม่กิมฮ๊อก  ศิษย์เก่าโรงเรียนวังหลัง
มุ่งสู่พิษณุโลก

หลังจากแต่งงานแล้ว 2 ปี ท่านและภรรยาได้มุ่งสู่พิษณุโลกโดยไปพร้อมกันกับนายแพทย์ ดับบลิว.บี.ทอย  อ.บุญอิตมุ่งหน้าเปิดโรงเรียน  ท่านสามารถทำความรู้จักกับข้าราชการจนได้รับอนุญาตให้ใช้อาคารของรัฐบาลเปิดโรงเรียนได้  ส่วนหมอทอยก็เปิดโรงพยาบาลโดยใช้เรือลำใหญ่จอดอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำน่าน  ท่านได้รับเงินจากคณะมิชชั่นในการทำงาน  ส่วน อ.บัญอิตนั้นใช้วิธีเริ่มต้นจากความรู้สึกและความเป็นเจ้าของของคนพื้นเมืองเอง  ท่านได้เริ่มสร้างโรงเรียนขึ้นใหม่โดยอาศัยเงินบริจาคที่มาจากชาวบ้านทั้งหมด  ในเวลาไม่นานนักท่านได้รับเงินถึง 4 พันบาทพอที่จะสร้างเรือนไม้สัก 2 ชั้นขึ้น  การออกแบบ  การก่อสร้างเป็นฝีมือของท่านทั้งสิ้น  มีนักเรียนซึ่งส่วนมากเป็นลูกข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเรียนถึง  40 คน  มาตรฐานการศึกษา  การอบรม  และการสั่งสอนทางจริยธรรม  เป็นที่ยอมรับของชาวพิษณุโลก  วิธีการทำงานของ อ.บุญอิต  ได้รับการยกย่องอย่างสูง  จาก ดร.จอห์น  เอ.เอกิ้นว่าเป็นวิธีที่เหมาะสมสำหรับความเจริญก้าวหน้าในสถานการณ์ของประเทศสยาม  ท่านให้ชาวบ้านมีความรู้สึกเป็นเจ้าของในงานที่ท่านทำ  ท่านจะเริ่มต้นจากเล็กๆ แต่ละเอียดลออรัดกุมเพื่อพร้อมที่จะไปสู่ความก้าวหน้าที่มั่นคงได้  ส่วนแม่กิมฮ๊อกนั้นก็ได้เริ่มเปิดสอนนักเรียนหญิงที่บ้านของท่านเอง  และก็เติบโตขึ้นเป็นโรงเรียนหญิงที่มีชื่อเสียงด้วย
จอห์น เอ.เอกิ้นได้ยกย่อง อ.บุญต๋วนว่าเป็นผู้ที่เฉลียวฉลาดในการสอนความรู้ทางศาสนศาสตร์และพัฒนาจิตวิญญาณ  ท่านเป็นผู้ที่ไม่ได้ใช้ตำราจากสหรัฐฯมาเปิดสอน  แต่ได้ใช้ประสบการณ์และชีวิตของชาวบ้านเป็นจุดเริ่มต้นที่จะสอนถึงความลึกลับขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ท่านได้ใช้วิธีเดียวกันกับสาวกที่เขียนจดหมายฝากฉบับต่างๆ ไปถึงคริสตจักรโดยอาศัยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคริสตจักรเหล่านั้น  และด้วยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ 

