Pages

Thursday, July 21, 2011

คุยกับโจ๋














                                                                 
        เอกสารของสำนักกลางนักเรียนคริสเตียน
                                                                                                                       หมายเลข  33
คุยกับโจ๋
ด้วยรักและห่วงใย

โดย  พิษณุ  อรรฆภิญญ์


     ผู้ถวายเพื่อพันธกิจการพิมพ์หนังสือเล่มนี้
พันธกิจอุดมศึกษาระดับภูมิภาค สภาคริสตจักรในประเทศไทย
และ
สหพันธ์คริสเตียนเพื่อนักศึกษาแห่งประเทศไทย (SCM)
และ บริษัท  เบล็สซิงการพิมพ์  จำกัด

                พระบัญชาของพระเยซูคริสต์ที่ว่า ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก  เป็นคำสั่งของพระองค์ที่มาถึงเราทุกคน ทุกรุ่น ทุกวัย เราจึงต้องสำนึกถึงคำสั่งนี้อยู่เสมอว่าเราจะดำเนินชีวิตคริสเตียนของเราอย่างไร ในสถานการณ์ต่างๆ หรือสถานการณ์ใดก็ตามที่เราจะเป็นความสว่าง ณ ที่นั้น
พระองค์ทรงต้องการให้เราเป็นตะเกียง หรือเทียนเล่มหนึ่ง ไม่ได้บัญชาว่าเราต้องเป็นแสงดาว แสงเดือน ดังนั้นแม้ผู้ที่อยู่ในวัยโจ๋ก็ย่อมจะมีสิทธิที่จะทำบทบาทของแสงสว่างในสังคมของโจ๋เองได้ด้วย แม้จะเป็นเพียงเทียนเล่มหนึ่งก็ตาม
                โลกของเราทุกวันนี้แม้จะสว่างไสวทุกแห่งหน หมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลก็มีไฟฟ้าที่จะดูโทรทัศน์ได้ แต่ในเวลาเดียวกันผู้ที่รู้จักสังคมโลกนี้ดีก็จะบอกเราว่า เวลานี้โลกของเรา สังคมของเรา อยู่ในความมืดทึบ ปัญหานานาประการรุมล้อมคนทุกรุ่นทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยโจ๋ซึ่งนับว่าเป็นคนรุ่นใหม่ในยุคมืดนี้      ดังนั้นโจ๋จึงเป็นผู้ที่น่าห่วงใย ด้วยความรักของเราที่มีต่อโจ๋ เราจึงรวบรวมหนังสือเล่มเล็กนี้ขึ้น เพื่อเป็นความคิดที่จะกระตุ้นความคิดของโจ๋ให้สามารถดำเนินชีวิตของตนได้อย่างเทียนเล่มหนึ่ง




ด้วยรักและห่วงใยโจ๋

                ถ้าท่านพิจารณาจากสารบัญของหนังสือเล่มเล็กนี้ ท่านก็จะเข้าใจได้ทันทีว่าเป็นเรื่องราวของสถานการณ์และเหตุการณ์ที่รุมล้อมเราอยู่ทุกวันนี้ หรือที่เรา   รู้จักกันว่าเป็นวิกฤตการณ์ทางศีลธรรมและจริยธรรม
                ด้วยความห่วงใยที่มีต่อคนรุ่นใหม่ที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่น และกำลังจะเป็นหนุ่มสาว อันเป็นกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากวิกฤตการณ์นี้ คณะและกลุ่มต่างๆ ที่ทำงานหรือมีพันธกิจอยู่กับเยาวชนจึงได้จัดให้มีการเสวนาขึ้นที่  สำนักกลางนักเรียนคริสเตียน เมื่อวันที่ 19 - 20 เมษายน 2002 เพื่อปรึกษาหารือกันว่า เราจะเป็นประโยชน์อย่างไรบ้างสำหรับคนหนุ่มสาวที่เราทำงานกับเขาอยู่  ที่ประชุมได้อภิปรายกันถึงปัญหาสังคมต่างๆ       และพยายามทำความเข้าใจกันว่า
เราจะทำงานให้มีประสิทธิภาพกับคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร เสวนานี้จึงเรียกว่า เหลียวหลัง มองหน้า งานกิจการนักศึกษาคริสเตียนในประเทศไทย มีผู้มาร่วมด้วยทั้งที่เป็นนักศึกษา ผู้นำเยาวชน และอาจารย์จากมหาวิทยาลัย 20 คน
                หน่วยงานที่สนับสนุนโดยตรงคือ สหพันธ์คริสเตียนเพื่อนักศึกษา(SCM) ซึ่งทำงานกับนักศึกษาและอาจารย์มหาวิทยาลัยเป็นเวลากึ่งศตวรรษมาแล้ว มี    ผลผลิตที่เป็นผู้นำอยู่ทุกแห่งหน และหน่วยงานกิจการนักศึกษาคริสเตียน ซึ่งเป็นหน่วยงานใหม่ล่าสุดที่สภาคริสตจักรฯได้ตั้งขึ้นโดยให้มีจุดประสงค์ สนับสนุน และส่งเสริมให้นักศึกษาคริสเตียนรู้จักบทบาทและหน้าที่ในการเป็นพยาน  ส่งเสริมให้มีการพัฒนานักศึกษาคริสเตียนเพื่อให้เป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อคริสตจักรและสังคม โดยให้คริสตจักรท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบพันธกิจนี้ในถิ่นที่ตนอยู่



คุยกับโจ๋
ด้วยรักและห่วงใย

สารบัญ

1.                   โลกของโจ๋
2.                   ทำไมต้องว่าให้โจ๋
3.                   โจ๋กับวัยใส
4.                   โจ๋ชอบซื้อ
5.                   โจ๋อยากรู้จักโลกาภิวัฒน์
6.                   โจ๋ไม่ชอบรุนแรง
7.                   โจ๋อยู่ในภาวะสงคราม
8.      โจ๋ถามว่า เปลี่ยนแปลงคนทำได้อย่างไร







พิมพ์ครั้งที่ 1  สิงหาคม 2002  จำนวน 5,000 เล่ม
พิมพ์ที่ บริษัท เบล็สซิงการพิมพ์ จำกัด
โทร.  0-2233-8007,0-2234-9611

