Pages

Saturday, July 30, 2011

มรดกตกถึงเรา

มรดกตกถึงเรา

บทละครสำหรับการฉลอง  135  ปี  ของ
คริสตจักรในเชียงใหม่
                            โดย  พิษณุ   อรรฆภิญญ์

องค์ที่ 1  ขยับเขยื้อน
เสียง   ท่านทั้งหลายจงออกไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก
               ประกาศพระนามของเราและความรอดที่จะมาสู่มนุษยชาติได้
               (ดนตรีที่สง่างามและไฟฟ้าเร่งแสงเต็มที่)
ผู้บรรยาย (1) คริสตศาสนานิกายโรมันคาทอลิค มาถึงสยามในสมัยพระนารายณ์    แต่ถูกข่มเหงและกวาดล้างเกือบไม่มีอะไรเหลือ  อีก 200 ปีต่อมา นิกายโปรแตสแตนท์  ซึ่งก็คือพวกเราได้มาถึงในปี  1828 
(เสียงเพลง)
ผู้บรรยาย (2)  มิชชันนารี 2 คนแรกเป็นแพทย์ชาวเยอรมัน ชื่อ กุสล๊าฟ  และ ศาสนาจารย์ ทอมลิน  ท่านทั้งสองไม่ได้รับการต้อนรับแต่ประการใดจึงไปอาศัยอยู่กับกงศุลโปรตุเกส    อีกไม่นาน มิชชันนารีทั้งสองก็จากสยามไป  กุสล๊าฟจากไปก่อนเพราะทนกับ ความโศกเศร้าที่ภรรยาและลูกแฝดสองคนตายจากไปไม่ไหว ท่านจึงย้ายไปทำงานที่ประเทศจีน  ส่วนทอมลินนั้นอยู่อีกไม่นานก็จากไปด้วยเช่นกัน  ในช่วงเวลาสั้น ๆ ท่านทั้งสองได้ทำงานอย่างหนักกับชาวจีน  โดยแจกใบปลิวและยารักษาโรค  แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือ  ท่านทั้งสองได้เขียนจดหมายไปยังขณะมิชชันนารีต่าง ๆ เรียกร้องให้ส่งมิชชันนารีมาทำงานในสยาม ซึ่งก็ได้รับการตอบสนองด้วยดี  โดยมีมิชชันนารีมารับช่วงงานของท่านอีกสองคณะ
(ดนตรี)
ผู้บรรยาย (3)  มิชชันนารีที่มาบุกเบิกได้สร้างประวัติทำคุณความดีไว้ที่ประวัติศาสตร์ของชาติไทยจะต้องกล่าวถึงอยู่เสมอ ก็คือดร.แบรดเลย์      ที่ชาวบ้านเรียกท่านว่า หมอปลัดเล ท่านเป็นผู้บุกเบิกวิทยาการแผนใหม่มากมาย เป็นผู้ตัดแขนพระภิกษุที่ถูกปืนใหญ่ระเบิดให้รอดตาย         เป็นผู้ริเริ่มการพิมพ์และการหนังสือพิมพ์เป็นต้น ศาสนาจารย์ แคสเวลล์  เป็นพระอาจารย์ที่ถวายพระอักษรภาษาอังกฤษแด่พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในขณะที่ทรงผนวก  รวมทั้งคนหนุ่มที่พร้อมจะรับอารยธรรมแผนใหม่        อีกหลายคน  ท่านเป็นผู้ที่มีส่วนในการถวายความเข้าใจเกี่ยวกับตะวันตกให้แก่เจ้าฟ้าใหญ่  ซึ่งเป็นการเตรียมตัวของพระองค์  ต่อมาเมื่อครองราชย์แล้ว พระองค์เป็นผู้ที่เปิดสยามรับอารยธรรมแผนใหม่   อีกท่านหนึ่งคือ ดร.เฮ้าส์ ที่ชาวบ้านเรียกท่านว่าหมอเหา  เป็นผู้บุกเบิกการแพทย์  ตั้งโรงเรียนชายขึ้นเป็นครั้งแรกที่ต่อมาก็คือกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย  ภรรยาของท่านคือแหม่มแฮร์เรียส  เป็นผู้ก่อตั้งโรงเรียนหญิง ซึ่งก็คือโรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย 
(ดนตรี)
ผู้บรรยาย (4)   สิ่งที่นำความท้อแท้ใจมาสู่มิชชันนารีในสมัยเริ่มแรกก็คือ  การที่ไม่ได้รับการต้อนรับจากสยาม  เนื่องมาจากเหตุการณ์ในขณะนั้น  บ้านเมืองอยู่ในระยะหน้าสิ่วหน้าขวาน  พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว  รัชกาลที่ 3  สนพระทัยและประสบความสำเร็จในการค้าขายกับจีน  มีพระราชทรัพย์มากมายที่ใส่ไว้ในถุงแดงเก็บไว้ในท้องพระโรง  แต่ไม่พอพระทัยฝรั่ง  โดยเฉพาะอังกฤษที่มีอำนาจและล่าเมืองขึ้นอยู่ในสมัยนั้น  จึงเป็นเหตุให้ฝรั่งซึ่งเป็นมิชชันนารีต้องได้รับความลำบากไปด้วย  แต่ก็ทรงพอพระทัยให้อยู่ได้ ทรงเห็นว่ามิชชันนารีเหล่านี้เป็นคนอเมริกัน  ที่ไม่ฝักฝ่ายการเมือง และทำคุณประโยชน์มากมายในการรักษาโรค  ต่อสู้กับโรคฝีดาษและอหิวาต์  จึงมิได้ขับไล่ไสส่ง   แต่ก็ไม่ได้ให้ความสะดวกใดๆ แม้แต่สิทธิในการซื้อที่ดิน 
(เสียง)
ตัวละครสองตัวนั่งคุยปรับทุกข์กัน
หมอเหา : เราจะอยู่กันต่อไปทำไม  ดูจะไม่มีอนาคตในงานของพระเจ้าที่สยาม  แม้แต่จะหาที่ดินสักผืนหนึ่งปลูกบ้านก็ไม่ได้  พวกเรามิชชันนารีจึงต้องอาศัยอยู่ในแพ  แต่ก็ยังดีที่เรายังรักษาโรคได้  ความหวังของเราก็คือเราจะต้องสร้างโรงเรียน  เพื่อให้ชาวสยามได้มีโอกาสเล่าเรียน 

หมอมะตูน : เมื่อวันก่อนได้ตกลงกับเจ้าของที่ดินไว้แล้วและได้ชำระเงินค่าเช่าที่ดินไปแล้วด้วย  ว่าเราจะมาสร้างบ้านที่นั่น  ผมจึงลากเอาแพซึ่งเป็นที่อยู่ของลูกและเมียมาจอดอยู่ตรงที่ที่เราได้ตกลงเช่าไว้นั้น  ทันทีทันใดมีคำสั่งจากทางราชการแจ้งว่า  ให้เราลากแพลำนั้นกลับไปอยู่ที่เก่า  เพราะไม่อนุญาตให้สร้าง 

หมอเหา : ผมได้ติดต่อไปสำนักงานใหญ่นิวยอร์ค  จะขอย้ายไปทำงานที่เมืองจีน  ผมก็ได้ดูลาดเลาแล้วว่าเมื่อไรที่ได้รับอนุญาตก็จะแอบขึ้นเรือไปเงียบ ๆ  เพราะผมไม่ต้องการนำความผิดหวังเสียใจมาสู่ชาวสยามที่ผมรักเขาและเขาก็รักเผม  โดยเฉพาะเจ้าฟ้าใหญ่ที่ทรงเอื้อเฟื้อพวกเรามาก  ทรงให้ความสนิทสนมกับพวกเราและเชื้อเชิญให้พวกเราไปทดลองวิทยาศาสตร์ให้แก่บริวารของท่าน  ผมเสียใจมากที่จะอยู่ในสยามต่อไปไม่ได้ 
(เสียง)
ผู้บรรยาย : วันที่  3  เมษายน  ค.ศ. 1851 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่  3  สิ้นพระชนม์  เจ้าฟ้าใหญ่ได้เป็นรัชทายาทสืบสันตติวงศ์เป็นพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 4  เมฆหมอกแห่งความไม่แน่นอนก็ได้กลายมาเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้า  พระองค์ทรงระลึกถึงมิตรสหายคือบรรดามิชชันนารีที่เคยสนิทสนมกับพระองค์  ทรงตรัสกับพวกเขาว่าพระองค์จะให้โอกาสในการทำงานและอนุญาตให้ซื้อที่ดินได้  โฉมหน้าของงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงได้เปลี่ยนแปลงไปกลายเป็นความมั่นคง หลังจากที่ได้รับการโปรดปรานจากพระเจ้าอยู่หัวไม่นาน  จดหมายจากสำนักงานมิชชันนารีที่นิวยอร์คก็มาถึง  อนุญาตให้หมอเหาย้ายไปประเทศจีน แต่จดหมายใช้เวลาเดินทาง  9 เดือน มาถึงเมื่อเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แม้กระนั้นงานหลักสำคัญของคณะมิชชันนารีคือการที่จะนำข่าวความรักและความรอดให้เป็นที่ยอมรับของคนไทย นั้นก็ยังไม่ปรากฏให้เห็นได้จนเมื่อนายชื่นได้รับบัพติศมา กับคริสตจักรเพลสไบเตอ-เรียนซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นฝรั่ง 5-6 คนนั้น นายชื่นจึงเป็นคริสเตียนไทยคนแรก  เกิดจากผลงานของมิชชันนารีหลายคณะทำงานต่อเนื่องกันถึง  31  ปี
(เสียง)
หมอปลัดเล :  พวกเราชื่นชมยินดีที่มีคุณดาเนียล  แม๊คกีลวารี  มาถึงสยาม  พร้อมกับครอบครัวของคุณโจนาทาน  วิลสัน   ขอให้แหม่มวิลสันและลูกสาวรักษาเนื้อรักษาตัวให้ดี เพราะบางกอกกำลังมีคนตายด้วยโรคอหิวาต์มากมาย  ผมขอถามคุณทั้งสองว่า  มาถึงประเทศสยามได้อย่างไร  ทำไมจึงมาสยาม 

แมคกิลวารี :  อ.โจนาทานและผม  เป็นเพื่อนรักที่ศึกษาศาสนศาสตร์อยู่ที่วิทยาลัยพระคริสตธรรมปริ้นส์ตั้น  เราพักอยู่ในห้องนอนเดียวกันและเรียนรุ่นเดียวกัน  เราทั้งสองได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้มาสยาม

วิลสัน :  เรารู้สึกถึงการทรงเรียกของพระเจ้า  เมื่อวันนั้นที่หมอเหาซึ่งกำลังกลับไปสหรัฐอเมริกาได้มาพูดที่โรงเรียนพระคริสตธรรมของเรา  คำท้าทายเรื่องสยามกับงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่นั่น  ได้สัมผัสเราทั้งสอง  ที่ทำให้เรารู้แน่ว่า  สยามคือที่ตายของเรา

                หมอปลัดเล : มีโอกาสที่ดี    ที่ผมอยากจะให้คุณทั้งสองได้ใคร่ครวญ  ซึ่งอาจจะเป็นงานใหม่ของพระเจ้าในสยามก็ได้  ผมได้พบกับพวกเจ้าหลวงเชียงใหม่และชาวลาวที่เพชรบุรี  พวกนี้ไม่มีศาสนา  แต่นับถือผี  ผมเห็นว่าโอกาสที่จะทำงานกับพวกเขาเหล่านี้ดีกว่าชาวสยามในบางกอกมากมายนัก 

แมคกีลวารี  :  ลาวพวกนี้มาจากไหน 
หมอปลัดเล :  ผมเข้าใจว่ามาจากทางเหนือ  เพราะมีเจ้าลาวมาบางกอกเพื่อถวายเครื่องบรรณาการแด่พระเจ้าอยู่หัวทุก 3 ปี  มากันแต่ละครั้งนั้นเป็นจำนวนมากและทุกครั้งก็มาพักอยู่ใกล้ ๆ บ้านผม  พวกบริวารก็มักจะไปตั้งค่ายพักที่วัดอรุณฯ ผมจึงมีโอกาสได้คุ้นเคยและรู้เรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองของเจ้าพวกนั้น  คือเชียงใหม่  ซึ่งดูจะเป็นเมืองที่เจริญก้าวหน้ามากกว่าเมืองอื่น ๆ ในภาคเหนือ 
(เสียง)
ผู้บรรยาย :  ฉากการแต่งงาน  ดาเนียล  แม๊กกีลวารี  มาถึงสยามไม่นานก็ได้เข้าสู่พิธีสมรสกับโซเฟีย  ลูกสาวของหมอปลัดเล
แมคกิลวารี : เมื่อเสร็จงานแล้ว  ผมจะชวนโซเฟียไปเยี่ยมเจ้าเชียงใหม่ที่พักอยู่ใกล้ ๆ นี้  เราจะเอาเค๊กแต่งงานของเราไปให้ท่านด้วย
หมอปลัดเล :  มีข่าวมาว่าพวกบริวารของเจ้าเชียงใหม่ร้อยคน  ที่อยากไปเที่ยวดูทะเล  ผมได้จัดเรือให้พาพวกเขาไปเมื่อเช้านี้เอง  ไปได้ไม่กี่ชั่วโมงก็พากันกลับมาหมดแล้ว  เพราะทุกคน เมาหัว กันหมด  เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่ไม่คุ้นเคยกับคลื่นใหญ่ ๆ ในทะเล
(เสียง)
ฉากที่บ้านหมอปลัดเล : 
ผู้บรรยาย : เจ้าเชียงใหม่และลูกสาวสองคนของท่านมาเยี่ยมเพื่อเป็นการขอบคุณที่ได้ส่งเค็กแต่งงานไปให้
                หมอปลัดเลพูดกับเจ้ากาวิโรรส   ฝรั่งทั้งสองคนนี้ คือ  อ.เดเนียล แมคกีลวารี  และ อ.โจนาทาน วิลสัน  กำลังหลงรักเชียงใหม่  ทั้งสองเห็นว่าท่านและบริวารเป็นคนใจดี  มีเมตตา  พูดคุยกันสนุกสนาน 

แมคกิลวารี : เจ้าจะว่าอย่างไร  ถ้าพวกผมสองคนจะไปทำงานที่เมืองของท่าน  เราอยากจะไปช่วยท่าน  ในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บ  เปิดโรงเรียนสอนเหมือนอย่างกับโรงเรียนของหมอเหา  และเราก็จะเอาเรื่องราวความรักของพระเยซูไปให้พี่น้องที่นั่นทราบด้วย