เรียกร้องให้กลับบางกอก

ในช่วงเวลาที่ อ.บุญต๋วน บุญอิตกำลังเพลิดเพลินในงานและก่อฐานรากเพื่อความมั่นคงให้แก่พันธกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าในพิษณุโลกอยู่นั้น  มีบุคคลสำคัญคือ ดร.อาร์เทอร์ เจ.บราวด์  เลขาธิการของมิชชั่นบอร์ดจากนิวยอร์กมาเยี่ยมงาน  ท่านได้เห็นว่าถ้าพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะเจริญก้าวหน้าต่อไปในบางกอกได้แล้ว  ก็จะต้องมีงานทำกับเยาวชนคนรุ่นใหม่เป็นการสืบเนื่องต่อจากโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัยที่กำลังก่อสร้างขึ้นอย่างรวดเร็วนั้น  จะต้องมีคริสตจักรเกิดขึ้นไม่ไกลจากโรงเรียน  เพราะเป็นสิ่งที่ยุ่งยากเมื่อคริสเตียนจากฝั่งพระนครจะไปนมัสการวันอาทิตย์  ก็ต้องเดินทางไปคริสตจักรที่หนึ่งสำเหร่  หรือคริสตจักรที่ 2 ที่วังหลัง  ดูจะไม่มีอนาคตที่เจริญเติบโตได้เลยถ้ายังอยู่ในสภาพเช่นนี้  ท่านลงความเห็นว่า  ผู้เดียวที่จะทำงานใหญ่นี้ได้ก็คือศาสนาจารย์บุญต๋วน  บุญอิต ที่ท่านได้ยกย่องว่าเป็นคนที่ฉลาดและสามารถมากที่สุดในเอเชีย 
ในปี 1901  อ.บุญต๋วน  บุญอิตได้กลับลงมาบางกอก  เพื่อพักผ่อนและฟื้นฟูสุขภาพเป็นเวลา 6 เดือนตามระเบียบของคณะมิชชั่น  เดิมทีเดียวท่านตั้งใจจะพาครอบครัวไปพักผ่อนที่ญี่ปุ่น  แต่ท่านกลับใช้เวลาเยี่ยมเยียนพี่น้องอยู่ในบางกอก  เมื่อถึงเวลาที่จะต้องกลับพิษณุโลกในเดือนมกราคม 1902  ท่านได้รับการเรียกร้องมากมายจากคริสเตียนในบางกอกให้ลงมาเริ่มงานใหม่ตามข้อเสนอของเลขาธิการใหญ่  อีกทั้งโรงเรียนก็อยู่ในระหว่างก่อสร้าง  ซึ่งทุกคนก็เห็นว่าควรจะมีโบสถ์อยู่ใกล้ ๆ และนี่เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างโบสถ์ใหม่  ซึ่งเป็นที่ตั้งของคริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์  เงินทุนส่วนใหญ่มาจากพระยาสารสิน  ส่วนที่เหลือนั้นคริสเตียนในบางกอกได้ช่วยกันถวายจนครบ  อ.บุญต๋วน  บุญอิตได้เริ่มต้นงานทันทีในขณะที่การก่อสร้างโบสถ์และโรงเรียนกำลังดำเนินอยู่  ท่านไม่ให้เวลาผ่านไป  จึงได้เช่าบ้านหลังหนึ่งใกล้กับโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน  เปิดเป็นศูนย์กิจกรรมสำหรับอนุชน  มีชั้นสำหรับเรียนพระคัมภีร์และมีห้องสำหรับนมัสการ เป็นที่ทำงานกับครูบาอาจารย์และคนที่มีความรู้
ศจ.บุญต๋วน  บุญอิต  มีความมั่นใจว่าคริสตจักรจะต้องเป็นศูนย์กลางที่จะปฏิบัติงานทั้งในด้านจิตวิญญาณ  และด้านสังคม  พร้อมกันไป  งานชิ้นหนึ่งของท่านก็คือ  ได้รวบรวมผู้ที่สนใจและได้จัดตั้งธนาคารขึ้นซึ่งนับว่าเป็นแห่งแรกในประเทศไทย  ด้วยน้ำพักน้ำแรงของคนหนุ่มไฟแรง  เรียกว่าคริสเตียนยูไนเต็ดแบงค์  มีลักษณะเป็นธนาคารออมสิน  ได้ช่วยแก้ปัญหาเศรษฐกิจของพี่น้องคริสเตียนในบางกอกได้อย่างดียิ่ง  ท่านยังได้รวบรวมนักธุกิจคริสเตียน  จัดตั้งโรงสีข้าวขนาดเล็กโดยบริหารแบบคริสเตียน  คือหยุดงานวันอาทิตย์  และมีส่วนหนึ่งของรายได้สำหรับงานของพระเจ้า
ศจ.บุญต๋วน บุญอิต  ได้เป็นที่ยอมรับนับถือกันว่าเป็นผู้นำที่สามารถของชุมชนคริสเตียน  แต่วิธีทำงานของท่านนั้นจะไม่ออกหน้าออกตาแต่จะพยายามอยู่เบื้องหลังสนับสนุนให้เกิดผู้นำขึ้นและสามารถที่จะทำงานกันได้ต่อไป  ในเวลาไม่นานนัก  บ้านของท่านได้กลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าทางฝั่งพระนคร
กิจการใหม่เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว  เพียงหนึ่งปีเท่านั้น  ศจ.บุญต๋วน  บุญอิตก็ต้องจากไปอยู่กับพระเจ้าด้วยโรคอหิวาต์
ในคืนที่ท่านจากไปนั้น ดร.จอห์น เอ.เอกิ้นได้เล่าไว้ว่า  ท่านเองได้อยู่เป็นเพื่อนกับครอบครัวจนถึงเกือบเที่ยงคืนจึงได้กลับไปบ้านพักที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน  สั่งไว้ว่าถ้ามีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นให้ส่งคนไปตามท่าน  เมื่อมีคนมาส่งข่าวท่านก็รีบออกจากบ้าน  ในขณะนั้นเกิดมีพายุร้ายแรง ท้องฟ้าปกคลุมด้วยเมฆสีดำ  ฝนตกกระหน่ำลงมาหลังจากที่แห้งแล้งมาแล้วกว่า 2 เดือน  ชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนา  ต่างก็รอคอยฝนที่จะโปรยปรายลงมา  พายุและฝนได้เขย่าบ้านของ อ.บุญต๋วนไหวไปทั้งหลัง  ในขณะที่ท่านกำลังจะสิ้นลมหายใจ  แม่กิมฮ๊อกเอาหนังสือเพลงออกมาแจกให้ทุกคนร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า  อันเป็นเพลงแห่งความหวังและอนาคต  เมื่อสิ้นเสียงเพลงทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็เงียบสงบ  พากันหวาดหวั่นว่าแล้วใครจะมา สร้างโบสถ์ต่อไป  เพราะงานทุกชิ้น  ตั้งแต่เริ่มออกแบบจนถึงการก่อสร้างเป็นน้ำพักน้ำแรงของ อ.บุญต๋วนทั้งสิ้น  ท่านเป็นผู้ที่ระมัดระวังอย่างยิ่งในการสร้างหลังคา  ท่านได้ควบคุมเอง และสร้างเอง    สิ่งที่วิตกกันก็คือ  จะไม่มีช่างที่ไหนมารับงานนี้ได้เพราะเชื่อตามไสยศาสตร์ว่า  จะถูกผีรังควาน  ถ้าผู้ที่ก่อสร้างงานคนเดิมนั้นตายลง  ผู้หนึ่งที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น  คือครูเทียนเป๊า  อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนผดุงราษฎร์  ท่านเป็นผู้รับช่วงงานต่อจากอ.บุญต๋วน  และเป็นสหายสนิทที่รักกันมาก   ครูเทียนเป๊ายืนขึ้นร้องให้โฮ พร้อมกับเปล่งเสียงดังว่า ฉันไม่ได้ห่วงว่าใครจะสร้างโบสถ์  เพราะจะต้องมีใครมาสร้างให้สำเร็จแน่นอน  แต่ฉันเป็นห่วงแผ่นดินของพระเจ้าจะมีใครที่จะมารับหน้าที่แทนอ.บุญต๋วนได้    