1.  โลกของโจ๋


                มหาเกษม บุญศรี  อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร   ได้พูดไว้กับนักเรียนของคณะ เจย์. เอส. ซี. เอ็ม. ที่ได้ไปเยี่ยมสภาผู้แทนราษฎร เป็นนักเรียนมัธยมที่มาจากโรงเรียนต่าง ๆ ของสภาคริสตจักรฯ  ซึ่งขณะนั้นก็คือพระที่นั่งอนันตสมาคมว่า ในสมัยที่ฉันเป็นเด็กเท่าพวกเธอ  เด็กที่ถือว่าเก่งนั้น  ก็คือเด็กที่สามารถทำได้  2 อย่าง  คือ พายเรือเป็นและขึ้นต้นไม้เป็นนั่นคงจะเป็นวัยรุ่นที่เก่งเมื่อราว      ต้นศตวรรษที่  20 แล้วท่านก็กล่าวต่อไปอย่างภาคภูมิใจด้วยความรู้สึกมั่นใจว่า  เป็นคำพูดที่ทันสมัยที่สุดแล้วว่า  แต่เด็ก ๆ สมัยนี้  ต้องขับรถยนต์เป็น จึงจะนับว่าเก่ง  นั่นเป็นความเก่งของวัยรุ่นเมื่อราว ค..1963   คือราวกลางศตวรรษที่  20  นั่นเอง
                ท่านมหาเกษม  มิได้มีชีวิตอยู่นานที่จะเห็นโลกของวัยรุ่นวัยหนุ่มสาวอย่างที่เราเห็นกันอยู่ทุกวันนี้  ท่านยังไม่มีโอกาสที่จะทราบด้วยว่าวัยรุ่นที่เก่งนั้นไม่เพียงแต่ขับรถยนต์เป็น แต่ยังสามารถขับมอเตอร์ไซด์ฉวาดเฉวียงให้เป็นที่น่าหวาดเสียวได้อีกด้วย
                เวลานี้เรามาถึงต้นศตวรรษที่ 21 กันแล้ว    ไม่มีใครที่ไหนที่จะพูดถึงเรื่องขึ้นต้นไม้  พายเรือ  ขับรถยนต์  ขี่มอเตอร์ไซด์กันอีก  แต่โลกของวัยรุ่นปัจจุบันนี้  เป็นโลกของคอมพิวเตอร์ การสัประยุทธ์เพื่อเป็นเจ้าโลกลูกหนังที่แข่งขันกันระหว่างทวีป  โรงภาพยนตร์ระบบ  สัประยุทธ์
                เมื่อกลางศตวรรษที่ 20 บุคคลที่เป็นวีรบุรุษหรือเป็นฮีโร่ของวัยรุ่นวัยหนุ่มสาวก็คือ คนอย่างอับราฮัม ลินคอล์น มหาตมะ คานธี            และรวมทั้งเหมาเซี๊ยะตุง  แต่วัยรุ่นและหนุ่มสาวที่อยู่ในต้นศตวรรษที่  21 นั้น เกือบจะไม่รู้จักคนเหล่านั้นว่ามีความยิ่งใหญ่และความสำคัญอะไรหนักหนา ที่จะเป็นวีรบุรุษหรือฮีโร่ที่พวกเขาจะต้องบูชา แต่สำหรับพวกเขานั้นจะต้องเป็นดารา คือนักแสดงยอดนิยม นักร้องบันลือโลกที่เมื่อมาถึงเมืองไทยแล้ว เด็กสาวคนหนึ่งไม่อาจเข้าพบได้ จึงไปกระโดดตึกตาย นักฟุตบอลที่นอกจากมีฝีเท้าเฉียบขาดแล้วก็ยังรูปหล่อ มีทรงผมประหลาดๆ ได้เสมอ เมื่อลงเล่นในสนามแล้วอีก 1 วันต่อมาก็กลายเป็นแฟชั่นของวัยรุ่นทันที  มีทรงแปลก ๆ ต่าง ๆ กัน เช่นทรงนกหัวขวาน ทรงโมฮอก  และทรงโมลีแกน  เป็นต้น
                การแต่งตัวของหนุ่มสาวนั้นต้องทันสมัย  ไม่เพียงแต่แข่งขันกันในเรื่องของใช้และเครื่องประดับอาภรณ์เท่านั้น  แต่จะต้องอยู่ที่สไตล์การแต่งตัวที่ล่าสุด  แวบเดียวสายเดี่ยวหรือเกาะอกก็กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว ทรงผมยอดนิยม  ไม่ใช่แบบสกินเฮด  แต่มีแบบแปลก ๆ เช่นมีเขาขึ้นสองข้าง 
ครั้งหนึ่งมีวัยรุ่นไทยกลุ่มหนึ่งไปออสเตรเลีย  คนหนึ่งในพวกเขาตัดผมใหม่มีเขาขึ้นสองข้าง  เมื่อไปถึงออสเตรเลียก็เข้าไปซื้อของตามห้างสรรพสินค้า  ก็มีช่างภาพมาขอถ่ายรูปทำข่าวประจำวันของห้างฯ แล้วยังเอาออกเวบไซต์ด้วย  เมื่อเดินไปตามถนน ผู้คนก็ทักทายว่า “Devil Man” แปลตามความหมายที่ฝรั่ง   เข้าใจก็คือ มนุษย์ซาตาน  ซึ่งเป็นที่พออกพอใจสนุกสนานกันของวัยรุ่นกลุ่มนั้นและพวกฝรั่งสองข้างทาง
                เมื่อปลายศตวรรษที่  20  โรคที่ทำสถิติพรากชีวิตวัยรุ่นตายกันมากที่สุดก็คือ โรคฮอนด้า โรคซูซูกิ โรคคาวาซากิ  เพราะวัยรุ่นหรือหนุ่ม ๆ  จะตายเพราะอุบัติเหตุมอเตอร์ไซด์คว่ำ ความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นก็เป็นเรื่องของตัวเขากับ     ครอบครัวและคนที่ใกล้ชิดเท่านั้น  แต่ต้นศตวรรษที่ 21 ภายอันตรายที่เกิดกับ    วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวนั้น อยู่ใกล้ตัวมากกว่าภัยใด ๆ ในอดีต  คือโรคเอดส์และ ยาเสพติด  ความเจ็บปวดรวดร้าวของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อในเรื่องทั้งสองนี้นั้น มิได้เกิดขึ้นแก่ตัวเขาเท่านั้น แต่กระทบกระเทือนไปถึงคนอื่น ๆ อีกมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งถึงกับครอบครัวล่มสลายได้
                สภาพของโลกของโจ๋นั้น เต็มไปด้วยสิ่งร้าวมีอันตรายที่ล่อแหลมอยู่  รอบข้างใครๆ ก็รู้ โดยเฉพาะผู้ใหญ่ทั้งหลาย คือบิดามารดาก็ต่างวิตกกังวลและห่วงใยว่าอนุชนรุ่นนี้จะไปกันทางไหนและจบลงด้วยอย่างไร นั่นคือความรู้สึกของผู้ใหญ่ทุกคน สำหรับวัยรุ่นนั้นก็คงจะรู้สึกเบื่อหน่ายที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายปรักปรำพวกเขา  นับตั้งแต่บิดามารดาที่บ้าน  ครูบาอาจารย์ที่โรงเรียน  และแม้แต่เมื่อไปโบสถ์วันอาทิตย์ก็ยังถูกศิษยาภิบาลและผู้นำของคริสตจักรมองดูด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร  ถึงแม้ท่านเหล่านั้นจะไม่พูดออกมาก็รู้ว่าพวกเขาถูกตำหนิอยู่ในใจ
                สภาพของโลกที่กลายเป็นโลกของโจ๋นั้นใครเป็นผู้รับผิดชอบ  มันเกิด ขึ้นมาได้อย่างไร  และโจ๋ที่เติบโตขึ้นมาในโลกเช่นนี้  ตัวเขาจะต้องถูกตำหนิด้วยหรือ ใครเป็นผู้รับผิดชอบ นี่คือคำถามของทุกวงการที่ห่วงใยในอนาคตของอนุชน  และผู้ใหญ่ทั้งหลายต่างก็หาทางที่จะช่วยให้อนุชนคนรุ่นใหม่ ได้รู้จักกับทางชีวิตที่เหมาะสมกับอนาคตของพวกเขาซึ่งก็คือลูกของพ่อแม่ และผู้ที่จะรับผิดชอบ   คริสตจักรต่อไป