เจ้าเชียงใหม่ :   เฮาก็หันว่าดี  หมู่ สู  ไม่มีอันตรายเหมือนฝรั่งอื่น ๆ ถ้าจะไปช่วยบ้านช่วยเมืองก็ไปเต๊อะ
(เสียง)
ผู้บรรยาย  : หลังจากนั้น เดเนียล  แมคกิลวารี  และโจนาทาน  วิลสัน  สองสหายก็ได้เริ่มต้นอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าได้เปิดประตูบานใหม่ในการทำงานที่เชียงใหม่  ทั้งสองสหายจึงตัดสินใจที่จะไปสำรวจ  โดยออกเดินทางจากบางกอกวันที่  20  พฤศจิกายน  1863  ถึงเชียงใหม่ วันที่ 7  มกราคม  1864  เป็นการเดินทางที่ใช้เวลาน้อยมากเนื่องจากเป็นฤดูน้ำหลาก  แต่เขาทั้งสองก็ผิดหวัง  เพราะขณะที่กำลังเร่งฝีพายขึ้นเหนือนั้น   ก็พยายามหาทางลัดเลาะไปตามคลองเล็กคลองน้อย  ในขณะเดียวกัน  ขบวนของเจ้าเชียงใหม่ก็ได้ล่องลงมาตามแม่น้ำ  เพื่อไปถวายบรรณาการที่บางกอก  จึงเป็นอันว่าไม่ได้พบกัน  ท่านทั้งสองไปที่คุ้มเจ้าหลวง  ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากหลานชายซึ่งดูแลเมืองแทนเจ้าหลวงอยู่ แต่ไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้รับมอบหมาย อีกทั้งก็ยังมีข้อระแวงสงสัยว่าฝรั่งพวกนี้จะมาสอดแนม  แต่ก็ต้องรับไว้เพราะมีเอกสารใบผ่านทางมา  เพื่อไม่ต้องปวดหัวกับเรื่องนี้  ท่านจึงออกไปดูเรือสวนไร่นาเสีย แมคกิลวารีและวิลสันจึงไปเยี่ยมธิดาคนเล็กของเจ้าหลวง ส่วนคนใหญ่นั้นเดินทางไปบางกอกกับเจ้าพ่อ  ธิดาคนเล็กให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเองและดียิ่ง  เพราะยังจำเหตุการณ์วันนั้นเมื่อพบกันที่บ้านหมอปลัดเล รวมทั้งบรรดาข้าราชการทั้งหลาย ก็ไม่ได้ขัดขวางความคิดของมิชชันนารีที่จะมาเชียงใหม่  ท่านทั้งสองพักอยู่ สิบวัน  และได้มาถึงจุดตัดสินใจว่า  เชียงใหม่จะเป็นดินแดนใหม่ที่ท่านทั้งสองจะนำพระเกียรติคุณมา
(เสียง)
ผู้บรรยาย : เมื่อถึงบางกอก อ.วิลสัน  ซึ่งขณะนั้นเป็นม่ายอยู่ เพราะภรรยาและลูกชายเมื่อมาถึงใหม่ ตัดสินใจเดินทางกลับอเมริกาพร้อมกับแหม่มมะตูนเพื่อพักผ่อน  ส่วนแมคกิลวารีก็กลับไปที่ทำงานเก่าคือที่เพชรบุรี  ได้ใคร่ครวญและอธิษฐานอย่างหนักว่า ตัวท่านหรือที่จะไปเปิดประตูบานใหม่ที่เชียงใหม่  ยิ่งคิดก็ยิ่งลังเลใจ  เพราะเวลานั้นอายุก็ 30  ปีแล้ว  ภาษาก็ยังใช้ไม่ได้  และที่หนักกว่านั้นก็คือมีลูกอีกสองคน  ท่านจึงเขียนจดหมายไปถึงวิลสันที่อเมริกา  เรียกร้องให้วิลสันกลับประเทศสยาม  โดยหามิชชันนารีมาเพื่อวิลสันจะเป็นคนที่ไปทำงานที่เชียงใหม่ต่อไป  จดหมายตอบมาว่าไม่สามารถที่จะหาใครมาร่วมงานได้  ตัวท่านนั้นได้สมรสใหม่  แล้วเดินทางกลับประเทศสยาม  เมื่อพบกับแมคกิลวารี  วิลสันแสดงความตั้งใจที่จะไปเชียงใหม่  แต่ขอรอไว้อีกหนึ่งปี  เพราะท่านได้รับมอบหมายให้เป็นผู้เขียนใบปลิวให้แก่โรงพิมพ์ที่สำเหร่  ส่วนแมคกิลวารีนั้นเห็นว่า  ยิ่งปล่อยไว้ก็จะยิ่งเนิ่นนาน  โอกาสต่าง ๆ ก็จะปิดลงด้วย  ในเวลาเดียวกันนั้น เจ้าหลวงพร้อมกับขบวนเรือบริวารก็มาถึงบางกอก  แมคกิลวารีจึงปรึกษาหารือกับหมอปลัดเลและอธิษฐานทั้งคืน  ได้ปรึกษากับนายฮู๊ด กงสุลอเมริกันแล้ว  ทุกคนเห็นว่าแมคกิลวารีควรจะไปเชียงใหม่  ทั้งสามท่านจึงมาขอพบเจ้าหลวง  นายฮู๊ดส่งสัญญาณให้หมอปลัดเลเป็นคนพูด  เจ้าหลวงเข้าใจจุดประสงค์และเห็นว่า  เชียงใหม่จะได้รับประโยชน์ในเรื่องหยูกยา  จึงไม่ได้ปฏิเสธ   ทั้งสามท่านจึงไปปรึกษากับเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ  ซึ่งท่านผู้นี้ก็คือสหายเก่าที่ได้เชิญมิชชันนารีไปทำงานที่เพชรบุรี  ท่านเสนาบดีจึงนำเรื่องทูลพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระองค์ทรงเห็นว่าไม่มีสิ่งไรที่จะขัดข้อง  แต่จะต้องได้รับคำตอบเป็นทางการจากเจ้าเชียงใหม่เสียก่อน  ทั้งสามท่านจึงมาพบกับเจ้าหลวงอีกครั้งหนึ่ง  ท่านเจ้าหลวงนั้นแต่งตัวตามสบาย  นุ่งเตี่ยวสะดอ  เอาผ้าขาวม้าพาดไหล่  ส่วนมิสเตอร์ฮู๊ดนั้นแต่งตัวเต็มยศกงสุลของท่าน  การมาพบครั้งนี้มีพระราชเลขาของพระเจ้าอยู่หัวเข้าร่วมและได้จดคำสนทนาและข้อตกลงไว้อย่างครบถ้วน  อันเป็นที่เข้าใจกันว่าคณะมิชชันนารีจะไปเผยแพร่ศาสนา  สร้างโรงเรียน และโรงพยาบาล  มิสเตอร์ฮู๊ดได้ฝากฝังครอบครัวแมคกิลวารีไว้กับเจ้าหลวง  ซึ่งท่านก็แสดงความเอื้อเฟื้อเอาใจใส่อนุญาตให้ไปทำงานได้
(เสียง)
แมคกิลวารีเล่าเรื่อง :    ก่อนออกจากบางกอกนั้น  คณะเย็บจักรสตรีได้รวบรวมเข้าของมากมาย เพื่อจะให้เอาไปใช้ในงานที่เชียงใหม่  หมอแคมเบลล์  แพทย์หลวงประจำพระองค์  มอบยาให้จำนวนมากพร้อมกับเขียนวิธีใช้ไว้อย่างละเอียด  กงสุลเยอรมันมอบปืนไรเฟิ้ลให้หนึ่งกระบอกเพื่อใช้ป้องกันตัวจากสิงห์สาราสัตว์   ครอบครัวของเราพ่อแม่และลูกน้อยอีก 2 คนออกจากบางกอกด้วยเรือเล็ก 2 ลำ  ในวันที่  3  มกราคม  ค.ศ.1867  เมื่อถึงระแหงเราได้เปลี่ยนเป็นเรือใหญ่เดินทางทวนกระแสน้ำอย่างยากลำบาก  ต้องผ่านเกาะแก่งถึง  32  แห่ง  บางครั้งเหมือนกับว่าเราจะเอาชีวิตมาทิ้งเสียที่นั่น   เมื่อผ่านหุบเขามาถึงลำพูนก็เห็นที่ราบอันกว้างใหญ่ไพศาลล้อมรอบด้วยภูเขา  ทุกคนรวมทั้งคนเรือต่างก็โล่งใจว่าปลอดภัยแล้ว  ท้องฟ้าสว่างไสวต้อนรับเรา  มาถึงต้นไทรใหญ่ซึ่งอยู่ตรงข้ามเกาะที่ต่อมาอีก 40 ปีก็คือโรงพยาบาลแมคเคน   เราจอดเรือที่นั่น  วันนั้น เป็นวันเสาร์ที่ 1 เมษายน  เราได้นมัสการพระเจ้าฉลองวันคืนพระชนม์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าในวันอาทิตย์  แต่เราก็ยังยับยั้งอยู่ที่นั้น  ทั้ง ๆ ที่เราเมื่อเราก้าวเดินออกจากต้นไทรไป  ก็เห็นกำแพงเมืองและยอดสถูปเจดีย์เป็นทิวแถว  วันจันทร์ที่ 3 เมษายน  1867  เรือของเราจึงไปถึงเมืองเชียงใหม่
(เสียง)

เหตุการณ์ที่ศาลาตรอกเล่าโจ๊
ครอบครัวแมคกิลวารี 4 คน   กำลังง่วนอยู่กับการจัดของ

แมคกิลวารี :  โซเฟีย  นี่คือที่เดียวที่เราจะอาศัยพักพิงได้  เราไม่รู้จะไปที่ไหนได้อีก  ไม่มีที่ว่างและไม่มีใครต้อนรับเรา เราต้องอดทนไปก่อน  เพราะเจ้าหลวงนำทับไปปราบพวกเงี้ยว   ไม่มีใครรู้ว่าจะกลับเมื่อไร

โซเฟีย :   คุณคิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ได้หรือ  เพราะเป็นศาลาสำหรับผู้คนที่เดินทางผ่านไปผ่านมา

แมคกิลวารี:  ศาลานี้เพิ่งสร้างเสร็จเพื่อเป็นการทำบุญของคหบดีผู้หนึ่งจากระแหง  เขายินยอมให้เราพักได้ 

โซเฟีย :   เราก็จัดให้เป็นบ้านชั่วคราวของเราได้  ศาลามีฝาแล้ว 3 ด้าน  ใช้ผ้าปิดอีกด้านหนึ่งก็คงจะเรียบร้อย  เราเก็บของทุกอย่าง  หยูกยาออแกนและที่หลับที่นอนไว้ข้างใน  ส่วนระเบียงข้างหน้านั้น  คุณคงจะชอบ  เพราะจะมีผู้คนมาหาพวกเรา  เพื่อจะดูว่าพวกเราคือใคร  เป็นจำนวนมากมายทุกวัน 

แมคกิลวารี :  เราต้องอดทนกับฝูงชน  เพราะพวกเขาอยากจะรู้ว่าเราเป็นกุลาขาวจากไหน  พวกเขาไม่เคยเห็นและเวลานี้ข่าวก็ได้ลือไปถึงตามบ้านนอกบ้านนาให้รีบพากันมาดูกุลาขาว 

โซเฟีย :  ถูกแล้ว  พวกเขาหัวเราะที่เห็นเรานั่งโต๊ะกินข้าว  ไม่นั่งพื้นและกินด้วยมืออย่างพวกเขา  เป็นเรื่องแปลกสำหรับพวกเขามากที่เห็นพวกเรากินข้าวกับมีดและส้อม  ดิฉันเองก็เหน็ดเหนื่อยมาก เพราะผู้คนชอบมาหยิบมาจับเครื่องใช้ไม้สอยของเรา  พากันมาตั้งแต่เช้าจนเย็นจนค่ำ  เราเองก็เกือบจะไม่มีเวลาได้พัก 

แมคกิลวารี :  เราก็ต้องอดทนเพราะฝูงชนเหล่านี้แหละที่เราต้องการจะนำพระกิตติคุณมาให้  สักวันหนึ่งเราจะได้พบพวกเขาอีกเมื่อเราออกเดินทางไปประกาศสั่งสอน  เราไปถึงบ้านไหนเมืองไหนก็คงจะมีคนเคยรู้จักเราแล้ว 

โซเฟีย :  ในจำนวนคนทั้งหลายนั้น  ดิฉันเห็นคนหนึ่งที่จริงใจและเป็นมิตรกับเรา  คือเจ้านางบัวคำ  ท่านเป็นมารดาของเจ้าอินทนนท์   เจ้านางมาพูดคุยกับเราเป็นประจำ  แล้วก็ยังส่งผลหมากลากไม้มาให้เราบ่อย ๆ 

แมคกิลวารี :  เราก็มีเพื่อนแท้อีกคนหนึ่ง  ท่านเป็นเจ้าอาวาสของวัดอุโมงค์  เป็นผู้ที่อยากรู้อยากเข้าใจทุกอย่าง  โดยเฉพาะความเชื่อของคริสเตียน  ที่ว่าพระเยซูยกบาปได้  เพราะไม่มีคำสอนนี้ในคัมภีร์ของท่าน    เราดีใจที่มีท่านมาคบค้าสมาคมด้วยกับพวกเรา  เพราะทำให้ชาวบ้านไว้ใจเราด้วย
(เสียง)
แมคกิลวารี :  เขียนจดหมายเล่าเรื่องไปให้คริสตจักรในสหรัฐฯ
ฉากเป็นห้องในบ้าน แมคกิลวารีนั่งอ่านจดหมายอยู่ที่โต๊ะ
                เรามาถึงเชียงใหม่เดือนเมษายน  อีกไม่นานก็เป็นการฉลองปีใหม่ที่ผู้คนรดน้ำกันสนุกสนาน  เจ้าหลวงนั้นไม่ได้กลับมาจนปราบพวกเงี้ยวราบคาบแล้ว  ก็เป็นเดือนพฤษภาคม  บรรดาข้าราชบริพาลและประชาชนต่างก็ไปทำพิธีรดน้ำดำหัวเจ้าหลวงซึ่งเป็นงานใหญ่มาก  ผมไปที่คุ้มด้วย  เมื่อเจ้าหลวงออกมาปรากฏตัว  บรรดาผู้คนที่อยู่ในท้องพระโรงใหญ่ก็ก้มกราบ  เอาหน้าผากจรดพื้น  มีแต่ผมคนเดียวที่ยืนโด่เด่อยู่  เจ้าหลวงจึงสั่งให้เอาเก้าอี้มาให้นั่งพร้อมกับบอกว่า  เป็นพิธีที่ยาว  เจ้าหลวงสัญญาว่าจะไปเยี่ยมพวกเราที่ศาลาเมื่อพิธีการเสร็จ  แล้วท่านก็ไปเยี่ยมพวกเราตามสัญญา  ร่วมรับประทานน้ำชากับพวกเรา  ท่านถามเราว่าจะสร้างคริสตจักรที่ไหน  พร้อมกับแนะนำที่ดินซึ่งเหมาะสมให้หลายแห่ง  แต่ผมบอกท่านว่าจะรอ อ.วิลสันให้ช่วยตัดสินใจ  เราจะอยู่ที่ศาลานี้ หนึ่งปี  ผมเรียนให้เจ้าหลวงทราบว่าได้ติดต่อครูให้มาสอนผู้หนึ่งพร้อมกับบอกว่าเป็นใคร  ท่านเห็นว่าเป็นบุคคลที่ไม่เหมาะสม  จึงรับปากที่จะส่งคนใหม่มาให้ซึ่งเป็นคนที่มาจากคุ้ม  เจ้าหลวงพอใจมากที่ได้ยินพวกเราร้องเพลงและเล่นออแกนให้ท่านฟัง        งานของผมขณะนั้นเป็นการรักษาโรค       โดยแจกจ่ายยาควินนิน  ซึ่งมีไม่มากนักจนหมดไปอย่างรวดเร็ว  ชาวบ้านเป็นโรคคอพอกกันมาก  เป็นโรคที่ไม่มีใครรักษาได้  แต่ผมมียาไปบ้าง  จึงทำให้คอพอกหายได้อย่างรวดเร็ว  ประชาชนแตกตื่นเมื่อทราบข่าวนี้  เห็นว่าผมเป็นหมอวิเศษที่รักษาคอพอกได้  ก็ต้องรักษาได้ทุกโรค  คนป่วยมากมายมาให้ผมรักษา  เมื่อผมปฏิเสธ  พวกเขาก็ลาไปพร้อมกับพูดว่า  ข้าเชื่อว่าท่านรักษาได้  ผมได้รับสะเก็ดเชื้อฝีดาษจากหมอปลัดเลมาเพาะที่เชียงใหม่  นำเอาไปปลูกฝีให้กับชาวบ้าน  ทำให้ผู้คนรอดตายมากมาย  ข้าราชบริพารจึงได้นำความเสนอต่อเจ้าหลวง  ที่จะอนุญาตให้ผมปลูกฝีแก่ทุกคนในคุ้ม  ผมได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว  แต่มีหลานชายเล็ก ๆ คนหนึ่ง เมือปลูกฝีไปได้ไม่นานก็เป็นโรคท้องร่วง  ผมถูกตามตัวมาและจะเอายาไปให้แต่ก็ถูกพวกหมอพื้นบ้านและหมอผีห้ามไว้  ในที่สุดเด็กก็ตาย  พวกเขาลงความเห็นว่าผมเป็นผู้ที่ทำให้ผีบ้านไม่พอใจ  จึงได้แผลงฤทธิ์เอาชีวิตคน  ในเดือนกุมภาพันธ์  คือปี 1868  วิลสันและครอบครัวก็มาถึงเป็นความปีติยินของพวกเราที่จะมีเพื่อนร่วมงาน
(เสียง)

   ในห้องพักของแมคกิลวารี  ขณะที่ท่านนั่งอยู่กับครอบครัว

ผู้ถือสาร :  ก้าวเข้ามาในห้องพร้อมกับตะโกนว่า 
พ่อครู :  มีคนมาส่งข่าวว่า  หมอเหาถูกช้างแทงที่พุง 
แมคกิลวารี :  เกิดเรื่องที่ไหน
ผู้ถือสาร :  ที่ระแหง  หมอเหาตื่นขึ้นแต่เช้า  ท่านกำลังเดินเล่นอยู่  ผ่านเข้าไปใกล้ช้าง  มันตกใจ เอางวงฟาด  หมอล้มลง  แล้วเสยด้วยงาเข้าที่ท้อง และกำลังเดินมาเพื่อจะกระทืบ  แต่ควานได้ช่วยไว้ 
แมคกิลวารี :  โธ่!  หมอ  ท่านมาเชียงใหม่ก็เพื่อจะตามลูกศิษย์ที่รักของท่านมา อีกทั้งก็จะมาช่วยทำคลอดให้แก่โซเฟีย  และภรรยาของวิลสัน  ท่านจะมาตายเพราะเราแท้ ๆ
ผู้ถือสาร :  ผมเสียวสยองไปหมดครับ  เห็นคุณหมอนอนราบกับพื้น แล้วให้คนยกกระจกขึ้นส่องแผลของท่าน  ท่านทำสะอาดแผลเอง  แล้วก็เย็บแผลของท่านเอง  ท่านนอนราบพักอยู่หลายวัน  สั่งพวกเราที่เป็นลูกหาบว่า เมื่อท่านเพ้อสั่งให้ทำอะไร  อย่าให้พวกเราทำตามคำสั่งของท่าน
แมคกิลวารี :    ทางเดียวที่จะช่วยหมอได้ ก็ต้องไปขอกำลังจากเจ้าหลวง  ให้ส่งเรือเร็วและคนไปช่วย 
(เสียง)