     อาจารย์บุญต๋วน  บุญอิต 

กับ ไว.  เอ็ม .ซี. เอ


                กิจการกิจกรรมที่เกี่ยวกับเยาชนนั้น  เป็นที่รู้กันทั่วไปแล้วว่า  ไว. เอ็ม. ซี. เอ. เป็นผู้ริเริ่มขึ้นในประเทศอังกฤษ  ต่อมาก็ได้แพร่หลายทั่วโลก  ทุกแห่งที่สมาคมนี้ไปถึง  ก็จะเป็นการเริ่มต้นประวัติศาสตร์การทำงานกับเยาวชน  ก่อนหน้าโน้น  ญี่ปุ่นไม่มีคำว่าเยาชน  แต่ ไว. เอ็ม. ซี. เอ. เป็นผู้ไปและบัญญัติศัพท์นี้ขึ้น 
                ประเทศไทยก็ทันเหตุการณ์ในเรื่องนี้  เพราะอาจารย์บุญต๋วน  บุญอิต ท่านได้เห็นความเจริญก้าวหน้าอันเป็นกิจกรรมของไว. เอ็ม. ซี. เอ.  ที่มีประโยชน์มากมาย  ไม่เพียงแต่กับเยาชนเท่านั้น  แต่ยังมีไปถึงงานสังคมสงเคราะห์อื่น ๆ ด้วย  เช่น เรื่องของสุขภาพอนามัยและอาชีพเป็นต้น  ไว. เอ็ม. ซี. เอ. จึงเป็นสถาบันที่ทำงานด้านพัฒนาสังคมทุกแห่งหน  ในประเทศอินเดีย  สำนักพิมพ์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งแรกและบริการขายหนังสือในเมืองใหญ่ ๆ ล้วนเริ่มต้นขึ้นโดยไว. เอ็ม. ซี. เอ.  และสอนให้ชาวบ้านรู้จักเลี้ยงผึ้ง เพื่อเศรษฐกิจของครอบครัว  ในญี่ปุ่นมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งมีหอพักของ ไว.เอ็ม.ซี.เอ  และเป็นศูนย์กลางกิจกรรมของนักศึกษา  เมืองใหญ่ทุกแห่งมีหอพักซึ่งต่อมาก็คือโรงแรมของไว.เอ็ม.ซี.เอ  อาจารย์บุญต๋วน  บุญอิต ซาบซึ้งในกิจกรรมของไว. เอ็ม. ซี. เอ. ท่านได้เป็นตัวตั้งตัวตีที่จะให้เกิดไว. เอ็ม. ซี. เอ. ขึ้นในประเทศไทย  อันเป็นนิมิตที่สำคัญประการหนึ่งของท่าน  ประวัติศาสตร์งานเยาวชนและงานสังคมสงเคราะห์จะต้องจารึกคุณความดีของท่านไว้และเราจะต้องรู้จักสมาคมนี้ดีพอสมควร สมาคม ไว.เอ็ม.ซี.เอ  กรุงเทพฯ  ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าเป็นนิมิตของ อ.บุญต๋วน บุญอิต  ได้รุ่งเรืองอยู่ในกรุงเทพฯเป็นเวลานาน  ถึงแม้บัดนี้จะซบเทราไปมาก  แต่ประวัติความเป็นมา  โดยเฉพาะในการเริ่มต้นนั้น  เป็นเรื่องราวที่น่าจดจำและควรจะจารึกไว้ให้เป็นเกียรติของท่านและเพื่อให้เป็นแรงจูงใจสำหรับคนรุ่นใหม่ ในความเชื่อศรัทธาต่อไป  ดังนั้นชีวประวัติของ อ.บัญต๋วน  บุญอิต  จึงขาดเรื่องราวของ ไว.เอ็ม.ซี.เอ ไปไม่ได้  จึงขอยกเอาเรื่องของท่านมาไว้  ณ ที่นี้ซึ่งนับว่าสมบูรณ์ดีที่สุดแล้ว  จากหนังสือของ In Memory of Khunying Sucon Chaloryoo (หน้า 118-120)  ซึ่งเขียนไว้โดยคุณหญิงสุคนธ์ ชลออยู่เอง 
          ...ไว.เอ็ม.ซี.เอ.  เริ่มที่ลอนดอน
                ...ในยุคที่ประเทศอังกฤษกำลังปฏิวัติอุตสาหกรรม ประมาณ พ.ศ.2383  การค้าและอุตสาหกรรมได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะที่เมืองหลวงกรุงลอนดอน  บรรดาชายหนุ่มจากชนบทจึงพากันหลั่งไหลเข้ามาทำงานในกรุง  ด้วยความเจริญรุ่งเรืองของกรุงลอนดอน  พรั่งพร้อมด้วยแสงสี  สถานพักผ่อนหย่อนอารมณ์  โรงมหรสพทำให้ชายหนุ่มหลงเพลิดเพลินหมกมุ่นกับสุรานารีพาชีกีฬาบัตร  แม้วันอาทิตย์ก็ละเลยที่จะไปโบสถ์  คงสนุกคะนองไปทำให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและญาติมิตร
                มร.ยอร์ซ  วิลเลี่ยมส์ (Mr.George Williams)ชายหนุ่มอายุ 20 ปี  จากหมู่บ้านบริตวอลเตอร์  ตำบลเมอร์เซ็ทนอกกรุงลอนดอน  เข้ามาทำงานในกรุงเช่นกัน  ได้สังเกตเห็นเพื่อนร่วมวัยกำลังดำเนินชีวิตไปสู่ความหายนะ  ทำให้สลดใจและหาทางช่วยเหลือ
                ขั้นต้น ยอร์ซ  วิลเลี่ยมส์  ชักชวนเพื่อนสนิทมาคุยปรับทุกข์กันที่ห้องนอนรวมทั้งแลกเปลี่ยนความรู้  ประกอบศาสนกิจ  ทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ร่วมกัน  การพบครั้งแรกมีชายหนุ่มมาร่วมชุมนุม  12  คน  และได้แพร่ข่าวออกไปโดยเร็ว  มีผู้สนับสนุนและมาร่วมชุมนุมมากขึ้น  จึงต้องหาสถานที่ใหม่และตั้งเป็นสมาคมชายหนุ่มขึ้น  พ.ศ. 2387  เรียกชื่อสมาคมว่า The Young Men’s Christian Association  เรียกย่อว่า  Y.M.C.A.
                ยอร์ซ  วิลเลี่ยมส์  ได้อุปการะงาน ไว.เอ็ม ซี.เอ.  ตลอดมา และเมื่อมีงานฉลองอายุของสมาคม ไว.เอ็ม.ซี.เอ.ลอนดอน  ครบ 50 ปี  สมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย  พระบรมราชินีนาถแห่งประเทศอังกฤษได้ทรงโปรดพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น เซอร์ยอร์ซ  วิลเลี่ยมส์ เมื่ออายุ  70  ปี  และท่านได้สิ้นชีพเมื่ออายุ 84  ปี