2. ทำไมต้องว่าให้โจ๋


                บนโต๊ะอาหารของครอบครัว  พ่อ แม่ และลูก ๆ จะพูดคุยกันด้วยเรื่องสัพเพเหระแล้วแต่ลมพัดลมเพ  พ่อและแม่ก็จะไม่ละโอกาสที่จะทักถาม  เพื่อจะหยอดเอาความคิดอันเป็นอุดมการณ์ หรือคำสอนความเชื่อทางศาสนาแทรกใส่ไว้ด้วยเสมอ 
                แม่มักจะถามขึ้นมา เรื่องนี้ครูรวีฯที่โบสถ์ไม่สอนหรือบางครั้งก็จะถามว่าโรงเรียนเขาว่าอย่างไรในเรื่องอย่างนี้ 
                เมื่อถูกทักถามบ่อย ๆ เข้า  ลูกสาวก็เลยบอกว่า ได้ยินบ่อย  ทั้งที่โบสถ์และที่โรงเรียนจนชินชาไปแล้ว  ในเรื่องอุดมคติความดีต่าง ๆ   วันนี้เมื่อแม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้อีกจนหนูจำได้หมดแล้ว หนูก็ฟังได้เสมอมันไม่ต่างอะไรกับที่เวลาหนูต้องไปยืนแถวร้องเพลงเพื่อชักธงชาติทุกเช้าที่โรงเรียนนั่นเอง 
เราได้ยินเสมอว่า ผู้ใหญ่กับวัยรุ่นวัยหนุ่มสาวนั้น มีช่องว่างหรือ Gap  ซึ่งเป็นเรื่อง Classicไปเสียแล้ว  คือเกือบจะเป็นเรื่องธรรมดาของคนในยุคปัจจุบัน  ซึ่งแตกต่างกับคนยุคก่อน ๆ คือ ยุคของท่านมหาเกษมนั้น วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว จะสงบเสงี่ยม  นบนอบต่อผู้ใหญ่  ยอมรับเอาคำตักเตือนสั่งสอนเป็นสติปัญญาที่จะเอาเก็บไว้ในสมองด้วยความเคารพและยำเกรง  แต่คนรุ่นใหม่ไม่ได้มีวิถีชีวิตเช่นนั้นต่อไป เพราะเขาโตขึ้นมาในสังคมประชาธิปไตยที่ส่งเสริมให้คนมีอิสระเสรี  คือทั้งในการดำเนินชีวิตและความคิดความเห็น  พวกเขาเป็นผลผลิตของการศึกษาที่สร้างสรรค์พวกเขาขึ้นมาให้รู้จักวิเคราะห์ วิจัย  และวิจารณ์  อันเป็นวิธีการของการศึกษาที่จะเอาตัวเด็กเป็นศูนย์กลาง  และถ้าเด็กหรือนักเรียน  นักศึกษา  ไม่สามารถที่จะกระทำได้เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นการศึกษาที่ล้มเหลวดังที่นักการศึกษามักจะกล่าวถึงเสมอ ๆ ว่า บัณฑิตของเราด้อยกว่าประเทศอื่น     การปฏิวัติการศึกษาตามรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนมีผลที่ทำให้เน้นว่า อันตรายของการศึกษาของเรานั้น  ประการหนึ่งคือ สอนให้ท่องจำจนไม่ได้ใช้ความคิด 
                เมื่อเป็นเช่นนี้  ผู้ที่น่าเห็นใจมาก  ๆ ก็คือ  วัยรุ่นวัยหนุ่มสาว  หรือนักเรียน  นักศึกษา  ที่เกิดมาในช่วงระยะเวลาที่อยู่ในภาวะเช่นนี้   พวกเขาเป็นผลผลิตของแนวคิดและปรัชญาสมัยใหม่  จึงทำให้พวกเขาจะต้องแข่งขันกันใช้ชีวิตเช่นนั้น  เพื่อพวกเขาจะไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง  เทคโนโลยีที่ครองโลกอยู่ทุกวันนี้นั้น ทำให้พวกเขาต้องไขว่คว้าแสวงหา  เพื่อพวกเขาจะได้เป็นคนที่ทันสมัยอยู่ในแนวหน้า และเป็นคนที่มีโอกาสในชีวิตที่พวกเขาจะไปสู่ความสำเร็จ อันเป็นอนาคตที่พวกเขาใฝ่ฝัน
                ใครเล่าที่จะถูกตำหนิ เมื่อคนรุ่นใหม่ของเราหมกมุ่นอยู่กับการแสวงหาความร่ำรวย และไขว่คว้าดิ้นรนเพื่อจะมีฐานะทางการเงินการทองที่พวกเขาเห็นว่าสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดในเวลาข้างหน้า  ในเมื่อประเทศชาติบ้านเมืองของเราตอกย้ำเรื่องเศรษฐกิจอยู่ทุกวี่ทุกวัน แผนการพัฒนาประเทศฉบับแรก ๆ  ก็เรียกว่าแผนการพัฒนาเศรษฐกิจ  ผ่านไปได้ 2-3 ฉบับ  จึงเพิ่มขึ้นมาอีกมิติหนึ่ง  กลายเป็นแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม  จนกระทั่งถึงแผนที่ 8  นักคิดนักปรัชญาที่เป็นผู้วางนโยบายประเทศชาติคงจะรู้สึกตัวถึงคุณค่าความเป็นมนุษย์  ดังนั้นแผนพัฒนาฉบับที่ 8 จึงเน้นการพัฒนามนุษย์หรือคน  วัยรุ่นและหนุ่มสาวของเราจึงเป็นเหยื่อของวัตถุนิยม และก็ตามมาด้วยเรื่องของบริโภคนิยมอย่างที่พวกเขาไม่อาจหลีกเลี่ยงได้  นี่คือภาวะและสภาพชีวิตของอนุชนของเราที่ควรจะได้รับความเห็นอกเห็นใจ  และผู้ใหญ่ทั้งหลายจะต้องทำความเข้าใจ  บางครั้งอาจจะต้องเอาตัวของเราเข้าไปนั่งอยู่ในที่นั่งของคนรุ่นใหม่เหล่านั้น  เพื่อผู้ที่เป็นพ่อเป็นแม่  เป็นครู   บาอาจารย์  เป็นศาสนาจารย์  และศิษยาภิบาล จะเข้าอยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขาด้วยความเห็นใจ  แทนที่จะเป็นการตำหนิหรือมองด้วยสายตาที่เป็นลบ  ก็จะกลายเป็นสิ่งใหม่  คือด้วยความเข้าใจ  ด้วยทัศนคติที่เป็นบวกและด้วยความเมตตา  ด้วยความรักที่เราจะต้องมีต่อพวกเขา
                ศาสตราจารย์ท่านหนึ่ง ห่วงใยในบัณฑิตที่มหาวิทยาลัยผลิตออกมา  ท่านปรารถนาที่จะกอบกู้ชีวิตของบัณฑิต และต้องการจะเห็นบัณฑิตมีแนวคิดใหม่  เพื่อจะมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ และใช้ชีวิตให้สมกับ  ศักยภาพของความเป็นคน  ท่านได้วาดภาพภาวะของสังคมชีวิตวัยรุ่นวัยหนุ่มสาวไว้ว่า วัยรุ่นหนุ่มสาวเป็นวัยที่พลังทางความคิดและศักยภาพกำลังเจริญงอกงาม  เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อบนทางสองแพร่งที่เขาต้องเลือกก้าวเดินสู่อนาคต โครงสร้างสังคมปัจจุบัน สนับสนุนให้เขาจมไปสู่ห้วงเหวลึกเสียมากกว่าที่จะเดินสู่เส้นทางที่สร้างสรรค์เพื่อสังคม อิทธิพลของลัทธิบริโภคนิยม ธนานิยม ปัจเจกชนนิยม  สุขนิยม และเพศนิยม ได้เข้าแทนที่อุดมการณ์นิยม จิตสาธารณนิยม คุณธรรมนิยม  และสัจธรรมนิยม  สังคมไทยจึงมักขาดคนที่เสียสละเพื่อส่วนรวม  เราจะเห็นข่าววัยรุ่นมั่วสุมในสถานที่ เที่ยวกลางคืน เสพยาบ้า  ยาอี  ใช้ชีวิตเที่ยวเตร่  ใช้เงินทองอย่างฟุ่มเฟือย  มีเรื่องชกต่อย  หรือแม้แต่กระทั่งทำร้ายชีวิตกัน เพียงเพราะระงับโทษะไม่ได้  แม้วัยรุ่นที่มีการศึกษาถึงระดับอุดมศึกษา แต่การศึกษาก็มิได้ช่วยยกระดับคุณค่าการดำเนินชีวิตของเขาขึ้นมาได้เลย  ทั้ง  ๆ ที่ในขณะนี้สังคมเต็มไปด้วยปัญหาที่ต้องการคนที่มีคุณภาพและคุณธรรมในการช่วยกันลื้อฟื้นสังคม
                ท่านศาสตราจารย์ได้รวบรวมรายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับชีวิตของวัยรุ่นวัยหนุ่มสาวไว้ได้อย่างครบถ้วน ที่เราเรียกกันว่าวัฒนธรรมวัยรุ่นวัยหนุ่มสาว (Youth  Culture)  เพียงแต่ว่าท่านศาสตราจารย์อาจลืมไป  หรือท่านเองก็ยังตามวัฒนธรรมวัยรุ่นไม่ทัน คือท่านไม่ได้กล่าวถึงเรื่องการแข่งขันใช้โทรศัพท์มือถือไว้เลยและยิ่งกว่านั้นอีก  ท่านลืมจริง ๆ ถึงเรื่องมหันตภัยของบัตรเครดิต