ผู้บรรยาย :  เมื่อเรือของเจ้าหลวงไปถึง  ลูกหาบของท่านก็ได้ยกร่างของท่านมาโดยแคร่ แล้วก็เดินทางกลับขึ้นไปเชียงใหม่  ท่านพักผ่อนอยู่เป็นเวลาหนึ่งเดือน  ได้ทำคลอดให้แก่มารดาทั้งสอง  ก่อนที่ท่านจะเดินทางกลับ  ก็ได้ร่วมกันจัดตั้งคริสตจักรเพลสไบเตอเรียนแห่งแรกขึ้นที่เชียงใหม่ 
(จบองค์ที่ 1  ซึ่งน่าจะใช้เวลา  10  นาที)
(เสียง)
 












เรียน   Producer

ข้อแนะนำ
                เพลงที่จะใช้สำหรับคั่นระหว่างองค์ที่ 1 องค์ที่  2  และตามองค์ที่ 3  นั้น ขอแนะนำว่า  ควรจะเป็นเพลงที่สอดคล้องกับละครเรื่องนี้ทั้งหมด   เพื่อให้เป็นเรื่องเดียวกันตลอดการแสดง  1  ชั่วโมง 

                ดังนั้นเพลงที่จะใช้คั่นระหว่างองค์ที่ 1  กับองค์ที่ 2 นั้น  น่าจะเป็นเพลงไทยโบราณของภาคกลาง  หรือวงปี่พาทย์  เพราะองค์ที่ 1 ส่วนมากเกี่ยวข้องกับบางกอกหรือภาคกลาง

                เพลงที่จะใช้คั่นระหว่างองค์ที่ 2 และองค์ที่ 3   น่าจะเป็นเพลงพื้นเมืองภาคเหนือ หรือวงสะล้อซอซึง   เพราะเรื่องราวขององค์ที่ 2 เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในเชียงใหม่

                สำหรับเพลงที่จะใช้ต่อจากองค์ที่ 3 นั้น  น่าจะเป็นเพลงร่วมสมัยหรือเพลงสั้นก็ได้  มีลักษณะเป็นเพลงแห่งชัยชนะ  น่าจะให้ที่ประชุมร่วมร้องด้วยเพื่อเป็นการแสดงความพอใจในพระราชกิจของพระผู้เป็นเจ้า ที่เริ่มต้นขึ้นแล้วและกำลังจะเกิดผลมากขึ้นในสมัยของเรา  ซึ่งเป็นการทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งสิ้น  เพลงสุดท้ายของตอนนี้  น่าจะเป็นเพลงไทยนมัสการสักบทหนึ่ง  ที่จะให้ที่ประชุมร้องพร้อมกัน แล้วให้จบลงด้วยคำอธิษฐานที่มีการตระเตรียมไว้แล้วทุกถ้อยคำ  เหมือนกับเป็นการประกาศสัตยาบรรณที่เราทั้งหลายมีต่อพระเจ้าและให้พระองค์ทรงใช้เราในงานของพระองค์ในยุคใหม่ต่อไป (คำอธิษฐานนี้น่าจะเขียนไว้ก่อนล่วงหน้า  และได้ซักซ้อมการอ่านไว้ให้ซาบซึ้งก่อนที่จะมีการแสดง บุคคลผู้นี้น่าจะเป็นศิษยาภิบาลหรือ อ.ภักดีนั่นเอง)














องค์ที่ 2   ข่มเหงขัดขวาง
(เหตุการณ์ของการเริ่มต้นคริสตจักรในเชียงใหม่)
แหม่มแมคกิลวารีกำลังทำงานบ้านอยู่แต่ลำพัง

Setting :  แม่ครูรำพัน     
  จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ยังไม่ทราบ  น่าสงสารพ่อครูวิลสัน  ท่านเป็นผู้ที่รักและทุ่มเทชีวิตให้แก่พระเจ้าอย่างแท้จริง   ครอบครัวของท่านตามพวกเราขึ้นมาเชียงใหม่  แม้จะช้าไปหนึ่งปี แต่ก็ได้เกิดคุณค่ามากมาย  คือเราเองก็มีเพื่อน  มีที่ปรึกษา  มีคนเห็นใจและเข้าใจงานที่พ่อครูแมคกิลวารีและตัวดิฉันทำกันอยู่  ราวกับว่าเราอยู่ในสภาพหัวเดียวกระเทียมลีบ
                ดูซิ!   พ่อครูวิลสันมาเราก็มีบ้านอยู่ทันที  ท่านเป็นผู้ที่มีความรู้ในเรื่องการก่อสร้าง  ปริญญาตรีของท่านที่จบก่อนจะไปเรียนศาสนศาสตร์นั้นเป็นเรื่องการก่อสร้าง  เราจึงรอคอยจนกว่าท่านจะมาเพื่อจะสร้างสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่นี่ต่อไป
                วันก่อนท่านเจ้าหลวงก็มาปรึกษากับเรา ยกที่ทางฝั่งตะวันออกของแม่ปิงให้แก่เราสำหรับสร้างที่พักและโบสถ์  เวลานี้เราได้ย้ายมาอยู่ฝั่งนี้แล้ว  อยู่ในบ้านไม้ไผ่ที่พ่อครูวิลสันสร้างให้