จากอเมริกาถึงกรุงเทพฯ
บรรพบุรุษไว.เอ็ม.ซี.เอ. กรุงเทพฯ

                ภายใน  10  ปี  จากการเริ่มต้นที่กรุงลอนดอน ไว.เอ็ม.ซี.เอ.  ได้แพร่หลายไปทั่วโลก
                สำหรับประเทศไทย  บรรพบุรุษผู้ให้กำเนินไว.เอ็ม.ซี.เอ.  กรุงเทพฯ  คือ  อาจารย์บุญต๋วน  บุญอิต  ซึ่งมีชีวิตอยู่ระหว่าง  พ.ศ. 2408  - 2446  ท่านใช้ชีวิตเล่าเรียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกานานถึง  16  ปี  และเป็นคนไทยคนแรกที่สำเร็จวิชาครูมาจากสหรัฐฯ  ท่านได้สมัครเป็นสมาชิกไว.เอ็ม.ซี.เอ.  ที่นั่น  และมีความปรารถนาที่จะก่อตั้งไว.เอ็ม.ซี.เอ.ในประเทศไทย  ท่านได้ติดต่อผู้นำไว.เอ็ม.ซี.เอ.  สหรัฐอเมริกาหลายคนก่อนกลับประเทศไทยในปี พ.ศ.  2436  ในเรื่องที่จะส่งคนมาช่วยตั้งไว.เอ็ม.ซี.เอ.  ในประเทศไทย  ซึ่งก็เป็นความรู้สึกเดียวกับมิชชันนารีชาวคริสต์ที่ปฏิบัติงานในไทยขณะนั้น  ที่ตั้งความหวังว่าไว.เอ็ม.ซี.เอ. ในอเมริกาเหนือจะช่วยดำเนินงานตั้งไว.เอ็ม.ซี เอ.  ประเทศไทยเช่นเดียวกับที่เคยทำให้แก่ อินเดีย  จีน  ญี่ปุ่น  และฟิลิปปินส์

ตึกบุญอิตอนุสรณ์


                เมื่ออาจารย์บุญต๋วน บุญอิต  กลับมายังประเทศไทย  ท่านได้เผยแพร่อุดมการณ์นี้ในหมู่มิตรสหายและศิษย์ของท่านจนเกือบสำเร็จตามประสงค์  ท่านก็ถึงแก่กรรมเสียก่อน  มิตรสหายของท่านจึงได้รวบรวมทุนซื้อที่ดินแปลงหนึ่งเป็นจำนวนเงิน  19,385  บาท  พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  และพระบรมวงศานุวงศ์  ได้ทรงสมทบเป็นเงิน  2,100  บาท  และสร้างตึก  บุญอิตศิลปาคาร  ซึ่งเป็นไว.เอ็ม.ซี.เอ. วรจักรในสมัยอดีต
                บุญอิตศิลปาคาร  เปิดดำเนินการ พ.ศ. 2450  จัดกิจกรรมให้ผู้ใหญ่และเยาวชนตามแบบฉบับของไว.เอ็ม.ซี.เอ.  คือ  กิจกรรมพลศึกษา  กีฬาในร่ม  และกิจกรรมกลุ่มต่าง ๆ ต่อมาวันที่  18 สิงหาคม  2457  จึงได้จดทะเบียนว่า บุญอิตศิลปาคาร  เลขทะเบียน จ.7 มีสมาชิกทั้งข้าราชการ ครู อาจารย์ นักธุรกิจ  เยาวชน  และมีคณะกรรมการเป็นผู้มีชื่อเสียงในวงสังคมขณะนั้น  ตลอดเวลาที่ผ่านมาคณะกรรมการของบุญอิตศิลปาคารได้ติดต่อกับไว.เอ็ม.ซี.เอ.นานาชาติที่นิวยอร์ค  ให้ส่งผู้ชำนาญทางกิจกรรมไว.เอ็ม.ซี.เอ.  มาช่วยดำเนินงาน

สมเด็จพระราชบิดาฯ

                ต่อมาสมเด็จพระราชบิดาฯ คือ  กรมหลวงสงขลานครินทร์  ได้เสด็จกลับจากสหรัฐอเมริกา  ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมมหาวิทยาลัย  ในกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.  2465  พระองค์ทรงทราบอุดมคติขอไว.เอ็ม.ซี.เอ. อย่างลึกซึ้งด้วยทรงใช้บริการในต่างประเทศมาแล้ว  และทรงปรารถนาจะตั้งไว.เอ็ม.ซี.เอ.  ในประเทศไทยเช่นกัน  จึงทรงแนะนำให้บุญอิตศิลปาคารสมาคมขยายกิจกรรมต่าง ๆ ให้มากขึ้นอย่างไว. เอ็ม. ซี. เอ.
                สมเด็จพระราชบิดาฯ  ทรงสนับสนุนให้พระอาจวิทยาคม  หรือ Dr.George B.McFarland  ซึ่งเป็นเลขานุการกิตติมศักดิ์ในกระทรวงศึกษาธิการ  เข้าเป็นกรรมการของบุญอิตศิลปาคารสมาคม  และได้หาทางจัดตั้งให้เป็นไว.เอ็ม.ซี.เอ.  โดยถูกต้องตามกฎหมายและระเบียบสากล  ได้ติดต่อไปไว.เอ็ม.ซี.เอ.  สหรัฐและแคนาดาให้ส่งผู้ชำนาญงานไว.เอ็ม.ซี.เอ.  มาช่วยเหลือในการตั้งสมาคมฯ