3. โจ๋กับวัยใส

                จิตใจผมเป็นยังไงไม่ทราบเมื่อนั่งอยู่ต่อหน้าผู้หญิง  สมองของผมคิดถึงเรื่องต่าง ๆ นานา
เป็นคำถามของวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่เขียนบนกระดาษส่งมาในชั่วโมง ท่านถาม เราตอบ  ของค่ายศึกษาพระคัมภีร์  หรือ  Bible Camp  อันเป็นกิจกรรมหนึ่งของสำนักกลางนักเรียนคริสเตียน
                อาจารย์ผู้นำอภิปรายอ่านแล้วก็บอกว่า เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่จะเกิดขึ้น กับวัยรุ่น  แม้จะเป็นคำตอบที่ไม่ได้อธิบายและไม่ได้ให้รายละเอียดเลย  แต่นั่นก็คือสัจจะและความจริงที่เพียงพอ ซึ่งเราก็เชื่อว่าวัยรุ่นผู้ที่ถามและเพื่อนวัยรุ่นที่นั่งฟังก็คงจะสบายใจกันทุกคน
                เรื่องเพศศึกษา เป็นเรื่องที่พวกเราในประเทศไทย นักวิชาการและนักการศึกษากำลังวิเคราะห์วิจัยกันอย่างกว้างขวางว่า  เรื่องนี้ควรจะจัดการกันอย่างไรจึงจะพอดี  เมื่อไม่นานมานี้เองสำนักนายกรัฐมนตรีได้ออกเอกสารมาฉบับหนึ่ง  ชื่อว่า  วัยใส  เป็นเรื่องเพศศึกษา เพื่อจะแจกให้กับวัยรุ่น ด้วยจุดประสงค์ที่จะช่วยให้วัยรุ่นเข้าใจถึงเรื่องเพศ เพื่อวัยรุ่นจะได้รู้เรื่องราวของเพศว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคน  และจะมีวิธีการอย่างไรที่จะจัดการกับเรื่องนี้ให้เหมาะสมกับชีวิตของตนแต่เมื่อวัยใส ออกมาแจกจ่ายได้เพียงไม่กี่วัน ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงลบจากทุกวงการว่า  หนังสือเล่มเล็กนี้อธิบายเรื่องของเพศโจ่งแจ้งเกินไป เกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อวัยรุ่นมากกว่า ถึงกับมีคำสั่งให้เรียกหนังสือกลับทั้งหมด  ทั้ง ๆ ที่หนังสือเล่มนี้เป็นผลของทีมงานที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นให้ไปทำวิจัย เพื่อให้เป็นวิชาการอย่างแท้จริง  ศัพท์แสงต่างๆ ที่ว่าประเจิดประเจ้อในหนังสือเล่มนี้นั้น ผู้วิจัยก็ได้จากปากคำและความต้องการที่จะรู้ของเด็กวัยรุ่นทั้งสิ้น 
                ประเพณีไทยแต่ดั้งแต่เดิมนั้นจะไม่พูดถึงเรื่องเพศกัน ถือว่าเป็นเรื่องสกปรกและไม่สุภาพ  ดังนั้นหนังสือ  วัยใส  จึงได้รับการต่อต้าน  เพราะความไม่พร้อมของผู้ใหญ่ในประเทศไทยปัจจุบัน การสอนเพศศึกษาจึงเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ง่ายนัก จะต้องทำด้วยความระมัดระวัง  บุคคลสำคัญก็คือผู้ที่ทำหน้าที่สอนนั่นเอง  เพราะเป็นเรื่องที่หมิ่นเหม่มาก   จนอาจเกิดความเข้าใจผิดขึ้นได้  ถ้าเป็นการสอนเพื่อสนุกสนาน หรือทำให้ตลกขบขัน ซึ่งก็จะถูกใจพระเดชพระคุณวัยรุ่นแน่นอน  แต่ถ้าจะให้เกิดผลดีแล้ว ผู้สอนก็จะต้องทำด้วยความรู้สึกเคารพและให้เกียรติในวิชาที่เขาจะต้องสอน  และด้วยจิตใจที่สะอาด  ด้วยความรักเมตตาที่จะให้วัยรุ่นเข้าใจได้อย่างชัดเจนจากแง่มุมของสรีรวิทยาและสุขภาพจิต   โดยวิธีนี้เท่านั้นที่เรื่องเพศจะเป็นพระพรสำหรับมนุษย์ได้ 
                มีเรื่องเล่าว่า  ครั้งหนึ่งศาสตราจารย์ผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญในเรื่องเพศศึกษา  ได้รับเชิญให้ไปบรรยายให้แก่นิสิตนักศึกษา  ท่านเริ่มต้นถามที่ประชุมว่า  อวัยวะต่างๆ  ของร่างกายมนุษย์ส่วนไหนที่สกปรกที่สุด  ถามแล้วก็ไม่มีคำตอบ  ทุกคนเงียบหมด  ท่านจึงพูดเพิ่มเติมว่า  ตาก็สกปรกเพราะมีขี้ตา   หูก็สกปรกเพราะมีขี้หู  จมูกก็สกปรกเพราะมีขี้มูก ปากก็สกปรกเพราะมีขี้ฟัน แล้วท่านก็หยุดไว้เพียงแค่นั้น  ท่านศาสตราจารย์จึงต้องตอบคำถามของตัวท่านเองว่า  อวัยวะของร่างกายที่สกปรกที่สุดนั้น คือ สมอง เพราะสมองชอบคิดในเรื่องสกปรก
                สำหรับคริสเตียนนั้น  มีความเชื่อในเรื่องเพศไว้แล้วอย่างชัดเจน  ซึ่งเป็นคำสอนของพระคัมภีร์  ดังนั้นเราจึงต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้  พิจารณาดูว่าพระคัมภีร์สอนว่าอย่างไร เพื่อเราจะได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติตนเพื่อให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า
                เรื่องเพศนั้น  พระคัมภีร์ไม่เคยตำหนิ  หรือประณาม  หรือถือว่าเป็นเรื่องสกปรกเสียหาย  ไม่มีที่ไหนในพระคัมภีร์ที่สอนถึงว่าเรื่องเพศเป็นความบาป  แต่กลับเป็นเรื่องของพระพรที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับมนุษย์ เรื่องเพศจึงควรจะเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์เสียด้วยซ้ำ การแต่งงานเป็นสถาบันที่พระเจ้าได้สถาปนาขึ้น  แต่ในเวลาเดียวกันพระคัมภีร์ก็สอนด้วยว่า  เรื่องเพศนี้เป็นอันตรายที่อาจทำให้มนุษย์ตกลงไปในความบาปได้ด้วย  พระคัมภีร์ประณามการใช้พระพรเรื่องเพศไปในทางที่ผิดว่าเป็นเรื่องร้ายแรง และเป็นความบาป
                พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องเพศไว้ในพระธรรมปฐมกาล  ซึ่งเป็นหนังสือเล่มแรกของพระคัมภีร์    อันเป็นเรื่องราวของการเนรมิตสร้างของพระเจ้าว่า   พระองค์ทรงสร้างอย่างไร  สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นมีความสัมพันธ์ของกันและกันอย่างไร  เป็นพระธรรมตอนที่จะช่วยให้เราเข้าใจถึงธรรมชาติต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะธรรมชาติของมนุษย์ ว่าเขามีองค์ประกอบอะไรบ้าง  ซึ่งรวมไปถึงเพศด้วย
                พระธรรมปฐมกาล  บทที่ 1 ข้อ 27 กล่าวว่า ...พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ขึ้นตามพระฉายาของพระองค์  ตามพระฉายาของพระเจ้านั้นพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้น  และได้ทรงสร้างให้เป็นชายและหญิง
                พระเจ้าทรงอวยพระพรแก่มนุษย์ ตรัสแก่เขาว่า จงมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน
                จากพระธรรมตอนนี้   ช่วยให้เราเข้าใจได้ชัดเจนว่า
1.             เรื่องเพศนั้น พระเจ้าได้ประทานให้แก่มนุษย์  อันเป็นส่วนหนึ่งของ การทรงสร้างมนุษย์ของพระองค์
2.             เรื่องเพศนั้น พระองค์ทรงโปรดให้มีสองเพศ คือเพศชายและเพศหญิง  ซึ่งแต่ละเพศนั้นต้องมีบทบาทที่ต่างกัน เพื่อจะเสริมสร้างให้มนุษย์มีความสุขที่สมบูรณ์ 
3.             เรื่องเพศนั้น พระองค์มีพระประสงค์ที่จะให้มีอยู่ในมนุษย์  เพื่อเขาจะมีลูกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดิน  
4.              เรื่องเพศนั้นเป็นเรื่องที่  พระเจ้าทรงอวยพร  อันเป็นที่มาของการแต่งงานและการตั้งครอบครัว
                 แต่ในเวลาเดียวกันพระคัมภีร์ก็สอนให้เราเข้าใจถึงว่า มนุษย์นั้นต่างจากสัตว์ด้วย  มนุษย์กับสัตว์นั้นที่ไม่ต่างกันก็คือทั้งสองมีชีวิต  ต้นไม้ที่พระองค์ทรงสร้างก็มีชีวิต  สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างและมีชีวิตนั้น  คือต้นไม้  สัตว์ และมนุษย์  ล้วนทรงสร้างขึ้นให้สามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งสิ้น
                แต่ที่มนุษย์ต่างจากสัตว์นั้น  คือ
1.                         พระองค์ทรงสร้างให้เรามีพระฉายาของพระองค์อยู่ในตัวเรา ซึ่ง ไม่มีเรื่องนี้ในการทรงสร้างอื่น ๆ ของพระองค์  ต้นไม้ไม่มีพระฉายาของพระองค์  สัตว์ไม่มีพระฉายาของพระองค์  เรามีส่วนคล้ายกับพระเจ้าเช่นเดียวกันกับพ่อกับลูกย่อมมีลักษณะคล้ายกัน จนบางครั้งเราไม่อาจบอกได้ว่าเด็กคนนี้เป็นลูกใคร  เพราะหน้าตาและอากัปกิริยานั้นคล้ายพ่อมาก  ฉายาคือเงา ดังนั้นมนุษย์ทุกคนมีเงาของพระผู้เป็นเจ้าอยู่ในตัวเรา  แต่เราไม่ใช่พระเจ้า  ในคืนเดือนหงาย  เมื่อเรายืนอยู่ที่สระน้ำ เราจะเห็นพระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่บนน้ำด้วย แต่นั่นคือเงาของดวงจันทร์ที่มีลักษณะคล้ายกับดวงจันทร์ทุกประการ  แต่ดวงจันทร์นั้นอยู่บน ท้องฟ้าโน้น  การที่พระเจ้าทรงประทานพระฉายาของพระองค์ในตัวมนุษย์นั้น  ก็เพราะพระองค์ให้เราต่างกับสัตว์ คือให้มีสติสัมปชัญญะ มีวิจารณญาณ มีความสำนึก ทั้งนี้เพื่อเราจะได้แยกแยะให้ถูกว่าอะไรคือสิ่งที่ถูก  อะไรคือสิ่งที่ผิด อะไรควรหรือไม่ควร  ลักษณะเช่นนี้มีอยู่ในมนุษย์เท่านั้น
2.     ในการทรงสร้างของพระเจ้านั้นที่ต่างจากสัตว์ทั้งหลายคือเมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์แล้ว ทรงระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต มนุษย์เท่านั้นที่มีลมปราณของพระเจ้า  ดังนั้นมนุษย์จึงต่างจากสัตว์  คือเขามีจิตวิญญาณของพระเจ้าอยู่ด้วย  ดังนั้นความเป็นมนุษย์จึงประกอบขึ้นด้วยสามมิติ  คือร่างกาย  จิตใจ  และจิตวิญญาณ  สัตว์มีร่างกาย  และอาจรวมถึงจิตใจด้วย  เพราะมันรู้จักเจ็บ  รู้จักกลัว  และมันก็มีความต้องการทางเพศด้วย
ดังนั้นในเรื่องเพศที่คริสเตียนเข้าใจนั้น  คือนอกจากพระเจ้าทรงสร้างให้แก่มนุษย์แล้ว  และนอกจากเป็นพระพรของพระเจ้าที่ให้แก่มนุษย์แล้ว  มนุษย์ยังจะต้องรู้จักใช้วิจารณญาณเข้าใจถึงความถูกผิดของเรื่องเพศ  รู้จักที่จะยับยั้ง  รู้จักที่จะใช้ให้เกิดเป็นพระพร และมนุษย์ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงจะต้องรู้จักรับผิดชอบในเรื่องเพศต่อพระเจ้าด้วย
                สิ่งสำคัญในเรื่องเพศที่จะต้องจำใส่ใจไว้เสมอและจะต้องระวังไว้ตลอดเวลาก็คือ เราเป็นมนุษย์  เราไม่ใช่สัตว์