แมคกิลวารีเดินเข้ามา :
                น่าเศร้าจริง ๆ แฟร้งค์เด็กน้อยนั้นตายเสียแล้ว  เราได้พยายามช่วยชีวิตเขาสุดฝีมือแล้วยาที่เรามี  ตำราที่เราจะค้นคว้าได้  สมุนไพรพื้นเมืองเราก็ได้ทดลองใช้แล้ว  แต่เราก็ไม่สามารถเอาชีวิตเขาไว้ได้ ... พระเจ้าประทานมา  พระเจ้าก็ทรงรับไป
                ชีวิตของพ่อครูวิลสันเป็นชีวิตที่น่าสงสารมาก  จำได้ไหมเมื่อครอบครัวของท่านมาถึงบางกอกไม่นานนัก  ภรรยาและลูกน้อยของท่านก็ตายด้วยโรคอหิวาต์  เป็นโสดอยู่หลายปี  กลับไปอเมริกาแต่งงานแล้วกลับมาใหม่  พอมาถึงเชียงใหม่ได้เพียง  10  เดือน  แฟร้งค์ก็ตายอีก
แม่ครู :  มีคนมามากมายรอบ ๆ บ้านเราเขามาทำอะไรกัน  ดูท่าทางจะเป็นทหารที่ถูกเกณฑ์มา  วันหนึ่งดิฉันถามพวกเขาว่า มาจากไหน  พวกเขาบอกว่า มาจากเมืองลคร 1,000 คนและจากแพร่ 500 คน
พ่อครู :  พวกนั้นเป็นทหารที่ส่งมาช่วยปราบเงี้ยว  เจ้าหลวงยังไม่เสร็จสิ้นการศึกสงครามครั้งนี้   ท่านคงจะต้องการปราบให้ราบคาบเสียที
                แต่ก็ดีนะแม่ครู  จำได้ไหมเมื่อครั้งที่เราอยู่ที่ศาลาริมทางโน้น  ผู้คนก็มารุมล้อมเราล้วนเป็นคนเชียงใหม่ แต่เวลานี้  พระเจ้าได้ส่งคนที่มาจากละครและแพร่ให้มารุมล้อมเราอีก  ขอบคุณพระเจ้า  นี่คือโอกาสที่จะให้งานของพระองค์ซึ่งพวกเราทำอยู่นี้ได้นำออกไปเป็นเรื่องเล่าตามหมู่บ้านในเมืองละครและเมืองแพร่อีกด้วย  ต่อไปก็จะง่ายขึ้นเมื่อพวกเราออกไปทำงาน
(เสียง)
ฉากท้องพระโรงในคุ้มหลวง  เจ้าหลวงด้วยท่าทางที่เป็นทุกข์ปรึกษาหารือกับธิดาองค์ที่ 2
ธิดาองค์ที่ 2 :    เจ้าพ่อรู้เรื่องหรือยังว่า ฝรั่งพวกนั้นกำลังจะทำเรื่องขึ้น  ความจริงเขาก็เป็นคนดี  รักษาโรคให้กับผู้คน  สอนหนังสือให้กับชาวบ้าน  ล้วนดีทั้งนั้น  แต่ไอ้ที่ไม่ดีก็คือกำลังมีคนตามฝรั่งไปเป็นคริสเตียนแล้วหลายคน 
เจ้าหลวง :    รู้ไหม   คนพวกนั้นคือใครบ้าง
ธิดา :   ที่รู้มานั้นเป็นคนที่ไม่ธรรมดาเลย  ชาวบ้านชาวเมืองเคารพนับถือ และนี่แหละมันเป็นเหตุให้ชาวบ้านมากมายเชื่อตามและกำลังจะไปเชื่อศาสนาฝรั่งกันเป็นแถว ๆ
เสนาเข้ามา :    เจ้ามีคำสั่งเรียกผมหรือครับ
เจ้าหลวง :    รู้บ้างไหมว่าใครไปเชื่อพระเยซูตามที่ฝรั่งสอน
เสนา :    ที่รู้รู้อยู่ก็มี 4 คนแล้ว
คนแรกก็หนานอินต๊ะนั่นแหละ : เห็นไปหมกมุ่นอยู่กับฝรั่งตั้งแต่เมื่อพวกมันอยู่ที่ศาลาโน้นแล้ว  ถามสารพัด  บางทีอยู่ตั้งแต่เช้ายันเย็น
คนที่สองก็น้อยสัญญา :  อยู่ถึงบ้านปูคาโน้น  ก็ยังมามั่วสุมอยู่กับฝรั่ง  ถามเรื่องพระเยซูไม่รู้จักจบ  บางวันจนเย็น  กลับบ้านไม่ได้  ค้างอยู่กับพวกมันก็ยังมี  วันอาทิตย์  ฝรั่งมันสวด  น้อยสัญญาก็มาตั้งแต่เช้า  สวดแล้วก็อยู่ต่อคุยกันอีก
เจ้าหลวง :  อ้อ!      ไอ้น้อยสัญญา     ขี้ค่าเรานี่เอง    เรารู้แล้วว่ามันเป็น คนไหน  ก็ไอ้คนที่ดูแลฝูงวัวฝูงควายนั่นไง   ดีแล้ว!  ไอ้คนอย่างนี้ต้องกำจัดเสีย  มีอีกไหมที่ไปเป็นพวกพระเยซู 
เสนา :  คนนี้เป็นข้าของเจ้าหลวงลำพูน  ชื่อแสนวิชัย  อยู่ไกลแสนไกลมันก็ยังมาเล่ามาเรียนกับฝรั่งเรื่องพระเยซู  ทั้งๆที่มันเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน  อย่างนี้จะทนไหวหรือ  อีกไม่นานมันก็เอาเชื้อพระเยซูไปปล่อยลำพูนแน่ 
เจ้าหลวง : ไอ้คนนี้ไม่ยาก ประเดี๋ยวจะขอให้เจ้าหลวงลำพูนจัดการให้ 
เสนา :    คนที่รู้มาสด ๆ ร้อน ๆ คือหนานชัย
ธิดา :    หนานชัยก็ไปเป็นพวกพระเยซูด้วยหรือ  เป็นถึงหนานแล้วก็ยังไม่รู้จักสำนึกตัวเอง  มิหนำซ้ำก็ยังเคยเป็นเจ้าอาวาสอีกด้วย  ผู้คนนับหน้าถือตา  อย่างนี้อีกไม่นาน  คนทั้งเชียงใหม่ก็จะพากันตามไปด้วย
                เจ้าหลวง : (นิ่งเงียบ   แสดงใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล  และเครียดแค้น)
ธิดา :   เราทำดีทุกอย่างกับพวกฝรั่ง  ซึ่งพวกเขาก็เป็นคนดีจริง ๆ แต่เจ้าพ่อจำได้ไหม  ไอ้เจ้าฝรั่งคนนั้นเป็นชาวโปรตุเกส  ชื่อว่า ฟองซิก้า มันตามเจ้าพ่อขึ้นมาเมื่อครั้งไปบางกอกเที่ยวสุดท้ายนั้น  มาอยู่กับเราเพื่อช่วยเจ้าพ่อเป็นที่ปรึกษาเรื่องต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องกับฝรั่งและต่างประเทศ  ฟองซิก้าบอกเราแล้วครั้งแล้วครั้งเล่าว่า  ให้ขจัดพวกมิชชันนารีเสีย
(เสียงที่มีน้ำหนัก  เพื่อเน้นให้เห็นถึงความตึงเครียด)
Setting :  พ่อครู  และ หนานอินต๊ะ  นั่งคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขก
หนานอินต๊ะ  :  แม่นแต้ะ 
แม่ครู :  เดินเข้ามาพอดี ถามว่า อะไรมันแม่นแต้ะ
พ่อครู : ผมได้บอกกับหนานอินต๊ะเรื่องสุริยุปราคา  มันเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ  ไม่ใช่เรื่องของอสูรร้ายที่กำลังจะทำลายดวงอาทิตย์  เราไม่ต้องไปกำจัดอสูรหลอก  เป็นเรื่องที่พระจันทร์โคจรมาระหว่างดวงอาทิตย์กับโลก  แล้วมัน ตั๊ดกันพอดี    เงาของดวงจันทร์จึงพาดลงมาบนโลก
หนานอินต๊ะ  :   หันไปพูดกับแม่ครู 
                แต่ที่ผม งืด แต้ ๆ  ก็ที่พ่อครูทายได้แม่นยำว่าจะเกิดวันไหน  ผมเอากระจกที่มีเขม่าดำจากพ่อครู  ไปนั่งดูเงาที่สะท้อนจากน้ำในถัง  ก็เห็นดวงจันทร์มันเดินมาปิดพระอาทิตย์จริง ๆ   แม่นแต้
                ผมเชื่อแล้วว่าสิ่งที่พ่อครูสอนนั้นเป็นจริงทั้งหมดด้วย  ผมนอนไม่หลับทั้งคืน  ขอเป็นลูกศิษย์พระเยซูด้วยคน  และก็มีไอ้น้อย  ลูกชายบวชเรียนอยู่ที่วัดอีกสองคน  ก็จะเอามันเชื่อด้วย
(เสียง  ที่แสดงความมั่นใจ)
Setting :  เจ้าหลวง    ยืนพูดอยู่กับเสนา
เสนา :   ฆ่าตายเรียบร้อยแล้ว
เจ้าหลวง :   ใครบ้าง  เอาไปฆ่าที่ไหน ?
เสนา :  น้อยสุริยะ และหนานชัย เพชฌฆาตฆ่าตายที่บ้านแม่ปูคานั่นแหละ
เจ้าหลวง :  ไอ้แสนวิชัยนั้น  ข้าก็จัดการเรียบร้อยแล้ว ได้ส่งข่าวไปให้เจ้าหลวงลำพูนเป็นผู้จัดการให้ แต่ข่าวมันรั่ว แสนยาวิชัยจึงหนีเอาตัวรอดไปได้
ธิดาองค์ที่ 2 เข้ามา :  เวลานี้มีข่าวมาว่า  ไม่มีใครติดตามฝรั่งอีกแล้ว  คนยามคนครัว  หนีเอาตัวรอดหมด  พวกที่มาเอายากันเยอะแยะนั้นก็หายหัวไปด้วย    เหลือแต่ฝรั่งสองคน  คือแมคกิลวารีและวิลสันที่เดินงุ่นง่านอยู่
                เจ้าพ่อรู้ไหมว่า  มีใบบอกมาจากบางกอก  ให้ฟอนซิก้ากลับไปบางกอกด่วน  แล้วให้ออกนอกประเทศไป  ทีนี้ใครจะให้คำปรึกษากับเจ้าพ่อเล่า 
เสนา :  เจ้าหลวง  ท่านทราบแล้วใช่ไหมว่า  พ่อค้าไม้ชาวพม่าคนนั้นมันเอาเรื่องไปฟ้องศาลกงศุลอังกฤษ  เรียกร้องค่าเสียหายมากมาย  มันเป็นเรื่องหนักนะเจ้าหลวง 
                เจ้าหลวง :  (พูดอย่างคนมีอำนาจ  แสดงความโกรธเกรี้ยว)  ก็นั่นแหละ  พวกฝรั่งค้าไม้  พวกพม่ามันกำลังแผลงฤทธิ์กับกู  ดีแล้ว  กูต้องเชือดไก่ให้ลิงดู  กูจะจัดการกับพวกมิชชันนารีนี่แหละ  ให้พวกฝรั่งมันรู้ฤทธิ์เดชของกูบ้าง
(เสียง)
Setting :    ในบ้านของพ่อครูวิลสัน     กำลังสนทนากับพ่อครูแมคกิลวารี
แมคกิลวารี :  เราต้องขอบคุณพระเจ้า  ที่ในยามทุกข์  ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา  ผู้คนก็เผ่นหนีกันไปเรียบร้อยแล้ว  แต่เจ้าแม่บัวคำ และเจ้าอาวาสวัดอุโมงค์ ก็ยังกล้าที่จะเป็นมิตรแท้ของพวกเรา  นับว่าเสี่ยงมากสำหรับทั้งสองท่านที่เดินทางมาเยี่ยมเราถึงบ้าน  เป็นเวลาเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พวกเราบรรเทาจากความเครียดได้บ้าง  เมื่อได้พูดคุยกับท่านทั้งสอง
พ่อครูวิลสัน :  คุณได้ส่งจดหมายแจ้งไปบางกอกแล้วหรือยังว่า  อะไรเกิดขึ้นกับพวกเราทางนี้
พ่อครูแมคกิลวารี :   ได้ส่งจดหมายด่วนลงไปแล้ว  และก็ได้เล่าให้ทางบางกอกได้ทราบอีกด้วยว่า  ลุงปุก  เป็นอีกคนหนึ่งที่ถูกปลิดเอาชีวิตไปเพราะด้วยเหตุผลที่ลุงปุกเชื่อพระเยซู  ไม่ยอมปฏิเสธพระองค์  ทางบางกอกเขาเป็นห่วงพวกเรามาก  เขาไม่แน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา  บอกให้เราระวังตัวและเห็นแก่ชีวิตครอบครัวของเราทั้งสองมากกว่า  แต่ผมก็ได้บอกกลับไปบางกอกทุกทีว่า  แม้จะมีอะไรเกิดขึ้น  ครอบครัววิลสันและครอบครัวแมคกิลวารีได้ตัดสินใจแล้วว่า  จะอยู่ที่เชียงใหม่ด้วยใจที่แน่วแน่ต่อไป
แหม่มวิลสันเข้ามาในห้อง :  มีผู้สื่อข่าวที่ส่งขึ้นมาจากบางกอก  เพิ่งมาถึงพร้อมกับจดหมายว่า  บางกอกได้ส่งคนขึ้นมาแล้ว  และดิฉันก็ได้ข่าวมาจากบางคนที่ทำงานในคุ้มหลวงเล่าให้ฟังว่า  เรื่องราวที่เลวร้ายเกิดขึ้นกับพวกเราไปถึงบางกอกตามที่พ่อครูแมคกิลวารีรายงานไปนั้น  ทางราชการได้ถือเป็นเรื่องสำคัญ 
                ผู้ถือสารจากบางกอกเล่าว่า  เมื่อข่าวร้ายไปถึงนั้น  หมอปลัดเลได้ประชุมกับผู้สำเร็จราชการทันที  ท่านจึงสั่งให้ส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นผู้แทนพระองค์ขึ้นเชียงใหม่  แล้วให้มิชชันนารีร่วมทางไปด้วยได้  ที่ประชุมจึงลงมติให้อาจารย์ โนอาร์  แมคดานอล  และอาจารย์ เอส ซี ยอร์จ  ร่วมเดินทางไปด้วย
พ่อครูแมคกิลวารีและพ่อครูวิลสันพูดพร้อมกันว่า :   ขอบพระคุณพระเจ้า
(เสียง)
Setting :  ที่บ้านพ่อครูวิลสัน   พ่อครูนั่งอ่านจดหมายแต่ลำพัง 
พ่อครูวิลสัน :   จดหมายฉบับนี้ผมได้รีบเขียนเพื่อเป็นการแจ้งให้พี่น้องในคริสตจักรของผมและมิตรสหายในสหรัฐอเมริกาได้ทราบว่า  ครอบครัวแมคกิลวารีและครอบครัววิลสันตกอยู่ในสภาพเช่นดังที่เคยเล่าให้ฟังในจดหมายฉบับก่อนแล้วนั้น 
                เรื่องเหตุการณ์ที่คริสเตียนสองคนถูกฆ่าตายนั้น  พ่อครูแมคกิลวารีได้แจ้งไปที่บางกอก  ทางราชการมิได้นิ่งเฉยเลย  ท่านผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของรัฐกาลที่ 5 เข้าใจพวกเราดีมาก  ท่านเป็นคนหนึ่งในคนหนุ่มยี่สิบคนที่เป็นพระสหายของเจ้าฟ้าใหญ่ที่ได้เรียนภาษาอังกฤษกับหมอแคสเวลล์  ต่อมาเจ้าฟ้าใหญ่ได้ลาผนวชแล้วได้รับราชสมบัติเป็นรัชกาลที่ 4 ส่วนสหายของท่านนั้นคือหลวงนายสิทธิ์  ต่อมาเมื่อถึงรัชกาลที่  5 ก็ได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ 
                ขอเล่าให้ฟังว่าผู้แทนพระองค์และหมอแมคดานอล  และอาจารย์ยอร์จมาถึงเชียงใหม่อย่างรวดเร็ว    เจ้าหลวงได้ทราบล่วงหน้าว่าผู้แทนพระองค์มาถึงลำพูนแล้วพร้อมกับช้าง  18 เชือกกับผู้ติดตาม  53  คน  เมื่อข่าวนี้มาถึง  ทั้งเมืองเชียงใหม่อยู่ในความเครียด  เพราะไม่มีใครรู้ว่าบางกอกมีความประสงค์อะไร  ที่ยิ่งกว่านั้นก็คือมีฝรั่งสองคนมาด้วย  จึงทำให้เรารู้แน่ว่า  เนื่องมาจากการที่คริสเตียนสองคนถูกฆ่าตาย  เมื่อขบวนมาถึงแล้ว  เจ้าหลวงประกาศให้เข้าเฝ้าที่ท้องพระโรงได้ เวลา  09.00  น. ผู้แทนพระองค์มีคำสั่งให้พ่อครูแมคกิลวารีและผมร่วมเข้าเฝ้าด้วย
                ขบวนที่มาจากบางกอกนั้น  มีสิ่งสำคัญที่ถือว่าเป็นสัญลักษณ์แทนองค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  คือตราทองคำ  ดังนั้นเจ้าหลวงจึงส่งเสลี่ยงและฉัตรทองคำมาอัญเชิญตราทองคำนั้นไปยังคุ้มหลวง  เราสองคนร่วมเดินไปกับขบวนด้วย  ภาพที่เห็นข้างหน้านั้นเป็นที่น่าประทับใจยิ่ง  พวกเราไม่เคยพบเห็นมาก่อนในหมู่คนลาวที่มีขบวนต้อนรับอย่างใหญ่โต  เจ้าชายและเจ้าหญิงทุกพระองค์ตลอดจนเจ้าหน้าที่ต่างยืนอยู่อย่างพร้อมเพรียง   ตราทองคำนั้นได้นำไปประดิษฐานไว้กลางท้องพระโรง  สักครู่เจ้าหลวงก็เสด็จออก  เห็นได้ชัดว่ามีพระพักซูบซีดที่พยายามอดกลั้นความโกรธไว้  เจ้าหน้าที่สยามถวายพระราชลัญจกร  เจ้าหลวงทรงแกะออกอย่างรวดเร็วแล้วส่งให้ราชเลขาสยามเป็นผู้อ่าน  เมื่อจบแล้วใบหน้าของเจ้าหลวงเปลี่ยนไปและมีอากัปกิริยาสบายขึ้น  เจ้าหลวงพูดว่าสารนี้ไม่มีข้อความอะไรที่สำคัญมากนัก  เพียงแต่ให้สิทธิพิเศษพวกมิชชันนารีให้อยู่ต่อไป  ถ้าเขาต้องการจะอยู่  หรือเลือกที่จะไปก็ได  แมคดานอลได้แสดงความเคารพต่อเจ้าหลวงแล้วกล่าวขอบคุณที่มิชชันนารีได้รับความสดวกสบาย  ได้พูดถึงมิตรภาพหนหลังตั้งแต่ที่บ้านหมอปลัดเล  เมื่อมีความเข้าใจผิดกันบ้างที่เกิดขึ้น  เจ้าหลวงจึงกล่าวตอบว่า  เรื่องคนใช้ที่หนีไปนั้นไม่ใช่ปัญหาใหญ่  แต่ที่แน่นอนก็คือ  ข้าได้สั่งประหารคนสองสามคน ซึ่งก็เป็นเรื่องที่อยู่ภายใต้อำนาจที่จะทำได้  เพราะพวกเขาไม่ยอมมาทำงานให้กับหลวง  แต่นั่นก็เป็นเรื่องส่วนตัวอีก   เจ้าหลวงมิได้คาดคิดที่จะพูดเรื่องนี้อีกทั้งในสารก็ไม่ได้กล่าวถึง  ทั้งๆที่พระองค์กำลังจะเสด็จออกไปอยู่แล้วก็ต้องหยุดพูดด้วยอากัปกิริยาที่แสดงความไม่พอใจ
                พ่อครูแมคกิลวารีเห็นว่า  ถ้าเรื่องนี้รู้มาถึงจุดนี้แล้ว  โดยไม่กล่าวถึงการที่ฆ่าพวกคริสเตียนสองคนเลย  ก็จะทำให้เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องเล็กน้อยไป  และถ้าไม่ได้ยกขึ้นมาพูดกัน  ก็จะเป็นเรื่องค้างคาในใจ  จะทำงานได้ไม่สะดวก  แมคกิลวารีไม่ต้องการให้โอกาสนี้ผ่านไปจึงลุกขึ้นพูดกับเจ้าหลวงว่า ผมรู้สึกเสียใจที่ต้องกราบทูลว่า  พระองค์มิได้ตรัสในสิ่งที่เป็นข้อเท็จจริงเลยแม้แต่น้อย  เพราะไม่มีใครเลย  ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือเป็นที่อยู่ในที่ประชุมนี้  หรือแม้แต่บุคคลอื่นๆที่อยู่ในราชอาณาจักร  ที่จะไม่รู้ว่าบุคลคลทั้งสองถูกประหารชีวิต ไม่ใช่จากสาเหตุอื่นใด  นอกเหนือจากการที่เขาเป็นคริสเตียน 
                คริสเตียนทั้งสองไม่ได้ตายเพราะฝ่าฝืนคำสั่งของบ้านเมือง  แต่ต้องถูกหลอกไปสังหารโดยไม่มีการไต่สวนหรือแม้แต่ที่จะล่ำลาลูกเมีย
                เมื่อพ่อครูแมคกิลวารีพูดเสร็จแล้ว  เจ้าหลวงเพ่งมองดูเหมือนกับจะกินเลือดกินเนื้อ  เจ้าหลวงคงจะคิดว่าการฆ่าสองคนนั้น  พวกเราก็คงจะยังไม่รู้  แต่เรืองสำคัญนั้นคือเป็นครั้งแรกในอาณาจักรลาว  ที่เจ้าหลวงถูกท้าทายตรงไปตรงมาเช่นนั้น  จนเจ้าหลวงทนไม่ได้จึงได้เปิดโฉมหน้าอันแท้จริงออกมา    พร้อมกับพูดว่า ถูกแล้ว  ข้าสั่งประหารคนเหล่านี้  เพราะพวกมันเปลี่ยนศาสนา  และข้าก็จะประหารทุกคนที่ทำเช่นนั้นด้วย  การละทิ้งศาสนาเดิมถือว่าเป็นกบฏ  ถ้ามิชชันนารีจะอยู่ต่อไปรักษาโรคก็ทำได้  แต่จะต้องไม่เปลี่ยนศาสนาคนพวกนี้   ถ้าทำแล้ว  ข้าก็จะขับไล่ออกจากอาณาจักรทันที 
                การกระทำของเจ้าหลวงเช่นนั้นก็มีจุดประสงค์ด้วยว่า  ท่านไม่ได้เกรงกลัวสยามมากนัก  แม้ผู้แทนพระองค์จะประทับอยู่ที่นั่นก็ตาม  แต่ที่สัญญาว่าพวกมิชชันนารีจะได้รู้ว่าพระองค์เป็นใคร  มีอำนาจเพียงไร   หลังจากนั้นพวกเรากลับไปประชุมกันทีบ้านของพ่อครูแมคกิลวารี  อภิปรายกันเคร่งเครียดและขออธิฐานร่วมกัน  ที่ประชุมมีความเห็นว่า  เราควรจะปิดคริสตจักรเสียก่อนเป็นการชั่วคราว  เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่อาจเลวร้ายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้  ทุกคนที่รู้จักเจ้าหลวงองค์นี้ต่างยืนยันว่า  ท่านเป็นเหมือนสิงโตร้าย  ชีวิตของพวกเราจะไม่ปลอดภัยอีกต่อไป  ผู้แทนพระองค์ก็เป็นห่วง  ได้ขอให้เราเดินทางกลับไปพร้อมกับท่าน  ผู้เดียวที่ยังยืนหยัดที่จะอยู่ต่อไปคือ พ่อครูแมคกิลวารี  เพราะท่านเห็นว่าเป็นการไม่สมควรที่จะทิ้งคริสตจักรและก็เชื่อว่า  ความกริ้วโกรธของเจ้าหลวงก็จะค่อย ๆ บรรเทาลง
(เสียง)
พ่อครูแมคกิลวารีและพ่อครูวิลสัน : ออกมาเดินเล่นเวลาเช้าและสนทนาปรึกษากัน
แมคกิลวารีพูด :  ถ้าเหตุการณ์มาถึงขั้นนี้  ก็ขอให้ครอบครัวพ่อครูวิลสันเดินทางออกไปก่อน  ผมเห็นด้วยที่จะไปเริ่มงานใหม่ที่ระแหง  เราก็จะมีสองคริสตจักรเกิดขึ้น  ที่นั่นจะได้รับความปลอดภัยแน่นอน  เพราะระแหงอยู่ในเขตราชอาณาจักรสยาม  สำหรับผมนั้นมีความรู้สึกว่า  เหตุการณ์ร้ายได้ผ่านไปแล้ว  เพราะเจ้าหลวงจะไม่กล้าทำสิ่งไรที่เป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของบางกอก

พ่อครูวิลสัน  :  คุณพูดถูกแล้ว และมีความแน่วแน่มั่นคงที่จะทำงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไป  ผมก็จะช่วยอธิฐานเผื่อคุณเสมอ
แมคกิลวารี :   ผมจะไม่จากไปทันที  เพราะเราเคยมีมิตรไมตรีกันมากับเจ้าหลวงเป็นอย่างดี  ทั้งที่บางกอกและที่นี่  ผมจะต้องไปขอพบเจ้าหลวงเสียก่อน  ถ้าจำเป็น   ผมจะต้องล่ำลาท่านอย่างผู้ที่มีพระคุณและมีมิตรไมตรีต่อกัน  ผมรู้ว่าเจ้าหลวงไม่พอใจผมมากกว่าใคร ๆ นับตั้งแต่ที่หลานชายของท่านตายไปหลังจากที่ปลูกฝีได้สองวัน  แต่ที่ร้ายที่สุดผมได้เผชิญหน้ากับท่านอย่างรุนแรงที่ท้องพระโรงเมื่อวานนี้
พ่อครูวิลสัน :  เรื่องนี้ผมได้เคยปรึกษากับ  อาจารย์แมคดานอลด้วยแล้ว  ท่านไม่เห็นด้วยที่คุณจะไปพบกับเจ้าหลวงอีก  แต่สำหรับผมนั้น  เมื่อได้ฟังความคิดเห็น  เหตุผล  และความเชื่อศรัทธาของคุณแล้ว  ผมก็เห็นด้วย
(เสียง)
Setting : ณ ท้องพระโรง เจ้าหลวงทรงประทับอยู่กับมเหสีองค์ใหญ่ แมคกิลวารีไปเฝ้าทูล
แมคกิลวารี :  ต้องขออภัยเจ้าหลวงด้วยสำหรับเหตุการณ์เมื่อวาน (เป็นคำพูดที่ทำให้เจ้าหลวงมีใบหน้าเปลี่ยนแปลงไป  สดชื่น และสุภาพ)  เจ้าหลวงจำได้ไหมเรามีมิตรไมตรีกันมายาวนาน เป็นเวลาหลายปีแล้ว  เจ้าหลวงเคยไปเยี่ยมผมและภรรยาที่บ้านหมอปลัดเล  ผมได้รับความเมตตาจากเจ้าหลวงให้ขึ้นมาทำงานที่เชียงใหม่   ผมได้มาสอนศาสนาและประชาชนก็ได้รับประโยชน์จากหยูกยาที่ผมนำมารักษาโรค  ท่านเจ้าหลวงก็ยังมีเมตตายกที่ดินให้สำหรับการสร้างโบสถ์สร้างบ้านของเรา  พวกเรามาถึงที่นี่อย่างมิตร  ผมจึงมิอาจจะจากไปอย่างศัตรู  (เจ้าหลวงพอใจมาก  แสดงอาการเป็นมิตรมากขึ้น)
เจ้าหลวง :   พ่อครูแมคกิลวารีจะรีบฟั่นไปไหน  อยู่ที่นี่ก่อน  เก็บเข้าเก็บของให้เรียบร้อย  ฉันจะต้องไปบางกอก  เมื่อฉันกลับมาแล้วพ่อครูจึงไป
แมคกิลวารี :  พ่อครูวิลสันจะจากเราไปล่วงหน้าอีกไม่กี่วัน  จะไปทำงานที่ระแหง (แล้วทั้งสองต่างก็จับมือล่ำลากันเหมือนกับไม่มีเหตุร้ายใด ๆ เกิดขึ้น) ผมจะส่งข่าวถึงบางกอกให้พ่อตาคือหมอปลัดเลได้ทราบว่าเจ้าหลวงจะมา ขอให้ท่านได้ต้อนรับเจ้าหลวงด้วยมิตรไมตรีอย่างคนที่ชอบพอกันมานาน
(เสียง)
         Setting : ภายในห้องครัวของบ้านแมคกิลวารี  แม่ครูกำลังทำอาหารอยู่  มีพ่อครูนั่งสนทนาด้วย
แมตกิลวารี :   เดินเข้ามา  นี่แม่ครู  ข่าวล่าสุดที่ผมเพิ่งได้รับและเขารู้กันทั่วเชียงใหม่แล้วว่า  เจ้าหลวงถึงแก่พิราลัยแล้ว  (แม่ครูตกใจ  วางมีดทำครัวมองหน้าพ่อครู)
แม่ครู :  คุณไปเอาข่าวที่ไหนมา
พ่อครู :  ผมขี่ม้าเข้าไปในเมือง  มีคนตะโกนบอกผมว่าเจ้าหลวงตายแล้ว  เพื่อให้แน่ใจ ผมจึงขี่ม้าเข้าไปในคุ้มของเจ้าหลาน เห็นว่าทุกคนกำลังโศกเศร้า ส่วนเจ้าหลานนั้นก็ได้รับใบบอกมาจากบางกอก ให้เดินทางไปสู้คดีเรื่องของเจ้าหลวง
แม่ครู :  เจ้าหลวงเดินทางไปบางกอกหลายเดือน  ถ้าจะไปป่วยที่นั่น
แมคกิลวารี :  เจ้าหลวงเริ่มป่วยตั้งแต่อยู่บางกอกแล้ว  จึงรีบกลับมาโดยเร็ว  ประสงค์ที่จะตายในกำแพงเมือง  แต่ก็สิ้นใจเสียก่อนถึงท่าน้ำ  ซึ่งมีช้าง  100 เชือกรอต้อนรับท่านอยู่
                แม่ครู เรื่องนี้ไม่ใช่ธรรมดา  ก่อนกลับมาถึงที่นี่  ได้เขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นทั้งน้ำตา  เพื่อส่งไปให้พี่น้องของเราในบางกอกและที่บ้านในอเมริกา
                (พ่อครูแมคกิลวารีอ่านจดหมาย)  ความรังเกียดเดียดฉันท์ได้มลายหายไปเมื่อมีความตายปรากฎขึ้นมา ความหวาดกลัวต่อการกลับคืนมาของเจ้าหลวงที่ได้หลอกหลอนพวกเรา กลายเป็นความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพราะพระองค์จากพวกเราไปแล้ว  พวกเราลืมความหลอกลวงและความปวดร้าวของพระองค์ไปจนหมดสิ้นและคิดถึงแต่คุณงามความดีของพระองค์เท่านั้น  พวกเรานึกถึงในครั้งที่พระองค์ประทับเสวยพระสุธารสหรือเสวยพระกระยาหารกับพวกเราหรือแม้แต่ตลกฝืดๆ ที่พระองค์โปรดเป็นยิ่งนัก  พระองค์ทรงเป็นพระบิดาที่ดีและทรงเป็นเพื่อนที่ดีให้แม้จะทรงเปลี่ยนพระทัยบ่อยครั้ง  ในหลาย ๆ ด้าน ท่านเป็นผู้ปกคลองที่ดี  มีความเด็ดขาด แม้จะกดขี่บ้าง ซึ่งมีผลต่อความสงบสุขในราชอาณาจักรของพระองค์และบัดนี้พระสุรเศียรซึ่งสามารถทำให้คนนับพันสั่นสะท้านได้เงียบงันไปชั่วนิรันดรไม่ต้องสงสัยเลยว่าความตายในครั้งนี้เป็นความโล่งใจของรัฐบาลสยาม ในอันที่จะยกการปกครองของมณฑลพายัพให้บุคคลทีเขาไว้วางใจ
                 อย่างไรก็ดีดูจะเป็นความโหดร้ายพอสมควร ที่จะมองข้ามการเดินทางกลับคืนสู่นครที่ยาวนาน และเหนี่อยล้าของกษัตริย์ซึ่งประชวรหนักพระอาการของพระองค์ทรงอ่อนแอจนไม่อาจทนฝืนต่อการเดินทางทางเรือที่ต้องใช้ไม้ถ่อได้  เรือพระที่นั่งจึงจำต้องใช้ลากเพื่อให้ดูเรียบเข้า และกระเทือนน้อยลง  แต่เมื่อวาระสุดท้ายมาถึง ความหวังเพียงอย่างเดียวที่ยังเหลืออยู่ของพระองค์ก็คือ การกลับคืนสู่พระนคร  เพียงเพื่อให้มีโอกาสไปสู่สวรรค์ในราชวังของพระองค์เอง  การเดินทางผ่านเกาะแก่งที่ยากลำบากนั้น เชื่องช้าเกินไปสำหรับคนที่กำลังจะตาย  การเดินทางด้วยช้างก็เช่นกัน ทั้งขรุขระและยาวนาน  ดังนั้นพระองค์จึงถูกนำมาขึ้นฝั่งเพื่อประทับเสลี่ยงเพื่อเดินทางต่อไป  ความรวดเร็วของการเดินทางช่วงนี้ขึ้นอยู่กับคนแบกหามเท่านั้น  พวกเขารีบเร่งผ่านเขาลูกแล้วลูกเล่าเพื่อไปยังลุ่มน้ำปิง  ทั้ง ๆ ที่ดวงอาทิตย์ส่องแสงจ้าแผดเผาสัพสิ่งทั้งปวง  บางครั้งก็มีฝนตกลงมาอย่างหนัก ในที่สุดในวันที่ 28 มิถุนายน  1870  เขาก็มาถึงฝั่งซ้ายของแม่น้ำปิง  ซึ่งเป็นเส้นกั้นระหว่างพระ องค์กับราชอาณาจักรของพระองค์เท่านั้น      พระองค์ตรัสถามขึ้นมาว่าดินแดนแห่งนี้คือที่ใด      ลำพูนเจ้า
เจ้าหลวงสั่งว่า แบกข้าข้ามแม่ปิงไปเดี๋ยวนี้  คำสั่งของพระองค์ได้รับการตอบสนอง  แต่ก็ทรงเหน็ดเหนื่อยจากการข้ามแม่น้ำในตอนนั้นกลางคืนผ่านไปด้วยความยากลำบาก จิตใจของพระองค์ระหกระเหินท่องเที่ยวไปจนไม่อาจหยุดนิ่งได้และทรงมีนิมิตว่า ทรงกลับมาถึงนครแล้ว และทรงสักการะในคุ้มหลวงของพระองค์เอง  เมื่อรุ่งสางมาถึงแม้จะยังมีพระชนม์ชีพอยู่แต่ก็ทรงอ่อนระโหยโรยแรงมาก จนกระทั่งคนหามเสลี่ยงจำต้องหยุดเกือบทุกฝีก้าว  แม้ว่าพระองค์ทรงกระตือรือร้นเพื่อจะเดินทางต่อไปก็ตาม ข้าราชบริพารตามเสด็จได้โบกพัดให้บ้าง บ้างถวายพระโอสถแต่ในที่สุดทั้งพัดโบกและโอสถก็ไม่อาจช่วยพระองค์ได้อีก  เฉลี่ยงจึงถูกวางลงใต้ฉัตรทองสองอันเพื่อบดบังแสงอาทิตย์ที่กำลังแผดเผา ขบวนเล็ก ๆ ขบวนนั้นต่างยืนอย่างสงบ ด้วยศรีสระที่โน้มต่ำลงและด้วยจิตใจสงบนิ่งในขณะที่ดวงจิตกำลังออกจากพระวรกาย  เพื่อเดินทางไปเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้า  ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้พระนคร แต่ก็หาได้มีสมาชิกในครอบครัวที่ใกล้ชิดอยู่กับพระองค์เพื่อเฝ้าดูจุดหมายปลายทางสุดท้ายแห่งชีวิตแม้แต่เพียงผู้เดียว  พวกมหาดเล็กปกคลุมพระวรกายด้วยผ้าผืนหนึ่งแล้วรีบเดินทางต่อไป  ที่พักจุดต่อไปอยู่ห่างไปทางด้านใต้ของเชียงใหม่ประมาณ 2-3 ไมล์  ขบวนแห่พระศพพักอยู่ ณ ที่นั้น  เวลาเกือบไล่เลี่ยกับที่ผู้นำข่าวเดินทางมาถึงเชียงใหม่พร้อมกับข่าวพิลาลัยขององค์เจ้าหลวง
                ผมทราบข่าวนี้จากมหาดเล็กในวันรุ่งขึ้น  พระเจ้ากาวิโรรสสุริยวงษ์  เจ้าหลวงแห่งเชียงใหม่ถึงแก่พิราลัย  เมื่อเวลา  10  นาฬิกา ของเช้าวันที่  29 มิถุนายน  ค.ศ. 1870   เป็นปีที่  70  ของพระชนม์ชีพของพระองค์และเป็นปีที่  16  ของการขึ้นครองราชย์สมบัติ
(เสียง)

องค์ที่  3  ขยับขยาย

Setting : ภายในห้องเรียนของผู้ใหญ่รุ่นอาวุโส   มีโต๊ะยาววางอยู่และมีม้านั่งวางรอบ  บรรยากาศเป็นการเสวนาประวัติศาสตร์  โดยมีบุคคลทางประวัติศาสตร์เป็นผู้ตอบคำถาม  พิธีกรนั่งกลาง  คอยซักถามให้บุคคลในประวัติศาสตร์ตอบเรื่องราวที่ท่านเหล่านั้นทราบ 
                พิธีกรนั่งกลาง (พ่อครูอำนวย)  ทางซ้ายเป็นครูไหว  ไชยวัณณ์  ถัดไปคืออาจารย์หมวก  ชัยลังการณ์ 
                ทางขวา  ถัดจากพิธีกรเป็นอาจารย์ศรีโหม้   วิชัย  และ ผป.รตท.นายอำเภอ  แก้ว  เนตตโยธิน  
                ตัวละคร : นอกจากพิธีกรซึ่งเป็นนักวิชาการแล้ว  ผู้ตอบคำถามทั้งสี่ท่านที่นั่งอยู่ทางซ้ายทางขวานั้น  ขอให้เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องหรือเชื้อสายโดยตรง  คือลูกหรือหลาน  เพื่อให้มีความรู้สึกใกล้กับสถานการณ์จริง  และยังเป็นการแนะนำให้ผู้ชมได้รู้ว่าบุคคลในประวัติศาสตร์เหล่านั้น  ยังมีลูกหลานอยู่ท่ามกลางพวกเราในปัจจุบัน
               