เยาวมานพคริสเตียนอมาตยสมาคม


                พ.ศ.2473  ด้วยความช่วยเหลือของไว.เอ็ม.ซี.เอ.  สหรัฐและแคนาดา  ได้ส่งนายวอลเตอร์  ชิมเมอร์เมน (ซึ่งต่อมาได้เป็นเลขาธิการคนแรกของไว.เอ็ม.ซี.เอ.  กรุงเทพฯ)  มาทำงานร่วมกับคณะกรรมการของบุญอิตศิลปาคารสมาคม  เช่น  อจ.เปลื้อง  สุทธิคำ, พระประกาศสหกรณ์, หลวงบำบัดคดี, นพ.เบ็ญฑูร บุญอิต,นายดำรง จ่างตระกูล, อจ.เจริญ  วิชัย,  อจ.กิมเฮง  มังกรพันธุ,นายคล้าย  เจิมอุทัย
                ในที่สุดคณะกรรมการผู้ก่อตั้ง  ได้จัดร่างข้อบังคับสำหรับไว.เอ็ม.ซี.เอ. กรุงเทพฯ  ให้สอดคล้องกับขนบธรรมเนียมไทย  และจดทะเบียนเปลี่ยนนามสมาคม บุญอิตศิลปาคาร เป็น เยาวมานพคริสเตียนอมาตยสมาคม  เมื่อวันที่  22 สิงหาคม  2475 ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า  Young Men’s Christian Association of Bangkok  เรียกย่อ ๆ ว่า Y.M.C.A. of  Bangkok  และนิยมเรียกกันสั้น ๆ ว่า ไว.เอ็ม.ซี.เอ.  กรุงเทพฯ 
                ไว.เอ็ม.ซี.เอ. กรุงเทพฯ  ได้จัดตั้งสำเร็จแล้วตามความปรารถนาของ  อจ.บุญต๋วน  บุญอิต  และสมาคมได้บุกเบิกงานกิจกรรมเยาวชนและการสังคมสงเคราะห์  เพื่อเยาวชนและประเทศชาติ  จนเป็นที่ยอมรับและรู้จักกันดีทั้งวงการเอกชนและราชการ  รวมทั้งวางเป้าหมายที่จะช่วยพัฒนาชุมชนยากจนทั้งในเมืองและชนบทอีกหลายโครงการด้วย  ไว.เอ็ม.ซี.เอ.  เป็นสมาคมที่รับใช้สังคมและบุคคลทั้งเยาวชนและผู้ใหญ่  ให้เป็นไปตามเป้าหมายของไว.เอ็ม.ซี.เอ.  ตลอดมา  จนเป็นที่รู้จักกันดีทุกวงการ  และเชื่อว่าไม่น่าจะมีอุปสรรคใดๆ ที่จะยับยั้งไว.เอ็ม.ซี.เอ.  ไม่ให้เจริญก้าวหน้าไปพร้อมๆ กับชุมชนนี้
                บัดนี้ไว.เอ็ม.ซี.เอ.  อายุกว่า  69  ปีแล้ว  มีสมาชิกกว่าหมื่นคน  ทั้งที่ยังเป็นอยู่และเคยเป็น  และสมาคมฯนี้ไม่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวข้องกับการเมือง  แต่มีวุตถุประสงค์ที่จะเสาะแสวงให้ความสนับสนุนแก่บุคคลในอันที่จะพัฒนาทางร่างกาย จิตใจ  และสติปัญญา  ซึ่งต่างมีความสัมพันธ์กันให้สอดคล้องกับพระธรรมคำสอนของพระเยซูคริสต์  สมาคมนี้ยินดีต้อนรับทุกคนผู้มีศรัทธาเชื่อถือในศาสนาโดยไม่จำกัดว่าศาสนาใด  และยังสนับสนุนให้บุคคลประพฤติตนในศีลธรรม จริยธรรม ตามความเชื่อของตนอย่างเคร่งครัดด้วย...
                สมาคมไว.เอ็ม.ซี.เอ กรุงเทพฯ มีประวัติและความเป็นมาควบคู่กับคริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์เป็นลำดับ นอกจากโบสถ์ของคริสตจักรนี้ได้ก่อสร้างขึ้นด้วยน้ำพักน้ำแรงของ อ.บุญต๋วน บุญอิต เป็นส่วนใหญ่แล้ว  กรรมการของสมาคม  และผู้บริหารของสมาคม  ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นสมาชิกของคริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์ ในช่วง 50 ปีแรก จนอาจกล่าวได้ว่า ผู้นำ อุดมการณ์ และความเชื่อศรัทธาของไว. เอ็ม. ซี. เอ กรุงเทพฯนั้นไปจากคริสตจักรแห่งนี้   และนี่คือเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ที่คริสตจักรสืบสัมพันธวงศ์จะภูมิใจได้

บุรุษผู้สร้างคุณงามความดี

                นาย GEORGE  HAWS FELTUS  A.M.,B.D. เขียนไว้ในหนังสือของท่านเรื่อง “Theman With  Gentle Heart” อันเป็นเรื่องราวชีวประวัติของหมอเฮ้าท์  ท่านได้เขียนถึง อ.บุญต๋วน  บุญอิตไว้ด้วยความประทับใจ  ยกย่องและให้เกียรติอย่างสูงว่า (หน้า 255)  
                ความตายของบุญอิตได้ก่อให้เกิดความรู้สึกเศร้าโศกเสียใจเป็นที่ยิ่ง ในบรรดาผู้ที่รู้จักท่านทั้งในสหรัฐอเมริกาและสยาม  ทั่วโลกได้แสดงความอาลัยรักต่อท่าน  มิตรสหายต่างก็จับกลุ่มพูดถึงระลึกถึงการจากไปของท่าน  สิ่งที่เกิดขึ้นจากความรู้สึกของผู้คนทั้งในสยามและต่างประเทศ คือให้สร้างอนุสรณ์ที่จะเป็นศูนย์กลางของการทำงานกับเยาวชนและสังคม  ได้เกิดคณะกรรมการขึ้นทั้งในสหรัฐฯและสยามที่จะร่วมมือกันทำให้อนุสรณ์แห่งนี้เกิดขึ้น  มกุฎราชกุมาร (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว)  ได้ทรงพระราชทานเงินก้อนแรกสำหรับการสร้างอนุสรณ์แห่งนี้  และบรรดาข้าราชการขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ต่างก็บริจาคเงินเข้ากองทุน   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมิได้ทรงประทับอยู่ในสยามขณะนั้น  เมื่อเสด็จนิวัตรกลับถึงบางกอก  พระองค์ก็ทรงแสดงพระประสงค์ที่จะพระราชทานเงินให้กับกองทุนด้วย...
                ในวันที่ทำพิธีเปิดอาคารบุญอิตศิลปาคารนั้น  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ  ผู้ทรงเป็นประธานในพิธี ได้ตรัสว่า
                บัดนี้ อาคารบุญอิตศิลปาคาร ได้ตั้งอยู่เพื่อเป็นอนุสรณ์อยู่ในกรุงเทพมหานคร  อันเป็นพยานของบุรุษผู้มีชีวิตที่สูงส่งของท่านผู้เป็นคริสเตียนคนไทยคนนี้  และเป็นอุดมการณ์ของบุรุษผู้รับใช้องค์พระเยซูคริสต์ผู้นี้ ที่มีต่อเยาวชนชาวสยาม ...
                ชีวิตของบุญอิตนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงสำแดงให้เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนถึงความรัก ความปีตียิน สันติสุข  ความอดทนนาน  ความถ่อมสุภาพ ความดี ความเชื่อศรัทธา  ความถ่อมตน และอดกลั้นไว้นาน 
                สิ่งที่ประเสริฐสุดในชีวิตของท่านนั้น  มิใช่อยู่ที่ท่านได้กระทำอะไร หรือท่านได้มีชีวิตอย่างไร  แต่อยู่ที่ความสัมพันธ์ของบุรุษผู้นี้กับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าผู้ทรงสามารถจะเปลี่ยนชีวิตของคนได้ไม่ว่าผู้นั้นจะมีเชื้อชาติผิวพรรณใดก็ตาม  ชีวิตของบุคคลนั้นก็จะเกิดผลมากมายสำหรับพระกิตติคุณ ไม่ว่าจะอยู่ในวัฒนธรรมใด หรือส่วนใดของโลก