   4. โจ๋ชอบซื้อ
ซื้อมาทำไม ?”
ทำไมจึงซื้อมาอีก

เป็นคำถามที่เราได้ยินกันอยู่เสมอ  ไม่ใช่เฉพาะในระหว่างเพื่อนฝูงหรือในสำนักงานเท่านั้น แต่เราจะได้ยินกันบ่อย ๆ ในบ้านของเรา
                แม่ถามลูกสาวว่า  ดินสอมีอยู่แล้วไม่รู้กี่แท่ง  ซื้อมาทำไมอีก ลูกสาวตอบแม่ว่า เห็นมันสวย  แท่งนี้ทำมาจากอังกฤษ  ราคาถูก ๆ
                พ่อถามลูกชายว่า  รองเท้าผ้าใบมีอยู่แล้วตั้งสองสามคู่  ใช้ยังไม่ทันขาด  แล้วซื้อมาใหม่อีกคู่ทำไม  ลูกชายตอบพ่อว่า เพราะคู่นี้มันเดิ้น  เห็นไหมมันมีดาวดวงเล็ก ๆ ตรงนี้ด้วย  เพื่อน ๆ เขาซื้อกันทั้งนั้น 
                นี่คืออาการอย่างหนึ่งที่เราพบเห็นกันทุกวี่ทุกวันในสังคมโลกปัจจุบัน   เราเรียกโรคนี้ว่า โรคบริโภคนิยม คำว่าบริโภค พจนานุกรมให้ความหมายว่า เสพ กิน จับจ่ายใช้สอย ใช้ให้สิ้นเปลือง  ซึ่งแต่ละคำที่ให้ความหมายไว้นั้น  ล้วนเป็นคำที่ไม่ค่อยดีเลย แม้แต่คำว่ากินที่ควรจะมีความหมายว่าดีนั้นแต่ก็อาจเป็นพิษเป็นภัยได้ ถ้าไม่รู้จักกิน
                ในยุคสมัยที่โลกเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม  มนุษย์มีความสามารถผลิตสินค้าได้แต่ละครั้งนั้นเป็นปริมาณมากมาย  สินค้าอย่างเดียวกันก็มีอีกหลายโรงงานผลิตด้วย   เมื่อผลิตออกมามากมายแล้ว  ก็จะต้องหาทางถ่ายเท ให้สินค้าเหล่านี้ออกไปถึงผู้ใช้  เพื่อว่าเมื่อผู้ใช้ซื้อแล้ว เงินจะได้กลับเข้ามาเลี้ยงโรงงานอีกครั้งหนึ่ง
                ดังนั้น โลกของเราทุกวันนี้จึงเต็มไปด้วย  การแข่งขัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  การแข่งขันขายสินค้า  การที่จะขายนั้นก็จะต้องมียุทธวิธีและกลไกต่าง ๆ เพื่อจะให้ชาวบ้านยอมตัดสินใจซื้อ ก็จะต้องใช้วิธีจูงใจต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยการใช้สื่อนานาชนิด  เพียงสื่อเท่านั้นไม่พอ  ยังจะต้องใช้  Presenter  ที่เป็นคนดังในสังคม  เช่น ดาราภาพยนตร์  นักร้อง  เพื่อจูงใจวัยรุ่น  หรือใช้เด็กทารกเป็น Presenter เพื่อจะจูงใจแม่ให้ไปซื้อของใช้เด็กยี่ห้อนั้น ที่เด็กนั้นมาจากประเทศนั้น  อย่างที่เห็นอยู่ในโฆษณานั้น
                ยุทธวิธีการขายที่เราเห็นกันอยู่ทุกวี่ทุกวันก็คือ  การลด  แลก  แจก  แถม  ลอง ชิม  ดม ทา  ดู  จิบ  เหล่านี้เป็นอาการของการที่จะให้ลูกค้าได้ลองสัมผัสด้วยเรื่องของรูป รส กลิ่น เสียง  ทั้งสิ้น
                สินค้าที่ไม่น่าจะขายได้เลย  เพราะมีราคาแพง  แต่คนจน ๆ ก็ยังซื้อ  เพราะโฆษณาว่า ซื้อวันนี้ดอกเบี้ยเป็นศูนย์ ... รถยนต์รุ่นล่าสุดซื้อเดือนนี้ไม่ต้องดาวน์ ... ซื้อบ้านแถมเฟอร์นิเจอร์...   วันนี้ห้างมีบัตรชิงโชค ชิงรางวัลรถบีเอ็ม...  เครื่องซักผ้านี้ขายราคาทุนก่อนบ่ายสามโมงเท่านั้น...
                นั่นคือวิธีการที่เรียกกันว่าการตลาด   หรือมาร์เก็ตติ้ง  วิธีการก็คือ  จะต้องหาวิธี  จะเป็นวิธีไหนก็ได้ ที่จะไปเร่งเร้า กระตุ้น ยั่วยุ ให้เกิด กิเลส ในข้อที่ว่า โลภ 
                เมื่อมีความต้องการที่จะซื้อเกิดขึ้น  ผู้ซื้อก็จะยอมแพ้ต่อการยั่วยุ  หรือการแพ้ต่อการทดลอง  คือถูกบังคับให้ตัดสินซื้อนั่นเอง ทั้งที่การซื้อนั้นอาจไม่มีความจำเป็นเลย  แต่ก็ต้องยอมควักกระเป๋าซื้อโดยไม่คำนึงถึงความประหยัด  บ่อยครั้งที่ต้องซื้อทั้ง ๆ ที่ไม่มีเงิน  แต่ก็ต้องเอาเงินเดือนในอนาคตมาใช้  โดยยอมเสียดอกเบี้ยให้แก่บริษัทบัตรเครดิต  ไม่ได้หวาดกลัวว่าจะเกิดมีหนี้สินล้นพ้นตัวตามมาเลย  มีรายงานว่าหนุ่มสาวญี่ปุ่นต้องฆ่าตัวตายมากมายเพราะเป็นหนี้บัตรเครดิต  ในประเทศไทยของเรา  ผู้ที่มีรายได้เพียงเดือนละ  5,000  บาทก็ทำบัตรเครดิตได้  เมื่อเขาจ่ายเพลินตามการยั่วยุของกิเลส  เขาก็จะไม่มีเงินจ่ายดอกเบี้ยให้กับบริษัทบัตรเครดิต  สิ่งที่  นักเศรษฐศาสตร์กำลังกลัวมากก็คือ จะเกิด NPL  ขึ้น หรือหนี้ที่ไม่เกิดรายได้ จนอาจเกิดฟองสบู่แตกรอบที่สอง
                นี่คือสภาพของโลกที่วัยรุ่นและคนหนุ่มสาวกำลังเผชิญกันอยู่ทุกวันด้วยความเคลิบเคลิ้มเพลิดเพลิน 
                ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นยังไม่ได้รวมถึงเรื่องของมือถือ  และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ  ที่น่าใช้น่าชมที่กำลังจะมีมาอีกมากมายในอนาคตซึ่งล้วนเป็นภัยอันตรายที่รอคอยอนุชนของเราอยู่ข้างหน้า
                บริโภคนิยมไม่เพียงเป็นเรื่องของการจับจ่ายใช้สอยเท่านั้น  แต่ยังเป็นวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันอีกด้วย  คือการที่จะจับจ่ายใช้สอยหาความสุขบำรุงบำเรอกิเลสตัณหา เช่น การกิน  การดื่มในที่หรูหราซึ่งไม่จำเป็น  การตกเป็นเหยื่อของอาหารประเภทแดกด่วน  หรืออาหารขยะ  การช๊อปปิ้งซื้อสินค้าในห้างที่หรูหรา  การดื่มไวน์ราคาแพง การเดินตะลุยไปตามห้างสรรพสินค้า การใช้รถราคาสูง    ลิบลิ่ว เป็นต้น
                นี่คืออันตรายที่อยู่เบื้องหน้าของคนในยุคนี้โดยไม่เลือกวัย  แต่วัยโจ๋นั้นจะตกไปในการทดลองได้ง่ายกว่า  เพราะเป็นวัยที่กำลังต้องการศึกษา อยากรู้อยากเห็น  อยากทดลอง  ชอบของใหม่  และแข่งขันกัน  ดังนั้นคริสเตียนพึงระวังและจดจำข้อพระธรรมไว้ประจำใจเสมอว่า มารวนเวียนอยู่รอบ ๆ ดุจสิงโตคำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้  (1  เปโตร 5:8)
                มีพระคัมภีร์ที่ตักเตือนเราทั้งหลาย  ซึ่งคริสเตียนทุกคนจะต้องจดจำและระลึกไว้เสมอในการดำเนินชีวิต  เช่น  จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต  ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด  (ยอห์น 6:63)
เพราะว่า ถ้าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตตามฝ่ายเนื้อหนังแล้วท่านจะต้องตาย  แต่ถ้าโดยฝ่ายพระวิญญาณท่านได้ทำลายการของฝ่ายกายเสีย  ท่านก็จะดำรงชีวิตได้  (โรม 8:13)
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย  ข้าพเจ้าหมายความว่า  เนื้อและเลือดจะมีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้  และสิ่งซึ่งเน่าเปื่อยจะมีส่วนในสิ่งซึ่งไม่รู้จักเน่าเปื่อยก็
ไม่ได้   (1 โครินธ์  15:50)
เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนังเพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน  ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายปรารถนาทำจึงกระทำไม่ได้  (กาลาเทีย  5:17)
เมื่อก่อนเราทั้งปวงเคยประพฤติ เป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้นที่ประพฤติตามตัณหาของเนื้อหนัง คือกระทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังและความคิด   ในใจตามสันดาน  เราจึงเป็นคนควรแก่พระอาชญาเหมือนอย่างคนอื่น (เอเฟซัส 2:3)
เพราะว่า บรรดาเนื้อหนังก็เป็นเสมือนต้นหญ้าและบรรดาศักดิ์ศรีของเขาก็เหมือนดอกหญ้า  ต้นหญ้าเหี่ยวแห้งไปและดอกก็ร่วงโรยไป  (1  เปโตร  1:24)
เพราะว่า  สารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก  คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา  และความทะนงในลาภยศมิได้เกิดมาจากพระบิดาแต่เกิดมาจากโลก (1 ยอห์น  2:16)
                นอกจากนั้นความโลภยังเป็นข้อหนึ่งในพระบัญญัติสิบประการซึ่งได้สำทับไว้อย่างหนักแน่นว่า  อย่าโลภ 
                คริสเตียนทุกคนจะต้องเข้าใจคำสอนในเรื่อง ฉันทภาระ (Stewardship)  คือเราทั้งหลายนั้นเป็นคนต้นเรือน  เรามีหน้าที่ดูแลรักษาและบริหารจัดการสิ่งที่นายของเรามอบไว้ให้เป็นผู้ดูแล เราจึงต้องเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบอย่างสูงสุด  ต้องสัตย์ซื่อต่อนายของเรา  และนายของเรานั้นก็คือ  องค์พระผู้เป็นเจ้า  คริสเตียนจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่า  ทุกสิ่งที่เรามีไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สมบัติและเงินทอง  หรือแม้แต่ทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิดนั้น เป็นสิ่งที่พระเจ้ามอบไว้ให้เราเป็น      ผู้ดูแล บริหาร จัดการ  ดังนั้นการจับจ่ายใช้สอย  หรือเมื่อจะซื้อสิ่งของใด ๆ เราต้องกระทำโดยใช้สติปัญญาและถามเสมอว่า  พระเจ้าทรงพอพระทัยหรือไม่ก่อนที่เราจะซื้อหามาใช้
5.  โจ๋อยากรู้จักโลกาภิวัฒน์