ขอแนะนำว่า

พิธีกร :  (พ่อครูอำนวย  ทะพิงแก) 
ครูไหว :  ครูวิจิตร  ไชยวัณณ์ 
อาจารย์หมวก :  ขอให้เป็นอาจารย์สุชาติ  ชัยลังการณ์ (ตุน)
อาจารย์ศรีโหม้ :   (หาชายสักคนหนึ่งที่นามสกุลวิชัย  ถ้าเป็นได้)
นายอำเภอแก้ว :  (เนื่องจากท่านไม่มีลูกผู้ชาย  ก็ขอให้คุณอบ  ลูกเขยของท่านทำหน้าที่แทนก็ได้)
                                                  เมื่อเปิดฉากแล้ว
ข้อระวัง  ขอให้แต่ละคนท่องบท  และพูดตามบทเท่านั้น  เพราะท่านเหล่านี้รู้เรื่องประวัติศาสตร์ดี  ถ้าปล่อยให้พูดตามสบาย  เกรงว่าจะบานปลาย
พิธีกร : (พ่อครูอำนวย  ทะพิงแก)วันนี้เรามีความสุขมาก  ที่จะได้เรียนรู้เรื่องประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในภาคเหนือ  เราได้ทราบแล้วว่า  พวกครูแมคกิลวารีและครอบครัวของท่านได้ขึ้นมาเชียงใหม่  ครอบครัวของท่านพักอยู่ที่ศาลาตรอกเล่าโจ๊  ในช่วงเวลาสั้นๆ  ท่านได้สร้างความประทับใจกับผู้คนในเชียงใหม่และเลยออกไปถึงบ้านนอกบ้านนา  มีผู้ที่สนใจความเชื่อของคริสเตียนหลายคน  เจ้าหลวงคือเจ้ากาวิโรฬส  ไม่พอใจโกรธกริ้วเป็นอันมาก   มิใช่เพาะว่ามีบางคนมาเป็นคริสเตียนเท่านั้น  แต่เจ้าหลวงไม่มีความสุขในเรื่องอื่น ๆ อยู่ด้วย  เพราะมีคดีความเกิดขึ้นจากพ่อค้าไม้พม่า  เจ้าหลวงเห็นว่าพวกพ่อค้าชาวอังกฤษกำลังมาแสดงอำนาจต่อท่าน  และมีคนอย่างชาวโปรตุเกส ชื่อฟอนซิก้ายุยงอยู่  ด้วยความโกรธท่านจึงได้สั่งให้ฆ่าน้อยสุริยะและหนานชัย  เรื่องไปถึงบางกอก  ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จึงส่งข้าหลวงมาเจรจาซึ่งดูเหมือนจะเข้าใจกันได้
                        ขอถามครูไหวว่าหลังจากนั้นมีอะไรเกิดขึ้น
ครูไหว :  สิ่งที่พ่อครูแมคกิลวารีได้ทำและเป็นที่ซาบซึ้งใจพวกเรามาก  ก็คือการที่ท่านถูกเหตุการณ์บีบให้ออกจากเชียงใหม่  ซึ่งเป็นการฝืนใจท่านนั้น  ท่านมีความรู้สึกว่าไม่อยากจากไปอย่างศัตรู  จึงได้ไปหาเจ้าหลวงเรียนให้ทราบถึงความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรไมตรีกันมาจากบางกอก  ถ้าเหตุการณ์ร้ายเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วจำเป็นจะต้องจากเชียงใหม่ไป  พ่อครูจึงมาวันนี้ทูลเจ้าหลวงว่า เรามาอย่างมิตร  ไม่ต้องการที่จะจากไปอย่างศัตรู  เจ้าหลวงจึงมีอารมณ์ดีเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน  สั่งให้แมคกิลวารีอยู่ไปก่อน  ตัวท่านนั้นจะต้องเดินทางไปบางกอก  เมื่อกลับมาแล้วจะไปก็ไปได้
                แต่เจ้าหลวงถึงแก่พิราลัยเสียก่อนระหว่างทาง    พ่อครูแมคกิลวารีมีความโศกเศร้าเสียใจมาก ในการจากไปของท่าน  ประวัติศาสตร์ตอนนี้ทำให้เรามีความซาบซึ้งมาก  เพราะเราได้เห็นชัดว่า   เจ้าหลวงและพ่อครูแมคกิลวารีนั้นไม่ได้เป็นศัตรูกัน  อย่างชนิดที่ยกโทษให้กันไม่ได้  แท้จริงทั้งสองฝ่ายได้ยกโทษให้กันแล้ว
                เจ้าอินทวิชยานนท์  ได้สั่งกับพ่อครูแมคกิลวารีว่าให้มิชชันนารีอยู่ต่อไป ก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ยืนยันว่า  ชาวเชียงใหม่ไม่เป็นศัตรูกับคริสเตียน  แต่เจ้าวิชยานนท์ซึ่งเป็นลูกเขยคนโตของเจ้ากาวิโลรสสุรยวงศ์นั้น  เป็นคนที่มีอุปนิสัยใจคอตรงกันข้าม  อีกทั้งก็ไม่สนใจกับการบริหารบ้านเมืองเท่าใดนัก  แต่ปล่อยให้อยู่ในความรับผิดชอบของอุปราชย์  ซึ่งเป็นผู้ที่ไม่ชอบคริสเตียนด้วย  และก็ได้วางแผนที่จะทำหลายล้างคริสเตียนต่อไป ซึ่งดูจะรุนแรงยิ่งขึ้น  อุปราชย์ผู้นี้เดินทางไปราชการที่บางกอก  แล้วก็ถึงแก่พิราลัยด้วยโรคอหิวาต์ที่นั่น  จึงไม่ทันได้ทำร้ายพวกคริสเตียนอีก 
พิธีกร :(พ่อครูอำนวย ทะพิงแก)  พ่อครูศรีโหม้  มีอะไรที่จะเล่าให้เราฟังบ้างที่เกี่ยวกับมิชชันนารีทั้งสองท่านในช่วงนั้น
อาจารย์ศรีโหม้ :  บุคคลที่น่าสงสารคือพ่อครูวิลสัน  เมื่อมาถึงบางกอก อีกไม่นาน  ภรรยาและลูกของท่านถึงแก่ความตาย   กลับไปอเมริกาแต่งานมาใหม่   ครอบครัวของท่านตามพ่อครูแมคกิลวารีขึ้นมา  อีกไม่นานลูกชายคือแฟล้งค์ก็ตาย  ส่วนแหม่มวิลสันนั้นก็เจ็บออดๆแอดๆ ซึ่งเกือบจะเป็นเรื่องปรกติของมิชชันนารีที่มาเมืองไทยเกือบทุกคน  พ่อครูจึงพาแม่ครูวิลสันเดินทางกลับไปบ้านที่อเมริกา  หวังว่าแหม่มจะได้รับการพักฟื้นและแข็งแรงขึ้น  แต่แหม่มก็ตายอีก
                พ่อครูวิลสันเป็นผู้ที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ต่าง ๆ ท่านสร้างบ้านอันเป็นที่พักของท่านและพ่อครูแมคกิลวารี  ตลอดชีวิตของท่านได้สร้างโบสถ์ขึ้นหลายแห่ง  ท่านเป็นผู้ก่อตั้งคริสตจักรเบธเลเฮ็มและคริสตจักรแม่ดอกแดง  ต่อมาเมื่อเกิดคริสตจักรขึ้นที่ลำปาง  ท่านได้ย้ายไปประจำอยู่ที่นั่นเพื่อดูแลคริสตจักรใหม่และสถานีมิชชั่นที่นั่น  ท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถทางวรรณกรรม  ได้เขียนได้แปลหนังสือเป็นภาษาลาวหลายเล่ม  ที่สำคัญมากก็คือหนังสือเพลงคำเมืองซึ่งเป็นงานที่ท่านได้ทำอย่างฝากฝีไม้ลายมือไว้ถึง 500 บท ได้พิมพ์เป็นตัวคำเมืองที่โรงพิมพ์เจริญเมือง  เพลงคำเมืองนี้พวกเราชอบกันมาก  และก็เป็นเพลงที่ยังใช้กันอยู่ของคริสตจักรไทยลื้อที่เชียงรุ้งจนทุกวันนี้  หลานของท่านชื่อฟลีสันมาช่วยงาน  ได้ก่อตั้งโรงเรียนวิชชานารีขึ้น  แต่แหม่มฟลีสันก็ต้องตายเพราะอหิวาต์  พ่อครูถึงแก่ความตายด้วยโรคมะเร็ง  แน่นอนศพของท่านไม่ได้ฝังไว้ข้างลูกและเมีย  และก็เป็นความประสงค์ของท่านที่ไม่ต้องการให้ฝังไว้ในสุสานของพวกฝรั่ง  แต่ให้ฝังไว้ที่สุสานของคนไทย  โดยให้เคียงข้างอยู่กับหนานพรหม  ผู้ช่วยในการแปลและการแต่งเพลงของท่าน  พ่อครูวิลสันเก่งทางดนตรีและชอบร้องเพลง  เมื่อท่านอายุ 80 ปีกว่าแล้ว  ท่านก็ยังโซโล่เพลงใหม่ ๆ ที่ท่านได้แต่งในการนมัสการของพี่น้องชาวลำปางอยู่เป็นประจำ
                ส่วนพ่อครูแมคกิลวารีนั้น  เมื่อเหตุการณ์สงบ  ท่านก็ออกสำรวจเป็นการใหญ่  ไปหลวงพระบาง,แพร่,น่าน,เชียงตุง และเชียงดาวเป็นต้น  หลังจากนั้นท่านก็เห็นว่าเป็นเวลาที่ท่านควรจะกลับไปที่บ้านสหรัฐอเมริกาเพื่อเอาลูกทั้งสี่เข้าโรงเรียน  มีครอบครัวอาจารย์ที่เคยสอนท่านเมื่ออยู่ที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์ปริ้นตัน  รับดูแลลูกทั้งสี่ให้  ส่วนท่านและแม่ครูก็กลับเชียงใหม่  อีกไม่นานก็มีลูกคนที่ห้า 
พิธีกร: (พ่อครูอำนวย ทะพิงแก) อาจารย์หมวก เชื้อสายของอาจารย์มาจากไหน และทราบเรื่องงานของพ่อครูที่จะเล่าให้เราฟังอีกบ้างไหมครับ
อาจารย์หมวก:  พ่อผมชื่อน้อยดี  ชัยลังการณ์   เป็นชาวยองที่เมืองลำพูน  ได้ส่งผมมาเรียนที่ปริ้นรอยแยลวิทยาลัย  ผมจบและเป็นอาจารย์ใหญ่ที่นั่น  เรื่องของพ่อครูนั้นเป็นเรื่องที่พวกเราชาวเชียงใหม่ในสมัยนั้นยกย่องเทิดทูลท่านมาก  งานด้านหนึ่งก็คือการรักษาพยาบาล  พ่อครูวิลสันเขียนจดหมายไปเรียกร้องให้หมอถวายตัวมาเชียงใหม่  ผู้ที่ตอบสนองท่านคือหมอวรูแมน  ท่านผู้นี้จึงเป็นหมอคนแรกในเชียงใหม่  ทำงานหนักมาก  เมื่อพ่อครูแมคกิลวารีไปอเมริกา หมอวรูแมนลาออก  ท่านจึงตระเวรหาคนที่เสียสละไปแทน  ก็ได้หมอชิคไป  หมอคนนี้ต่อมาแต่งงานกับซาร่าลูกสาวหมอปลัดเล   ดังนั้นหมอชิคก็กลายเป็นน้องเขยของพ่อครูไปด้วย 
                พ่อครูแมคกิลวารีต้องเผชิญกับเรื่องผีทุกแห่งหนที่ไป  ซึ่งมีสารพัดผี  แต่ที่นับว่าร้ายมากก็คือผีกะ  หรือบางกอกเรียกว่าผีปอบ  ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นการที่คนในสังคมหรือหมู่บ้านเมื่อเกลียดกันก็ใส่ร้ายว่าคนนั้นเป็นกะ  ไม่ต่างอะไรกับในสมัยหนึ่งที่ประเทศไทยรุมล้อมด้วยคอมมิวนิสต์  เมื่อไม่ชอบใครก็ใส่ข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์ให้  ดังนั้นทั้งผีกะและคอมมิวนิสต์จึงเป็นที่รังเกลียดรังชัย ถูกไล่ออกหมู่บ้านไป  คนเหล่านี้แหละที่หันมาเชื่อพึ่งพระเยซู  ด้วยความเชื่อว่าพระเยซูเข้ามาอยู่ในใจเขาแล้ว  ผีกะก็จะออกไป  แต่เพื่อบ้านยังข่มเหงต่อไป  ขอกล่าวหาตอนนี้คือ  เพราะเขาผู้นั้นที่เคยเป็นกะเวลานี้รักพระเยซูแล้ว  ผีกะก็จะออกไปอยู่กับคนอื่นต่อไป  คนๆนั้นจึงถูกข่มเหงอีกจนอยู่ไม่ได้  มิชชันนารีจึงต้องรับไว้  และคนเหล่านี้เองที่กลกายเป็นเรี่ยวแรงการทำงานของคริสตจักรต่อไป  เป็นผู้นำของคริสตจักร  และก็มีตระกูลใหญ่ทางภาคเหนือนี้  ที่เป็นคริสเตียนมาจากบรรพบุรุษที่เป็นผีกะ
พิธีกร : (พ่อครูอำนวย  ทะพิงแก)  นายอำเภอครับ  เราทราบว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเชียงใหม่นั้น  ดูจะสงบเรียบร้อยระยะหนึ่ง  โดยเฉพาะเจ้ากาวิโรรสฯไม่มีแล้ว  คนที่คิดจะเข่นฆ่าพวกคริสเตียนก็ตายแล้วที่บางกอก มันมีอะไรเกิดขึ้นอีกที่เกิดเป็นความวุ่นวายจนถึงกับต้องส่งเรื่องไปขอสิทธิการเป็นคริสเตียนจากพระเจ้าอยู่หัว ที่บางกอก
นายอำเภอ :  ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี  การประกาศศาสนาก็ทำได้  มีผู้เชื่อเกิดขึ้นที่โน้นที่นี่  จนถึงปี ค.ศ.1878  มีคู่บ่าวสาวคริสเตียนที่จะแต่งงานกัน  ซึ่งจะเป็นการแต่งงานครั้งแรกในเชียงใหม่  พ่อครูหลวงได้ส่งจดหมายเชิญไปถึง  เจ้านายหลายพระองค์ในเชียงใหม่ด้วย  มีท่านผู้หนึ่งคือเจ้าเทพวงศ์  เป็นอนุชาของอุปราชย์  มิใช่เท่านั้นยังเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรงของหนาน อินต๊ะ  เจ้าสาวเป็นลูกสาวคนโตของหนาน  อินต๊ะ  เจ้าเทพวงศ์นั้น  ใครๆ ก็รู้ว่าเป็นผู้ที่ต่อต้านพวกคริสเตียน  เมื่อรับเชิญจากพ่อครูหลวง  ก็โกรธสุดขีด  กลั่นแกล้งว่าให้ไปเสียผี 6  รูปี  ต่อเจ้าเทพวงศ์ก่อน  พ่อครูแมคกิลวารีเห็นว่าเงินไม่มากมาย  แต่ถ้ายอมก็คือเราต้องยอมทุกอย่าง  ไม่เพียงแต่ยอมรับอำนาจของผีเท่านั้น  แต่อนาคตความเชื่อของคริสตจักรด้วย  เมื่อถึงวันแต่งงาน  เช้าวันนั้นเจ้าเทพวงศ์มาประกาศก้องที่ลานบ้านซึ่งมีผู้คนพร้อมอยู่แล้วว่า  จะลงโทษมันให้สาสม  พิธีสมรสวันนั้นจึงวงแตก  ต่างก็จากกันไปคอยเฝ้าดูว่าใครจะเป็นผู้ชนะในการศึกครั้งนี้ 
                พ่อครูแมคกิลวารีวิ่งเต้นไปหาข้าหลวงที่สยามส่งมา  ท่านมีความเห็นให้ไปหาเจ้าหลวง  เจ้าหลวงก็ให้ไปหาอุปราชย์  แทนที่จะได้รับการพิจารณา  แต่อุปราชย์กลับประกาศว่า เรื่องนี้ไม่มีใครเข้ามายุ่งย่ามได้  นอกจากพระเจ้าอยู่หัวแห่งกรุงสยามเท่านั้น 
                ท่านข้าหลวงเองก็อึดอัดอยู่กับปัญหาของเจ้านายและบ้านเมืองอยู่แล้ว  เมื่อเห็นอุปราชย์ท้าทายเช่นนั้น  ก็ให้พ่อครูเขียนเรื่องราวทั้งหมดส่งไปบางกอก 
                พ่อครูหยุดงานทั้งหมด อธิษฐานอยู่หลายตั้ง  เขียนอุทรไปบางกอก  ได้ทบทวนข้อสัญญาต่าง ๆ ที่ได้เคยอนุญาตให้สอนศาสนาคริสเตียนได้  แต่ได้เกิดปัญหาขึ้น  ในครั้งนี้ก็คือเรื่องการแต่งงาน  แต่พ่อครูก็ได้เองเรื่องที่กำลังจะเป็นปัญหาขอการคุ้มครองจากบางกอกด้วย  คือการขออนุญาตให้คริสเตียนไม่ต้องทำงานให้หลวงในวันสบาโต  พ่อครูรู้ว่าเสร็จจากเรื่องแต่งงานแล้วก็จะเป็นเรื่องสบาโตแน่นอน 
                มิชชันนารีในเชียงใหม่เวลานั้นมีสองคน  คือพ่อครูหลวง  และอีกคนหนึ่งคือหมอชิก  หมอชิคไม่เห็นด้วยกับการอุทร  เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดการเผชิญหน้าระหว่างสยามกับลาว  แต่พ่อครูก็ไม่ฟัง  ตั้งใจเขียนจนเสร็จแล้วเอาไปอ่านให้หมอชิคฟัง  หมอชิคฟังด้วยความตั้งใจบอกว่าก็ดีแล้ว  หลังจากนั้นทั้งสองท่านก็เซ็นชื่อร่วมกัน  นำไปเสนอต่อท่านข้าหลวง  ท่านก็พอใจ  คำอุทรนี้ส่งผ่านไปทางกงสุลอเมริกัน  โดยที่ไม่มีใครแน่ใจว่าอะไรจะเกิดขึ้น  เพราะพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระเยาว์อยู่  การตัดสินใจทั้งสิ้นจึงขึ้นอยู่กับผู้สำเร็จราชการ   ท่านกงสุลได้นำไปปรึกษากับเสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ  ซึ่งท่านผู้นี้เป็นมิตรเก่า  เป็นผู้ที่ได้ชวนพ่อครูแมคกิลวารีไปทำงานที่เพชรบุรี  จึงแนะให้กงสุลนำเรื่องทูลต่อพระเจ้าอยู่หัวโดยตรง  เมื่อเข้าเฝ้านั้นพระองค์ทรงทราบก่อนแล้วจากรายงานของข้าหลวงจากเชียงใหม่  พระองค์มีทรงพระวิตกกับเรื่องนี้กับมณฑลพายัพ   จึงตรัสกับกงสุลว่าจะทรงสนับสนุน  และจะมีประกาศพระราชองค์การในการถือศาสนาต่อไป 
                ผู้ถือสารเมื่อทราบเรื่องก็กลับเชียงใหม่อย่างรวดเร็วยิ่งกว่าครั้งใดๆ ซึ่งเป็นวันที่ 29  กันยายน   1878  วันรุ่งขึ้นพ่อครูก็ไปหาท่านข้าหลวง  ท่านแสดงความดีอกดีใจจนออกนอกหน้า  บอกว่าพระบรมราชองค์การมาถึงแล้ว  ให้สิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนาไม่ใช่เฉพาะเชียงใหม่เท่านั้น  แต่ไปถึงมณฑลลาวทั้งหมดด้วย
                ท่านข้าหลวงให้เรียกประชุมเจ้าหลวงและเจ้านายทั้งหมด  แจ้งให้ทราบถึงบรมราชองค์การ  ที่ประชุมฮือฮากันดูจะไม่เข้าใจ  ท่านข้าหลวงจึงนัดประชุมอีกในวันต่อมาให้พ่อครูแมคกิลวารีไปอธิบาย  ท่านพูดอย่างนุ่มนวลด้วยความเห็นอกเห็นใจว่า  เรื่องการไหว้ผีเป็นการผิดต่อคำสอนของศาสนา  ส่วนการที่เจ้าบ่าวสาวให้สัญญากันนั้น  ก็ทำต่อพระเจ้าที่เขาจะต้องรับผิดชอบ  และจะได้รับโทษด้วยถ้าไม่ปฏิบัติตาม  รวมทั้งคริสตจักรก็จะลงโทษเขาด้วย 
                ท่านข้าหลวงพูดขึ้นว่า  ท่านได้แจ้งเรื่องนี้ให้แก่ทุกคนในที่นี้แล้ว  แต่วันนี้ต้องการให้ทุกคนได้ฟังจากพ่อครูเอง  หลังจากนี้ก็จะมีพระราชกฤษฎีกาออกมา  ที่ประชุมเงียบสนิท  แล้วเจ้านายทุกพระองค์ก็ค่อย ๆ ทยอยออกท้องพระโรงไป
                ระหว่างทางกลับบ้าน  พ่อครูเห็นท่านอุปราชย์ไปแวะที่ศาลาทำงานของท่านก็แวะไปเยี่ยม  ท่านอุปราชย์แสดงความเป็นมิตรอย่างดียิ่ง  สั่งให้เอาพรหมฝรั่งมาปูเพื่อนั่งสนทนากัน  มีการปรับความเข้าใจกันเล็กน้อย  เมืออุปราชย์ต่อว่า  เพราะเหตุไรต้องส่งเรื่องไปบางกอก  พ่อครูอธิบายจนเป็นที่พอใจ  แล้วท่านอุปราชย์ก็เอาเอกสารซึ่งเป็นคำสั่งในการถือศาสนาให้แก่ชาวลาวมาอ่าน  พ่อครูแมคกิลวารีขอให้แก้ว่าศาสนานั้นคือพวกคริสเตียนเท่านั้น  อุปราชย์ได้ทำสำเนาให้กับพ่อครูสองฉบับ  หนึ่งฉบับเก็บไว้ในตู้เซฟ  อีกหนึ่งฉบับเอาไว้อ่านให้ใครต่อใครฟัง 