บทเรียนสำหรับปัจจุบัน

                ชีวิตของคนที่ถวายตัวรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า  ทั้งมิชชันนารีและคนไทย  มีคุณค่ามากมายที่ทำให้เราได้เห็นว่า  แม้บุคคลเหล่านั้นจะมีเพียงไม่กี่คน  ปัญหาต่าง ๆ ที่รุมล้อมเขามากมาย  มิชชันนารีตายไปมากต่อมากเพราะอหิวาต์  มิชชันนารีเข้ามาทำงานได้ไม่นานก็ต้องกลับ  เพราะปัญหาสุขภาพ  สถานการณ์การเมืองก็ไม่อำนวย   ซึ่งล้วนเป็นปัญหาและความท้อแท้ใจของผู้ที่รับใช้พระเจ้าในสมัยนั้น  จากบทความนี้เราก็ได้เห็นด้วยว่า  คนไทยก็ได้มีส่วนในการบุกเบิกสร้างสรรค์แผ่นดินของพระเจ้าด้วยความมานะอดทนเช่นกัน  แต่เมื่อรวมกันแล้วทั้งฝรั่งและไทยมีจะนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับงานใหญ่คือแผ่นดินของพระเจ้าและความรอดของมนุษย์ที่จะต้องทำ  แต่เมื่อย้อนดูเหตุการณ์เหล่านี้  ก็ได้ทำให้เราเห็นได้ชัดว่า  พระเจ้าต่างหากที่ได้ใช้นิ้วพระหัตถ์ของพระองค์เขี่ยกงล้อแห่งประวัติศาสตร์ให้ไปในทิศทางที่พระองค์ทรงตั้งเป้าหมายไว้
                ชีวิตของ ศจ.บุญต๋วน  บุญอิต และบรรพบุรุษของท่าน  ก็เป็นประจักษ์พยานหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ทำให้เราได้เห็นนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า  เราได้เห็นชีวิตของท่านเหล่านั้นว่าได้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นไรและพระองค์ได้ทรงใช้ท่านเหล่านั้นอย่างไร  ถ้าจะอ่านเรื่องราวนี้เป็นเพียงประวัติศาสตร์  เราก็อดชมเชยชีวิตท่านเหล่านั้นไม่ได้และอาจสนุกสำหรับบางคนที่ชอบอ่านประวัติศาสตร์  เพื่อให้เกิดประโยชน์มากกว่านั้น  จึงขอสรุปไว้ให้คิดเป็นบางข้อที่เราจะพิจารณานำมาใช้ได้ในการทำพระราชกิจของพระเจ้าในปัจจุบัน  ดังนี้
                1.  ซินแสกี่เอ็งป๊วยเซียน  นับว่าเป็นบุคคลพิเศษที่พระเจ้าประทานให้เพื่อช่วยมิชชันนารีในสมัยนั้น  ท่านเป็นคนที่มีคุณสมบัติ  คุณภาพ และความสามารถที่จะหาได้ยากในช่วงนั้นของประวัติศาสตร์   แต่ที่เราจะต้องยกย่องและเชิดชูท่านยิ่งกว่านั้นก็คือ  ชีวิตการเป็นคริสเตียนของท่าน  เมื่อท่านรับบัพติศมากับ ศจ.สตีเฟ่น จอห์นสันเมื่อวันที่ 7 มกราคม 1844 แล้ว  มิชชันนารีคณะนั้นก็ถอนตัวจากสยาม  ท่านต้องอยู่แต่ลำพังถึง 5 ปี  คงจะรู้สึกถูกทอดทิ้งและว้าเหว่ว่าจะไปทางไหนดี  สถานการณ์บ้านเมืองในช่วงเวลานั้นไม่เอื้ออำนวยเลยสำหรับฝรั่งในสยาม  เป็นช่วงเวลาที่เกิดสงครามฝิ่นในประเทศจีนระหว่างปี ค.ศ.1838-1842   ข่าวความพ่ายแพ้ในการทำสงครามของจีนก็ย่อมเป็นเรื่องที่หวาดหวั่นได้ในสยาม  เวลาเช่นนั้นรัฐบาลเพ่งเล็งผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดกับมิชชันนารี  จนไม่มีใครที่จะเข้าใกล้ได้  แต่สถานการณ์จะเลวร้ายเพียงใด  ซินแสกี่เอ็งป๊วยเซียนมิได้ถดถอยจากความเชื่อศรัทธา  ที่ท่านอาจทำเช่นนั้นได้และคงไม่มีใครตำหนิท่าน       แต่ท่านกลับไปรายงานตัวขอเป็นสมาชิกอยู่ในคริสตจักรคณะเพรสไบเตอเรียนที่ตั้งขึ้นใหม่เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม  1849
                2.    งานยิ่งใหญ่ของพระเจ้านั้น  เริ่มต้นจากคนไม่กี่คนเสมอ  พระเยซูเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ด้วยคน 12 คนที่กรุงเยรูซาเล็ม  ท่านอาจจะประหลาดใจด้วย  ที่งานยิ่งใหญ่ของพระองค์นั้น  เริ่มต้นจากเด็กเล็ก ๆ เพียง 6 คนที่ต่อมาได้สร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่พระราชกิจของพระองค์ในสยาม  เมื่อ ดร.เดเนียล  แมคกิลวารีมิชชันนารีที่ยิ่งใหญ่คนหนึ่งมาถึงสยามนั้น   ท่านไปรายงานตัวกับหมอเหาที่สำเหร่  และที่นี่เองท่านก็ได้รับมอบหมายให้เป็นครูสอนโรงเรียนบางกอกคริสเตียนที่สำเหร่ทันที  ดร.