                อาจารย์ครับผมจะไปประชุมนักศึกษานานาชาติที่ญี่ปุ่น เขาจะพูดกันถึงเรื่อง Globalization ผมอยากจะทราบเรื่องนี้โดยละเอียด  เพราะเขาสั่งมาให้เตรียมตัวไปเสนอบทความ  ขออาจารย์ช่วยผมด้วยครับ
                คุณจะไปเมื่อไร  อาจารย์ถาม 
                ผมจะไปมะรืนครับขออาจารย์ช่วยสรุปให้ฟังก็พอเพราะผมจะไปวิ่งเต้นเรื่องอื่นอีก  ถ้าอาจารย์จะเล่าให้ฟังทางโทรศัพท์สักสิบนาทีได้ไหมครับ 
นักศึกษาชายพูด
                อาจารย์ตอบสวนไปว่า  ได้   Globalization  ก็คือโลกาภิวัฒน์นั่นไง 
แค่นี้ก็จบแล้ว 
                โลกาภิวัฒน์  มีความหมายตามรากศัพท์ก็คือ  ความเจริญรุ่งเรืองอยู่เหนือโลก  ซึ่งก็มีความหมายถึงว่า ความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่ที่ครอบงำโลกให้ไปใน  ทิศทางเดียวกัน  คำนี้เป็นศัพท์ที่บัญญัติขึ้นใหม่ก่อนสิ้นศตวรรษที่  20 นี้เอง  เพื่อให้มีความหมายสำหรับคำว่า  Globalization  ซึ่งเป็นกระแสหรือเป็นคลื่นที่ซัดมาอย่างรุนแรงอันเป็นผลที่กระทบกระเทือนถึงอารยธรรมและวัฒนธรรมทั้งหมดของโลกใบจิ๋วของเรา
                 Globalization  มีความหมายที่นิยมและยอมรับกันทั่วไปว่า หมายถึง โลกไร้พรมแดน ซึ่งก็มีความหมายเช่นเดียวกันกับความหมายโลกาภิวัฒน์  แต่พิจารณาจากอีกแง่มุมหนึ่ง   เมื่อรวมความหมายทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยเข้าด้วยกันแล้วก็จะได้คำนิยามที่เกือบจะครบถ้วน
                โลกาภิวัฒน์  หรือ Globalization  เป็นกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงที่เกิดแก่โลกและมีแรงกระทบอย่างรุนแรงไปทั่วโลกพร้อมๆ  กัน  เมื่อใกล้สิ้นศตวรรษที่ 20  ที่จริงเมื่อพิจารณาจากรากศัพท์ แล้วเราอาจได้ความหมายที่ช่วยให้เราเข้าใจคำนี้ได้ดียิ่งขึ้น คำว่า Globe เป็นคำที่ครั้งหนึ่งใคร ๆ ก็เข้าใจคำนี้ว่า  หมายถึง  โลกใบกลม  หรือลูกโลกที่อยู่ตามห้องสมุด  เมื่อทำให้เป็นคำกริยา  Globalization แล้วก็จะได้ความหมายว่า การทำให้โลกนี้เป็นโลกใบกลมใบเดียวกัน  ไม่มีสิ่งใดที่กีดกั้นกันและกันอีกต่อไปในมนุษยชาติ  ในทางเศรษฐกิจ  ในทางคมนาคม  และการสื่อสาร ซึ่งแท้จริงแล้วความหมายนี้ยิ่งใหญ่กว่าที่จะให้คำนิยามว่า  โลกไร้พรมแดน  เสียอีก  การไร้พรมแดนนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของความหมายนี้นั่นเอง
                ถ้าจะพิจารณาจากความหมายที่ว่า  โลกไร้พรมแดน  ก็จะทำให้เราเข้าใจได้ดีพอสมควรจากแง่หนึ่ง  นั่นก็คือนับตั้งแต่โลกเกิดขึ้นมาไม่นานนัก  ก็เกิดมีประเทศ มีชาติ  มีเผ่าพันธุ์ มีภาษา มีผิวสีขึ้น ทั่วโลก  โลกมีพรมแดนเป็นเส้นแบ่งอย่างชัดเจน  เริ่มต้นจากเส้นแบ่งทวีป  แบ่งประเทศ  แบ่งภาษา  แบ่งผิวพรรณ  และแบ่งเป็นศาสนา ต่างก็อยู่ในพื้นที่ของตนเอง ทุกแห่งหนในโลกจะรักษาเขตแดนอันเป็นเขตแบ่งของตนเอง  จะทำทุกวิถีทางที่จะป้องกันรักษาพรมแดนของตนไว้มิให้ใครผู้ใดมากล้ำกลายเป็นอันขาด  ด้วยเหตุที่ต้องการรักษาพรมแดนของตนเองจึงได้มีการสู้รบแย่งแผ่นดินกันตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ การสู้รบแต่ละครั้งนั้นก็เป็นการสิ้นเปลืองทั้งทรัพยากรและชีวิตมนุษย์  แต่เมื่อศตวรรษที่ 20 จะสิ้นสุดลงนั้น พรมแดนต่าง ๆ ก็เกือบจะไร้ความหมายเสียแล้ว  ประเทศที่เจริญแล้วจะไม่พูดกันอีกถึงเรื่องพรมแดนใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเขตแดน ภาษา หรือศาสนาก็ตาม เช่น สหภาพยุโรป ที่รวมสิบห้าประเทศไว้ด้วยกันจนเกือบจะกลายเป็นประเทศเดียวกัน ทำวีซ่าเข้าประเทศเดียวก็จะเดินทางไปได้เกือบทุกประเทศ  ประเทศเหล่านี้เคยขบเคี่ยวกันมาถึงเรื่องพรมแดน  แต่บัดนี้เขาไม่พูดกันอีกแล้วถึงเรื่องพรมแดน  เกือบทั้งสิบห้าประเทศใช้เงินยูโรด้วยกัน  แม้ภาษาจะต่างกัน  แต่ก็สามารถเข้าใจกันได้โดยไม่รังเกียจภาษาของกันและกัน ตรงกันข้ามยังมีบางประเทศที่จัดว่าด้อยพัฒนา  หรือกำลังพัฒนา ก็ยังมีปัญหาพิพากษ์เรื่องพรมแดน  เกี่ยงงอนกันเรื่องภาษาอย่างที่เราเห็นอยู่รอบ ๆ บ้านเราที่ยังยุ่งเรื่องนี้ไม่จบไม่สิ้น  