ต่อไปนี้เป็นพระบรมราชองค์การ

ข้าพเจ้า  พระยาเทพวรชุน  ผู้แทนในองค์พระมหากษัตราธิราช ผู้ทรงพระอำนาจสูงสุดแห่งสยาม เชียงใหม่  ลำพูนนและลคร  ขอประกาศ ณ ที่นี้แก่บรรดาเชื้อพระวงศ์  เจ้าผู้ครองนครและเจ้าหน้าที่ระดับต่าง ๆ และแก่สามัญชนในนครแห่งนี้และในมณฑลนี้ว่า  พระมหากษัตราธิราชแห่งราชอาณาจักรสยามพระราชทานพระราชสาสน์  ซึ่งประทับตราประจำพระองค์ให้แก่ข้าพเจ้า ซึ่งมีผลให้แก่ ดี.บี.ซิคเคลส์  กงสุลแห่งสหรัฐฯ  ผู้ซีงได้ติดต่อกับเสนาบดีต่างประเทศแห่งสยามว่ามีคำร้องอุทธรณ์ลงชื่อของ  ศาสนาจารย์ดี.แมคกิลวารี  และนายแพทย์เอ็ม. เอ.ซีค  เกี่ยวกับบุคคลบางกลุ่มที่ทำการรบกวนคนคริสเตียน  และบังคับกะเกณฑ์ให้พวกเขาปฏิบัติตามประเพณีของศาสนาเดิมของตน  เสนาบดีต่างประเทศได้กราบบังคมทูลเรื่องดังกล่าวแก่สมเด็จพระมหากษัตราธิราชแห่งสยาม ซึ่งทรงตรับฟังด้วยความสนพระทัยยิ่ง  และพระราชทานพระราชดำรัสต่อไปนี้
                หน้าที่ทางศาสนาและทางแพ่งไม่ควรก้าวก่ายกัน  ดังนั้น  ผู้ใดก็ตามประสงค์ที่จะนับถือศาสนาใด ๆ เพราะเห็นว่าเป็นศาสนาที่แท้จริงและถูกต้องควรแก่การนับถือ  ก็อาจกระทำได้โดยไม่มีข้อบังคับใด ๆ ความรับผิดชอบต่อการเลือกทางที่ถูกหรือผิดจะตกอยู่กับบุคคลผู้นั้นแต่เพีบงผู้เดียว  ไม่มีกฎหมายหรือขนบธรรมเนียมประเพณีใด ๆ ของสยาม  หรือในสนธิสัญญาของต่างชาติที่มีข้อห้ามบังคับเกี่ยวกับการนับถือศาสนา  หรือเกี่ยวกับการปฏิบัติรับใช้ผู้ใด
                เพื่อให้ข้อความชัดเจนยิ่งขึ้น หากมีผู้ใดหรือกลุ่มบุคคลใดประสงค์ที่จะนับถือศาสนาคริสเตียน  พวกเขามีอิสระที่จะเลือกนับถือตามความประสงค์
                คำประกาศนี้มีขึ้นเพื่อยืนยันว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ทุกคนมีสิทธิปฏิบัติตามมโนธรรมของตนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อและการนับถือศาสนา
                ยิ่งไปกว่านั้น  คำประกาศนี้ยังถือเป็นคำสั่งอย่างเด็ดขาดที่ให้แก่บรรดาเจ้านาย  และองค์เจ้าหลวง เกี่ยวกับการที่เชื้อพระวงศ์หรือบรรดามิตรสหายของคนที่ประสงค์เปลี่ยนศาสนาเป็นคริสเตียน ว่าพวกเขาจะไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุคคลเหล่านั้น และจะต้องไม่มีผู้ใดบีบบังคับความเชื่อหรืองานใด ๆ ซึ่งเป็นข้อห้ามของศาสนาของพวกเขา  เป็นต้นว่า  การบูชากราบไหว้และการเฉลิมฉลองผีต่าง ๆ หรือการทำงานในวันอาทิตย์ยกเว้นแต่ในสภาวะของสงคราม  หรือในงานสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ซึ่งจะต้องไม่มาจากการเสแสร้ง  แต่ต้องเป็นงานที่สำคัญอย่างแท้จริงและต้องยอมรับว่าพวกเขามีอิสระ  และประกอบพิธีวันอาทิตย์โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ ขัดขวาง  อันรวมไปถึงการที่คนอเมริกันว่าจ้างบุคคลเหล่านี้ได้ตามความต้องการ  เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดต่อสนธิสัญญาระหว่างสองประเทศ
                เมื่อใดก็ตามที่ประกาศฉบับนี้เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปในหมู่เจ้านาย องค์เจ้าหลวง  เจ้าหน้าที่  และทวยราษฎร์ทั้งมวลแล้ว  พวกเขาต้องไม่ละเมิดต่อข้อความที่มีอยู่ในประกาศฉบับนี้
                ประกาศเมื่อวันที่  13  เดือน  11  ขึ้น  15  ค่ำ  ปีที่  11  ของการขึ้นครองราชสมบัติ  วันที่  8  ตุลาคม  ค.ศ.1878

พิธีกร (พ่อครูอำนวย ทะพิงแก ลุกขึ้นยืนพูด)  ประกาศพระบรมราชองค์การเสรีภาพในการถือศาสนาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระมหากษัตริย์แห่งกรุงสยาม  นับเป็นการประกาศให้เสรีภาพในการถือศาสนาโดยองค์พระมหากษัตริย์แห่งแรกในโลก
(เสียง)

ข้อแนะนำ

ต่อไปนี้ setting  เป็นบ้านแบบชาวพื้นเมือง  เป็นการสนทนาของคณะสครีสามคน  จึงควรนั่งกับพื้น  เมื่อเริ่มต้นมีเจ้าของบ้านยืนอยู่จัดเตรียมบ้านสำหรับการรับแขกที่กำลังจะมา   มีเสื่อปูพื้น และมีน้ำต้นวางอยู่ข้าง 
เจ้าของบ้าน (อาจารย์สมศรี ) หันไปข้าง ๆ พูดเป็นภาษาเมืองว่า เชิญบนเติ๋น 
แขกคนแรก :  (แม่เลี้ยงศรีทอง)  ก้าวขึ้นบนบ้านทักทายกันเล็กน้อย
แขกคนที่ 3 : (อาจารย์สิวิไลซ์) แสดงโดยคุณพิไลวรรณ  มณีสร)  เดินขึ้นไปบนบ้านทักทายกันพอสมควร
แม่ครูสมศรี : (เจ้าของบ้าน เชิญให้ทุกคนนั่งลงบนพื้น  แล้วเริ่มต้นพูดกันเป็นแบบกันเองว่า โบสถ์หนึ่งเขากำลังจะมีการฉลอง 135 ปีกัน  ปีนี้จะมีการแสดงทบทวนประวัติศาสตร์ความเป็นมาของคริสตจักรที่มาถึงภาคเหนือด้วยเรื่องมรดกตกถึงเรา
แม่เลี้ยงศรีทอง : พ่อครูแมคกิลวารีและพ่อครูวิลสันมาสำรวจก่อน  แล้วครอบครัวของพ่อครูแมคกิลวารีจึงเดินทางมาเริ่มงาน  ความจริงท่านมาถึงเชียงใหม่แล้ว  แต่จอดเรืออยู่ที่ต้นไทรใหญ่  ตรงข้ามเกาะกลาง  ในวันเสาร์ที่ 1 เมษายน ค.ศ. 1867  วันรุ่งขึ้นเป็นวันอาทิตย์อิสเตอร์  พอถึงวันจันทร์ที่ 3 ค.ศ.1867  ท่านจึงเข้าเชียงใหม่  บางคนเอาปีนี้เป็นปีเริ่มต้นของคริสตจักรในล้านนา
อาจารย์เสงี่ยม : บางคน  เช่นพวกเราที่คริสตจักรเชียงใหม่  ถือเอาวันที่ 19  เมษายน  ค.ศ.  1868  เป็นวันเกิดของคริสตจักรของเรา  โดยเอาเหตุการณ์ที่หมอเหามาถึงเชียงใหม่  เวลานั้นมีพ่อครูแมคกิลวารีและพ่อครูวิลสันทำงานอยู่แล้ว  ก่อนที่หมอเหาจะกลับบางกอก  ก็ได้มีการสถาปณาคริสตจักรเพรสใบเตอเรียนขึ้นซึ่งเป็นคริสตจักรแห่งแรกในภาคเหนือ  และถือว่าต่อมาก็คือ คริสตจักรที่ 1 เชียงใหม่ด้วย
แม่ครูสมศรี : นักวิชาการบางคนถือเอาวันที่หนาน อินต๊ะหลังจากประสบการณ์แม่นแต้  ได้รับศีลบัพติศมาในวันอาทิตย์แรก ของเดือน มกราคม  ค.ศ.  1869  คือวันที่  3  ค.ศ. 1869  เป็นกำเนิดของคริสตจักรในภาคเหนือ (แสดงท่าอาการอ่อนใจ)  แต่ไม่เป็นไร  สำหรับเราที่นี่  เอาวันที 19  เมษายน  1867  ก็แล้วกัน  เรามาพูดกันเรื่องอื่นดีกว่า  อาจารย์สิวิไล  เล่าให้ฟังได้ไหมว่า  หลังจากพระบรมราชองค์การแล้ว  พ่อครูแมคกิลวารีไปที่ไหนกันบ้าง
อาจารย์เสงี่ยม :  พ่อครูก็ถือว่าท่านมีเสรีภาพเต็มที่แล้ว  จึงออกเดินทางไปทุกทิศทุกทาง  เป็นการสำรวจ  และบางแห่งท่านก็ไดเริ่มชุมชนคริสเตียน ซึ่งต่อมาเป็นคริสตจักรที่แข็งแรงหลายแห่ง  เอาอย่างนี้ดีกว่า  พ่อครูไปหมดทุกแห่ง  ตั้งแต่อุตรดิตส์  แพร่  น่าน  ยันหลวงพระบาง  ขึ้นไปถึงเชียงรุ้งเชียงตุงและอีกมากมาย  จนเกือบพูดได้ว่า  ท่านไปหมดทุกแห่ง  ที่ไม่ได้ไปก็แม่ฮ่องสอน  แต่ข้าหลวงแม่ฮ่องสอนก็ได้ให้ม้าตัวงามตัวหนึ่งแก่พ่อครูด้วย
แม่เลี้ยงศรีทอง :  โรงเรียนดาราเมื่อเริ่มต้นนั้นเรียกว่าโรงเรียนพระราชชญา   ตั้งอยู่ตรงนี้เอง (ชี้ไปที่บ้านพักของโบสถ์)  แล้วต่อมาเมื่อเปลี่ยนชื่อเป็นดารา  ก็ได้ตั้งขึ้นใหม่อีกในที่อันก้วางขวางปัจจุบัน  จริงๆ แล้วการศึกษาของหญิงในเชียงใหม่  จะต้องเริ่มต้นขึ้น  เมื่อแม่ครูแมคกิลวารีเปิดสอนเด็กผู้หญิงขึ้น  ที่บ้านของท่านในปี  1875
แม่ครูสมศรี : แล้วปริ้นส์รอยเริ่มต้นขึ้นเมื่อไรค่ะ  อาจารย์สิวิไล 
อาจารย์เสงี่ยม : ชื่อปริ้นรอยแยลวิทยาลัย  เป็นนามพระราชทานจากรัฐกาลที่ 6 ในวันที่ 2  มกราคม  ค.ศ.  1906
แม่ครูสมศรี : ถ้าเช่นนั้นการศึกษาของเด็กผู้ชายในเชียงใหม่  ก็ช้ากว่าการศึกษาของหญิงไป  31 ปีใช่ไหม  นานเหลือเกินนะ
แม่เลี้ยงศรีทอง : ที่จริงแล้วโรงเรียนปริ้นส์นั้นเขามีชื่อเดิมว่าโรงเรียนวังสิงห์คำ  ก็เหมือนกับโรงเรียนดาราที่มีชื่อเดิมว่า  โรงเรียนพระรัชญา เราถือเอาวันนั้นเป็นวันเกิดของโรงเรียนดาราด้วย  โรงเรียนวังสิงห์คำ  ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตก  ใกล้เทศบาลทุกวันนี้  เปิดสอนเมื่อ  19  มีนาคม  ค.ศ. 1887  โดยสามีภรรยาชื่อ ดี.จี.คอลินส์   ต่อมาสามีภรรยาคู่นี้ย้ายไปเป็นผู้จัดการโรงพิมพ์เจริญเมือง  ซึ่งพิมพ์หนังสือเป็นตัวเมือง  พ่อครูแฮริสรับผิดชอบโรงเรียนต่อไป  แล้วย้ายมาฝั่งตะวันออกด้วย 
อาจารย์เสงี่ยม : พ่อครูแฮริสได้สร้างโรงเรียนใหม่ขึ้น เป็นโรงเรียนที่มีบริเวณที่สวยงามที่สุด  ตึกเรียนและอาคารเกือบทุกหลังเป็นเงินที่ท่านหามาเองจากเพื่อนฝูงและคริสตจักรต่าง ๆ ในสหรัฐฯ  ท่านบอกว่าท่านเป็นขอทาน  ดร.แฮริส เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยปริ้นส์ตั้น 
แม่เลี้ยงศรีทอง :  ความสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับภาคเหนือ  ก็คือโรงพิมพ์ที่ใช้ตัวเมือง พ่อครูแมคกิลวารีเป็นคนแรกที่ท่านได้พยายามทำตัวพิมพ์ภาษาเมืองขึ้น  เมื่อท่านกลับไปเยี่ยมบ้านที่สหรัฐฯ ในปี 1873 แต่ไม่สำเร็จ  ต่อมาพ่อครูวิลสันก็ได้ทำจนสำเร็จ   แต่ก็มีอันเป็นไปอีก  คือตัวพิมพ์ทั้งหมดนั้นหายที่นิวยอร์ค  จึงหล่อตัวพิมพ์ภาษาคำเมืองขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง    แล้วหมอพีเพิ้ลเป็นผู้เอามา  โรงพิมพ์คำเมืองจึงเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1891  กิจการเจริญมากบางครั้งมีคนงานถึง 36 คน  พิมพ์เอกสารปีละ  7  ล้านแผ่น  โรงพิมพ์นี้ตั้งอยู่ใกล้ๆ นี้เองต่อมามิชชั่นได้ขายให้หมอเมืองใจ  เปลี่ยนชื่อว่าโรงพิมพ์เจริญเมือง
แม่ครูสมศรี : สิ่งสำคัญประการหนึ่งที่พ่อครูแมคกิลวารีได้ทำก็คือ  เมื่อท่านกลับเยี่ยมบ้านที่สหรัฐฯ  ได้ไปท้าทายให้คนหนุ่มถวายตัวมาทำงานที่ภาพเหนือ  9 คน  และภาคใต้  3  คน  ในจำนวนนี้เป็นหมอมิชชันนารีที่มีชื่อเสียงหลายท่าน   ดร.แมคเคน  เป็นหมอที่ได้สร้างคุณความดีไว้มากมาย  ท่านเปิดห้องแลบ  ผลิตหนองฝี  แล้ใช้คนกว่า  200  คน  ออกไปปลูกฝี   ท่านนำเครื่องอัดยาเม็ดมาเชียงใหม่  ทำยาควินนิน  ซึ่งเป็นยาขนานเดียวที่รักษามาลาเรียได้  ท่านสร้างโรงพยาบาล  ซึ่งก็คือแมคคอร์มิค  หลังเดิมนั้นอยู่ทางฝั่งตะวันออก  ใกล้กับกงสุลอเมริกันทุกวันนี้  แล้วท่านก็ได้สร้างโรงพยาบาลโรคเรื้อนขึ้นที่เกาะกลาง  รัชกาลที่  7  ได้พระราชทานเงินให้สร้างถนนจากหนองหอยไปเกาะกลางที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้  ความจริง  ถนนนี้น่าจะให้ชื่อว่า  ถนนประชาธิปก
อาจารย์เสงี่ยม : พ่อเลี้ยงคอร์ดได้ย้ายแมคคอร์มิคมาที่หนองเซ่ง  สมเด็จพระราชบิดาทรงเป็นผู้เปิดป้ายในปี ค.ศ. 1925  แล้วสมเด็จพระราชบิดาจึงได้ทรงถามหมอคอร์ดว่า  ทำไมโรงพยาบาลมีหมอคนเดียว  พ่อเลี้ยงตอบว่าเราไม่มีเงิน  สมเด็จพระราชบิดาจึงติดต่อกับมูลนิธิร๊อคกี้เฟลเลอร์  ให้ส่งหมอมาช่วย  ชื่อว่า  หมอเฮลลี่  อาร์.โอไบรย์  ทำงานอยู่ด้วยถึง  10 ปี  พระองค์ท่านก็เคยมาเป็นแพทย์ที่แมคคอร์มิคด้วย  ท่านได้เปิดโรงเรียนแพทย์ขึ้น  ที่ตึกฟิสิกส์ ที่โรงเรียนปริ้นส์รอย ได้ผลิตหมอขึ้น 5 คน  ท่านได้เปิดโรงเรียนพยาบาลขึ้นนับเป็นแห่งที่สามของประเทศสยาม  และแห่งแรกในต่างจังหวัด 
แม่เลี้ยงศรีทอง : ปรัชญาของโรงเรียนพยาบาลแห่งนี้  ที่นำไปสู่ความสำเร็จ  ที่พ่อเลี้ยงได้ให้ไว้คือ  “Second  mile”  พ่อเลี้ยงบุญชม  อารีวงศ์  เคยเล่าเสมอว่า  เพื่อนของพ่อเลี้ยงคอร์ด  ซึ่งจบจากจอห์น  ฮ๊อปกิ้นด้วยกัน  มักจะถามท่านว่า  เรียนสูงขนาดนี้  ทำไมไปใช้ชีวิตอยู่ในป่า  พ่อเลี้ยงจะตอบว่า ฉันจะให้สิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันมีแก่งานของพระเจ้าที่นั่น
แม่ครูสมศรี :  เราต้องไม่ลืมโรงเรียนพระคริสตธรรมที่เริ่มต้นสอน 
ฝึกฝนผู้รับใช้ขึ้นสำหรับภาคเหนือ  ตั้งแต่ปีค.ศ. 1889  พระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้เจริญขึ้นอย่างรวดเร็วในภาคเหนือ   เราเชื่อว่า  เม็ดโลหิตของน้อยสุริยะ และหนานชัย  ก็คือพวกเราทุกวันนี้
(เสียง)