แมคกีลวารีเขียนไว้ว่า ในโรงเรียนของมิชชั่นมีนักเรียนชายที่เฉลียวฉลาดอยู่ 5 คนชื่อ นายเหน่,  นายดิษฐ์,  นายชุน, นายคล้าย, เฮนรี  และมีเด็กผู้หญิงอยู่หนึ่งคน ชื่อต๋วน ผมรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง  ที่หมอเหาได้ยกนักเรียนชั้นนั้นให้แก่ผม เพราะเป็นเหตุให้ผมรู้สึกว่าได้ทำบางสิ่งบางอย่างที่สำคัญ  และก็สำคัญเช่นนั้นจริงๆ  ในเวลาไม่นานนักผมก็สนใจเด็กเหล่านี้มากๆ  ต่อมาเหน่ได้เติบโตขึ้นเป็นพ่อค้าที่มีความสำคัญมากและก็ได้เป็นผู้ปกครองของคริสตจักรด้วย  ต๋วนเด็กผู้หญิงคนเดียวนั้น ครอบครัวของเธอได้กลายเป็นบุคคลสำคัญและมีอิทธิพลมากในคริสตจักรต่อมา  เธอเป็นมารดาของศาสนาจารย์บุญต๋วน บุญอิตและน้องชายของบุญอิตคือบุญยี่นั้น ต่อมาได้เป็นผู้ปกครองของคริสตจักรที่ 1 เชียงใหม่  ครอบครัวของต๋วนจึงเป็นผลแรกที่ดียิ่งในงานมิชชั่นที่สยาม  ถึงแม้ว่าผมจะมีส่วนอยู่เพียงเล็กน้อยในการฝึกอบรมเด็กเหล่านั้นก็ตาม (A HALF CENTURY AMONG  THE SIAMESE AND THE LAO หน้า  46-67)   จากกลุ่มเด็กเพียง 5-6 คนนี้  ที่ต่อมาพวกเขามีความสำคัญในคริสตจักร  เพียงเด็กหญิงต๋วนคนเดียวประวัติศาสตร์ของโรงเรียนวังหลังก็คงจะเปลี่ยนแปลงไปด้วยถ้าไม่มีท่าน เพราะแม่ต๋วนเป็นคนเดียวที่อยู่โยงรักษาโรงเรียนไว้ในขณะที่มิชชันนารีเปลี่ยนเวรกันมา แต่ก็ต้องกลับไปทีละคนๆ เพราะปัญหาสุขภาพ  แม่ต๋วนเป็นผู้ที่บริหารโรงเรียน และเพราะเด็กๆรักท่าน  ผู้ปกครองให้เกียรติแก่ท่าน  โรงเรียนจึงดำเนินกิจการอยู่ต่อไปได้ โดยไม่ถึงกับต้องม้วนเสื่อ  ผู้นำเป็นคนสำคัญในการบริหารและพัฒนาขององค์การทุกแห่งหน  และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคริสตจักรรวมทั้งกิจการงานต่างๆ ที่เป็นสถาบันและหน่วยงาน  ปัจจุบันนี้เรามีโรงเรียนที่มีนักเรียนมาแย่งกันเข้านับจำนวนหมื่นๆ คน  แต่เราเคยระลึกถึงกันบ้างหรือไม่ว่า สถาบันการศึกษาของเรามีหน้าที่สำคัญที่จะสร้างคนให้เป็นผู้นำของคริสตจักรของหน่วยงาน และสถาบันต่างๆ  สิ่งที่เราจะต้องจำไว้เสมอก็คือ  แบบอย่างที่มิชชันนารีได้ทำกันตลอดเป็นลำดับมา  คือการที่จะสร้างผู้นำขึ้น  มิใช่ด้วยจำนวนมากมาย  แต่จากจำนวนไม่กี่คน เหมือนอย่างครั้งนั้นที่พวกเขาได้สร้างแม่ต๋วนขึ้นเพียงคนเดียว
                3.   อิทธิพลของแม่เป็นสิ่งที่ปรากฎชัดในเรื่องราวชีวิตของศาศนาจารย์บุญต๋วน บุญอิต  ขณะที่ลูกชายของท่านจากไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง  แม่ต๋วนลุกขึ้นกลางดึกทูลขอพระเจ้าในคำอธิษฐาน  ที่จะให้ลูกเป็นคริสเตียนที่ดีและกลับมาเป็นนักเทศ  ความรักของแม่มีอิทธิพลเหนือชีวิตของบุญต๋วน  เขาตัดสินรับบัพติศมาก็เพราะระลึกถึงแม่และต้องการให้แม่ชื่นชมยินดี  ในสังคมปัจจุบันของเรา  ครอบครัวทุกแห่งหนอยู่ในวิกฤตการณ์  เด็กๆของเราดำเนินชีวิตอย่างไม่มีทิศทาง  และแม้แต่พระเจ้าก็ไม่เป็นที่เกรงกลัวของพวกเขา  ชีวิตคริสเตียนของแม่ต๋วนจึงเป็นแบบอย่างที่ดีของพ่อแม่ยุคปัจจุบัน  และให้จำไว้ด้วยเสมอว่า  คนสำคัญที่จะเป็นเหตุให้ลูกของท่านตัดสินใจรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นก็คือแม่