ข้อแนะนำ
Setting :  ห้องประชุมเล็ก ๆ
ต่อไปนี้เป็นเรื่องราวของปัจจุบัน  ซึ่งจะมีวิทยากรเป็นผู้ตอบคำถาม  โดยมีอนุชน  นั่งล้อมถามท่านอยู่ 
วิทยากร  : คือ  อาจารย์พงษ์  ตนานนท์  นั่งอยู่ตรงกลาง 
พ่อครูพงษ์ : มรดกอันยิ่งใหญ่ที่ได้ก่อตั้งสร้างไว้โดยเลือดและเนื้อของบรรพบุรุษแห่งความเชื่อจำนวนมากมาย  ได้ตกมาถึงพวกเราทุกวันนี้  พวกเธอคืออนาคตที่จะต้องรับผิดชอบงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าต่อไป  อนุชนมีคำถามอะไรบ้าง 
อนุชนคนที่ 1: (ชาย)  อะไรเกิดขึ้นกับพวกเราในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองครับ
พ่อครูพงษ์ : เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองระเบิดขึ้น  พวกมิชชันนารีชาวอเมริกันที่ได้ทำงานสร้างความเจริญไว้มากมายก็กลายเป็นชนชาติศัตรู ได้หนีออกไปทางแม่สาย  เดินท้าวต่อไปถึงแรงกุน พม่า  แล้วจึงไปอินเดีย  ความเงียบเชียบได้เข้ามาสู่วงการคริสเตียนในเชียงใหม่  สถาบันหน่วยงานต่าง ๆ รัฐบาลถือว่าเป็นทรัพย์สินของชนชาติศัตรู  จึงได้ยึดไว้ทั้งหมด   โรงเรียนปิด  แมคคอร์มิคถูกเปลี่ยนชื่อเป็น  โรงพยาบาลเสรีเริงฤทธิ์
อนุชนคนที่  2 :  (หญิง)   แล้วพวกคริสเตียนและคริสตจักรเล่าค่ะ 
พ่อครูพงษ์ : ก็ปิดหมดนะซิ  โบสถ์ถูกยึดโดยญี่ปุ่น  มันเอาปืนกลขึ้นไปตั้งอยู่บนหอระฆัง  โบสถ์หลังเก่าโน้นนะ (ชี้ไปทางใต้)  ต่อจากญี่ปุ่นทหารไทยก็เข้าไปแทน  คราวนี้เอาม้านั่งออกหมด แล้วเอาม้าจริง ๆ มีสี่ขา  เข้ามาเลี้ยงในโบสถ์  ส่วนพวกคริสเตียนก็แตกกระจัดกระจาย  ไปแอบนมัสการกันอยู่ที่บ้านอาจารย์บุญมี  รุ่งเรืองวงศ์  คริสเตียนมากมายปฏิเสธพระเจ้า
อนุชนคนที่  3 : (ชาย)  แล้วโบสถ์ต่อมาอยู่ได้อย่างไรครับ
พ่อครูพงษ์:  คริสเตียนมีความรู้มากมายทิ้งพระทิ้งเจ้า  มีอยู่คนหนึ่ง ชื่อ บุญยืน  นะตะเนติ์  รับราชการอยู่ที่สหกรณ์  ทางการสั่งให้เปลี่ยนศาสนา  แต่ท่านยืนหยัดไม่ยอม  จึงถูกออกจากราชการ  หมอเมืองใจได้พาท่านไปช่วยงาน  โดยให้ไปเลี้ยงเป็ด  เมื่อสงครามเลิกแล้ว    อาจารย์บุญมี ได้เข้ามารับผิดชอบคริสตจักรที่ 1 เชียงใหม่  โดยมี อาจารย์บุญยืนเป็นผู้ช่วย   ต่อมาอาจารย์บุญมีลาออก  อาจารย์บุญยืน จึงได้อยู่แต่ผู้เดียว  เมื่อโรงเรียนพระคริสตธรรมเปิดสอนท่านจึงไปสมัครเรียนที่นั่น  ได้เป็นศิษยาภิบาลอยู่ที่นี่จนกระเษียร
อนุชนคนที่ 4 : (หญิง) อาจารย์ช่วยเล่าให้ฟังด้วยว่า ทำไมโบสถ์จึงย้ายมาอยู่ที่นี่ 
พ่อครูพงษ์  : โบสถ์นั้นนับว่าใหญ่มาก  แต่คนก็ไม่มาก  สมัยนั้นจึงต้องให้นักเรียนปริ้นส์ และนักเรียนดารา  เดินแถวมานมัสการด้วยทุกเช้า   ต่อมาคนมานมัสการมากขึ้น  จึงให้นักเรียนหยุดไม่ต้องมา   เพื่อให้สถานที่มีพอสำหรับสมาชิกของคริสตจักร  อีกไม่นานโบสถ์ก็เต็มอีก  เราจึงนมัสการกันในวันอาทิตย์  มีสองผลัด
อนุชนคนที่  1:  (ชาย)  แต่อาจารย์ยังไม่ได้เล่าเลยว่าทำไมจึงต้องย้าย
พ่อครูพงษ์ : โบสถ์หลังโน้น  เป็นอาคารหลังแรก  ที่สร้างด้วยไม้สัก  ซึ่งเลื่อยด้วยเครื่องจักร  เป็นอาคารหนึ่งในสองแห่งที่สูงที่สุดในเชียงใหม่  ก็เริ่มทรุดโทรม  คิดกันว่าจะสร้างหลังใหม่ มีหน้าตารูปร่างเหมือนโบสถ์ปริ๊นส์เลยทีเดียว
อนุชนคนที่  2 : แต่ก็ยังไม่เห็นย้ายนี่ค่ะ
พ่อครูพงษ์ :  แหม!   วัยรุ่นใจร้อน  คราวนี้จะย้ายละ  คณะธรรมกิจได้ตกลงกันกับคณะเพรสใบเตอเรียนมิชชั่น  ขอใช้ที่แปลงนี้เป็นที่สร้างโบสถ์ใหม่  ที่ผืนนี้เจ้าหลวงกาวิโรรสให้พ่อครูแมคกิลวารีสร้างเป็นที่อยู่อาศัย  ซึ่งมีบ้านสองหลัง  และโรงเรียนดาราน้อย  (ชีไปทางใต้)  มิชชั่นเห็นว่าคริสตจักรกำลังเจริญ  จึงอนุญาต  แต่ต้องการให้เป็น คริสตสถาน  คือที่รวมของหน่วยงานต่าง ๆ ให้มาอยู่ด้วยกันที่นี่ 
อนุชนคนที่ 3 : แล้วอนุชนละครับ
พ่อครูพงษ์   หลังสงครามโลกไม่นาน  ก็เกิดงานอนุชนขึ้นในสภาคริสตจักร  สำหรับเชียงใหม่เรา  ครูสันต์  ขันแก้ว  ท่านเป็นกะเหรี่ยงที่ประสบความสำเร็จมาก  แต่รักพระเจ้าสูงสุด  ท่านได้จัดตั้งคณะธรรมประทีปขึ้นในหมู่บ้านของท่าน ก็คือหนองประทีปทุกวันนี้  อีกไม่นานทางหนองเซ่ง ก็เริ่มต้นด้วยเหมือนกัน  คุณศรีบุตร  สุวรรณกุล  ถือสมุดเล่มหนึ่งเดินไปตามบ้านเสนอจัดตั้งคณะอนุชนหนองเซ่งขึ้น  ให้ผู้สมัครใจเซ็นชื่อ  แล้วนัดพบกันเป็นครั้งแรกที่บ้านหมอแสนเมือง  อนุชนหนองเซ่งได้มีชื่อใหม่ว่า คณะคริสตบริการ  คณะอนุชนทั้งสองนี้  คือแหล่งผลิตผู้นำของคริสตจักร  สถาบันทุกแห่งในเชียงใหม่  ส่วนใหญ่แล้ว  ผู้บริหารเกือบทั้งหมดเป็นสมาชิกของอนุชนสองคณะนี้ 
อนุชนคนที่ 4 : แล้วมหาวิทยาลัยพายัพเล่าค่ะ
พ่อครูพงษ์ : หลังสงครามโลก  มิชชันนารีกลับมาตามคำเชิญของสภาคริสตจักร  เมื่อมิชชันนารีมาแล้วก็มีสองเงื่อนไขที่ต้องการให้สภาคริสตจักรดำเนินการ   คือจัดตั้งมหาวิทยาลัยคริสเตียนขึ้นและหาที่สำหรับสร้างโรงพยาบาลคริสเตียนขึ้นในกรุงเทพฯ  ซึ่งก็คือโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียนทุกวันนี้  ส่วนมหาวิทยาลัยนั้น  รัฐบาลไม่อนุญาต  เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในสงครามเย็น  เกรงว่าลัทธิคอมมิวนิสต์จะมาสร้างด้วย  เรื่องมหาวิทยาลัยจึงเกือบจะลืมกันไปแล้ว  โรงเรียนพระคริสตธรรมแมคกิลวารี  และโรงเรียนพยาบาลแมคคอมิค  ซึ่งต่างก็มีปัญหา  เพราะถึงแม้จะสอนหลักสูตรของมหาวิทยาลัยแล้ว  แต่ก็ไม่เป็นที่ยอมรับ  จึงได้รวมตัวกันเสนอสภาคริสตจักรให้เปิดมหาวิทยาลัยขึ้น  เพื่องานของสถาบันทั้งสองจะได้มั่นคงและเป็นที่ยอมรับ  นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของวิทยาลัยพายัพ  ซึ่งรัฐบาลรับรองเป็นอุดมศึกษาเอกชนแห่งแรกของประเทศไทย  แล้วก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว  เป็นมหาวิทยาลัยพายัพอันทรงเกียรติ์ทุกวันนี้
อนุชนทั้ง 4 : กล่าวพร้อมกันว่า  ขอบพระคุณอาจารย์พงษ์มากที่ให้ความรู้แก่พวกเรา 
พ่อครูพงษ์ : ทั้งหมดนี้เป็นประวัติศาสตร์  เป็นเรื่องอดีตที่เราได้เห็นการเสียสละ  น้ำตาและเลือดของบรรพบุรุษของเรา เราเป็นผู้รับมรดกในมรดกที่ตกถึงเรา   แต่บัดนี้   อนาคตนั้นอยู่ที่พวกเรา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งอนุชนทุกคน
หลังจากนั้นให้อนุชนทั้ง 4 ยืนเป็นแถวบนเวที  แล้วประกาศให้ที่ประชุมยืนขึ้นร้องเพลงสั้น (เลือกไว้ก่อนแล้ว)  พร้อมกัน  ด้วยทำนองเร่งเร้า  ให้จบลงด้วยบทนมัสการ 1 บท 
ท้ายที่สุดเป็นการอธิษฐานปิดด้วย ศจ.ภักดี   วัฒนจันทรกุล












เรียน  Producer
  1. มรดกตกถึงเราเรื่องนี้  ไม่ใช่ Drama  แต่เป็น  Pageant คือเป็นการแสดงเพื่อทบทวนประวัติศาสตร์ (ซึ่งมักจะทำกัน ณ อาณาบริเวณที่เกิดประวัติศาสตร์นั่นเอง  และเราก็ทำเช่นนั้นอยู่)  ดังนั้นจึงต้องพยายามให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นตัวแสดงด้วย  ซึ่งอาจทำได้หลายวิธีตามแต่สถานการณ์ที่จะอำนวย  เช่น ให้มีการแห่แหน โดยให้ตัวแสดงเดินนำหน้าขบวน  มีผู้ชมเดินตาม  หรืออย่างน้อยที่สุดที่น่าจะทำได้ก็คือ  ให้บรรดาตัวแสดงทั้งหมดเดินขบวนเข้ามาตามลำดับที่เขาแสดง  ให้ตัวแสดงทุกคนแต่งตัวตามบทบาท (แล้วแนะนำตัวเองว่าเป็นใคร เมื่อผ่านที่ประชุม  โดยไม่ต้องขึ้นบนเวที)  วิธีนี้อาจนำความสนุกสนานมาสู่ผู้ชมได้  ที่ได้เห็นตัวละครที่พวกเขารู้จักดีอยู่แล้ว  แต่งตัวเป็นคนโบราณ  (นอกจากนั้น ถ้าผู้ชมรู้ว่าตัวละครเป็นใครบ้าง)  ผู้ชมก็จะรู้เรื่องของการแสดงเป็นการล่วงหน้าแล้ว  ซึ่งก็เป็นการทบทวนประวัติศาสตร์ด้วย  และจะทำให้ผู้ชมสามารถติดตามการแสดงได้ตั้งแต่ต้นจนจบ  อีกทั้งสามารถจำเรื่องได้
  2. เกี่ยวกับภาษา  ในตอนที่เป็นเรื่องของภาคเหนือทั้งหมด  ขอให้เป็นภาษาเมือง  ซึ่งผมทำไม่ได้ดีจึงไม่ได้เขียนบทเป็นภาษาพื้นเมือง  แต่ขอให้ทางเชียงใหม่ช่วยเรื่องนี้ด้วย
  3. เกี่ยวกับราชาศัพท์  ผมไม่ค่อยแน่ใจว่าเจ้าผู้ครองนครอย่างเจ้าหลวงเชียงใหม่นั้นจะใช้ราชาศัพท์เช่นไร  ดังนั้นขอให้ช่วยแก้ไขให้ด้วย
  4. องค์ที่ 1 เริ่มต้นด้วยคำบรรยายถึง 4 ครั้ง  เราใช้วิธีนี้ก็เพราะเราสามารถสรุปเหตุการณ์หลายร้อยปีให้เหลือได้เพียงไม่กี่นาที  แต่ผมเกรงว่า  มันอาจจะยาวและนานพอที่จะให้ผู้ชมรู้สึกเบื่อ หรือหมดสมาธิได้  ถ้าเช่นนั้นก็เป็นการเสียหายมาก ๆ  ดังนั้นจึงอยากจะขอให้ Producer  หาวิธีที่จะทำให้ผู้ชมได้เห็นด้วยตาเมื่อฟังคำบรรยายด้วย  เช่นใช้แสงที่เป็นสีต่าง ๆ เปลี่ยนไปทีละสีตามเหตุการณ์  หรือจะใช้ดวงสว่าง  (เช่นไฟฟ้า)  เป็นสัญลักษณ์ก็ได้  เช่นหนึ่งดวงที่สว่างมากหมายถึงกิตติคุณที่เริ่มต้นในโลก  ต่อมามีแสดงสว่างที่ลิบหรี่  (เหมือนกับไกล)  สำหรับคริสตจักรคาทอลิค แล้วต่อมา  มีไฟ  2  ดวง  หมายถึงมิชชันนารีโปรเตสแตนท์ 2 คนแรกมาถึง  และสีแดง (หลาย ๆ ดวง)  หมายถึงความยากลำบาก  และสีน้ำเงินหมายถึง รัชกาลที่ 4  ซึ่งเป็นการเริ่มต้นใหม่ 






2508/1011 ªÑé¹ 8 µÖ¡ 4 (á¿Åµ 8 ªÑ鹴Թᴧ) ¶¹¹´Ô¹á´§ ࢵ´Ô¹á´§ ¡·Á. 10320
                  â·Ã. 0-2642-8142 กด 0  â·ÃÊÒÃ 0-2247-7829
                email: prarkkapin@yahoo.com

                      15  มกราคม  2003
เรียนอาจารย์ ศิรี

                ได้ส่งบทละครเรื่อง มรดกตกถึงเรา มาให้แล้ว  และก็ได้ส่งดิสก์เก็ดมาให้ด้วยเพื่อสะดวกสำหรับทางนี้ที่จะแก้ไขได้ตามที่ต้องการ
                ขอบคุณมากที่ได้ให้ผมมีโอกาสเขียนเรื่องประวัติศาสตร์เรื่องนี้  หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้าง  และหวังว่าคงจะแสดงกันได้อย่างสนุกสนาน
               
               ขอพระเจ้าอวยพรในทุกสิ่ง

                                                               นับถือ










No comments:

Post a Comment