                4.   การบังเกิดใหม่ที่เราเห็นในชีวิตของนักศึกษาบุญต๋วน บุญอิต  เป็นเหตุการณ์ที่เราจะต้องทำความเข้าใจและศึกษาให้ซาบซึ้ง  ท่านสมัครเป็นคริสเตียนที่โบสถ์เพรสไบเตอเรียน  ซึ่งใครๆ ก็ชื่นชม  และนักศึกษาบุญต๋วนก็เขียนจดหมายไปให้คุณแม่ของท่านชื่นชมด้วย       แต่นั่นไม่เพียงพอที่เราจะมีศาสนาจารย์บุญต๋วน บุญอิต กลับมาสยามในฐานะผู้รับใช้พระเจ้า  เหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตของท่านเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงและไม่เคยเปลี่ยนแปลงอีกเลยก็คือ  การฟื้นฟูที่วิทยาลัยวิลเลี่ยม  ท่านได้รับการสัมผัสจากพระเจ้า  ได้รับชีวิตใหม่อย่างที่พระเยซูตรัสว่า จงบังเกิดใหม่  นี่ต่างหากที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้รับใช้   พระเจ้าทรงสัมผัสเช่นเดียวกันนี้กับหมอเหาและจอห์น เอ.เอกิ้น   เกิดขึ้นในการฟื้นฟูที่วิทยาลัยทั้งสิ้น   สิ่งที่เราจะต้องไม่ลืมและต้องระลึกอยู่เสมอก็คือ  การฟื้นฟูที่เราจัดกันครั้งแล้วครั้งเล่าจนเป็นประเพณีในโรงเรียน ในมหาวิทยาลัย  และการจัดค่ายอนุชนที่ทำกันจนเป็นประเพณีนั้น  เวลาเช่นนั้น  อนุชนคนหนุ่มสาวนักศึกษา จะต้องมาถึงจุดนั้น คือการตัดสินใจที่จะรับเอาพระเยซูด้วยตนเองและให้พระองค์เป็นเจ้าชีวิตของเขาต่อไป  ให้เขาได้รู้สึกว่าพระเจ้าได้สัมผัสตัวเขา  นี่เป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ  ที่จะต้องทำด้วยความสำนึกว่าพระวิญญาณทรงนำ  ไม่ใช่การบันเทิงสนุกสนาน  อาหารที่อุดมสมบูรณ์  และการบันเทิงต่าง ๆ จะเพียงพอสำหรับที่จะให้คนหนุ่มสาวของเราได้รับการสัมผัสจากพระเจ้า
                5.   ช้างเท้าหลังสำคัญยิ่งนักสำหรับผู้รับใช้  ศจ.บุญต๋วน บุญอิตได้ทำพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ในสยาม  แม้จะเป็นเวลาสั้นๆ ก็ตาม  งานของท่านได้รับการยกย่องไม่เพียงในสยามเท่านั้นแต่ทั่วโลก  บุคคลสำคัญที่มีส่วนทำให้ท่านยิ่งใหญ่ได้นั้นมีหลายท่าน     เริ่มตั้งแต่หมอเหาเป็นต้นมา    แต่คนสำคัญที่สุดคือแม่กิมฮ๊อกภรรยาของท่าน  การทดลองที่ยิ่งใหญ่ที่สุดมาถึงท่านเมื่อกลับมาเริ่มงานในสยามแล้วเพียงไม่กี่ปี  การทดลองที่มาถึงผู้รับใช้พระเจ้านั้น  ประการแรกและประการที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องเงินทอง  ศจ.บุญต๋วนตกลงจะแต่งงานกับแม่กิมฮ๊อก  ศิษย์เก่าของโรงเรียนวังหลัง  วันแต่งงานได้กำหนดไว้แล้วคือ  20 กันยายน  1895  หลังจากที่ได้สู่ขอกันแล้ว มีบริษัทของฝรั่งแห่งหนึ่งในบางกอก ได้เสนอให้เงินแก่ ศจ.บุญต๋วน บุญอิต ปีละ6000 ดอลล่าร์  ซึ่งขณะนั้นท่านได้รับเงินปีตามอัตราของมิชชันนารี  คือ 500  ดอลล่าร์  เงินที่ได้ในฐานะที่เป็นมิชชันนารี 1 ปี เท่ากับจำนวนที่บริษัทเสนอให้เพียง 1 เดือน   ถ้ามีการเสนอให้เงินมากมายอย่างนั้น  เราก็ได้เคยเห็นกันมาแล้วว่า  แม้จะเป็นศาสนาจารย์ก็ยังมีเหตุผลพอที่จะอ้างสำหรับการเปลี่ยนทิศทางชีวิตจากการรับใช้พระเจ้าได้  บุคคลที่มักจะถูกลืมหรือมักจะไม่กล่าวถึงกันเลยในการรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าของสามีก็คือภรรยา  จนเราเองก็ลืมไปว่าผู้ที่เป็นภรรยานั้นต่างหากที่ทำให้สามีสามารถทำงานอยู่ได้  ภาษิตไทยกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้โดยให้เกียรติว่าภรรยาเป็นช้างเท้าหลัง  ส่วนสามีนั้นเป็นช้างเท้าหน้าที่ใครๆ ก็เห็นและสะดุดตาก่อน  แม้แม่กิมฮ๊อก  เวลานั้นเป็นเพียงคู่มั่น  แต่คำพูดของท่านนั้นก็เป็นคำพูดของวีรสตรี  เมื่อ ศจ.บุญต๋วน บุญอิต เอาข้อเสนอจากโรงงานที่จะให้ค่าตอบแทนสูงกว่าถึง 12 เท่ามาให้เธอได้อ่าน  คุณแม่กิมฮ๊อกตอบว่า ดิฉันเชื่อว่า  เราจะมีความสุขมากมายกว่านักในการรับใช้พระเจ้าด้วยเงินที่เราได้เพียงเล็กน้อย  ยิ่งกว่าที่จะละทิ้งงานของพระเจ้าไปเพียงเพื่อเงินก้อนใหญ่กว่าเท่านั้น
ศาสนาจารย์บุญต๋วน บุญอิต จากไปอยู่กับพระเจ้าแล้วครบ 100 ปี
ในวันที่  8  พฤษภาคม   คริสตศักราช   2003

                               





           

No comments:

Post a Comment