                แต่โลกไร้พรมแดนนั้น  ไม่หมายถึงเพียง เส้นแบ่งพรมแดนเท่านั้น  แต่มันมีความหมายยิ่งกว่านั้น มันเป็นกระแสเศรษฐกิจ วัฒนธรรมและอารยธรรม  ที่โหมพัดปะทะชาวโลกอย่างไม่เลือกหน้า   และมีผลร้ายผลดีตามมาเหนือชีวิตคนทั่วทั้งโลก  ประเทศที่เจริญแล้วก็จะทำทุกอย่างทุกวิถีทาง เพื่อจะฉกฉวยโอกาสกันและกัน  ส่วนประเทศที่ตามไม่ทันซึ่งเป็นฝ่ายเสียเปรียบก็คือประเทศโลกที่สาม นี่คือสภาพของโลกในต้นศตวรรษที่21 ที่ต้องรับเอากระแสคลื่นโลกาภิวัฒน์อันรุนแรงซึ่งได้พัฒนาก่อขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 20 
                พายุหรือใต้ฝุ่นที่พัดผ่านเข้ามาในประเทศทางเอเชียตะวันออกนั้น ก็ยังมีแหล่งที่มา นักอุตุวิทยาจึงบอกได้ว่า พายุหรือใต้ฝุ่นนั้นกำลังก่อตัวขึ้นที่ไหน  และสามารถจะทำนายได้ว่ามันจะไปทางไหน  ดังนั้นกระแสคลื่นแห่งโลกาภิวัฒน์ที่โหมพัดโลกทั้งโลกอยู่ทุกวันนี้นั้นก็น่าจะหาแหล่งที่เกิดของมันได้ ว่ามาจากไหน เริ่มต้นมาตั้งแต่เมื่อไร 
                กระแสโลกาภิวัฒน์นั้นมีแหล่งที่มาซึ่งเกิดขึ้นเมื่อหลายพันปีแล้วเป็นคลื่นที่ก่อหวอดขึ้นในอารยธรรมของมนุษยชาติแล้วค่อย ๆ พัฒนาขึ้น  เปลี่ยนแปลงเป็นลำดับเรื่อยมา จากที่ไม่เจริญเลย มีชีวิตอยู่ในถ้ำ จนกระทั่งบัดนี้ มนุษย์อยู่บนตึกระฟ้า  ครั้นกะโน้นมนุษย์ยังต้องใช้ขวานที่ทำด้วยหิน แต่บัดนี้มนุษย์ใช้แสงที่จะหั่นที่จะตัด  ที่จะเฉือนอะไร ๆ ก็ได้  ที่เรียกกันว่าแสงเลเซอร์
                กระแสคลื่นที่พัดโหมโลกอยู่เป็นเวลานาน จนในที่สุดเราก็เข้าสู่ยุคของโลกาภิวัฒน์นั้น นักปราชญ์ผู้หนึ่งชื่อ อัลวิน ทอฟเลอร์  เขามีความรู้ประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง  จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตหลายพันปีนั้น  เขาสามารถสรุปออกมาให้เห็นได้ว่ามันพัฒนาขึ้นอย่างไร และเขาก็ได้ทำนายว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตด้วย  เขาเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นนักทำนายอนาคต
ในช่วงเวลาหลายพันปีก่อนสิ้นศตวรรษที่ 20 นั้น อัลวิน  ทอฟเลอร์  ชี้ให้เห็นว่า โลกได้พัฒนาขึ้นมิใช่เป็นขั้นเป็นตอน  แต่เป็นกระแสคลื่นที่เปลี่ยนแปลงอารยธรรมให้เคลื่อนคล้อยไปในทางทิศเดียวกันทั่วทั้งโลก  ท่านชี้ให้เห็นว่าในประวัติศาสตร์แห่งอารยธรรมของโลกนั้นมีอยู่สามกระแสคลื่นด้วยกัน  คือ 
 คลื่นลูกที่หนึ่ง   เป็นคลื่นเกษตรกรรม  ซึ่งเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่มีมนุษย์ในโลก  เพราะมนุษย์ดึกดำบรรพ์นั้นมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำเกษตร  คือปลูกพืชพันธ์ธัญญาหารเพื่อประทังชีวิต  คลื่นลูกนี้ได้ก่อตัวขึ้นเป็นที่ชัดเจนราว  8,500 ปีก่อน คริสตกาล
                คลื่นลูกที่สอง เป็นคลื่นอุตสาหกรรม  เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์รู้จักประดิษฐ์สิ่งของใช้สำหรับความจำเป็นของชีวิต มีความรู้ที่ส่ำสมกันต่อ ๆ มา   จนสามารถประดิษฐ์เครื่องจักรขึ้นใช้ได้  แล้วมนุษย์ก็สามารถที่จะผลิตสิ่งต่าง ๆ ขึ้นใช้สำหรับชีวิตประจำวันที่เป็นผลผลิตจากอุตสาหกรรม คลื่นลูกนี้ได้ก่อตัวขึ้นเป็นที่ชัดเจน เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี ค.. 1650 และเข้มข้นขึ้น  ในปี 1750  อุตสาหกรรมยังเป็นความสามารถของมนุษย์ที่เขาจะผลิตสินค้าขึ้นให้มีปริมาณมากมาย จนนำเอาไปขายกลายเป็นธุรกิจใหญ่โต  เกิดเงินทุนขึ้นมหาศาล  กลายเป็นการแข่งขันที่รุนแรง  เพื่อจะแย่งกันขายสินค้าของตน
                คลื่นลูกที่สาม  เป็นคลื่นเทคโนโลยี  จากความสามารถที่เขาได้จากความรู้ทางอุตสาหกรรมนั้นเอง  มนุษย์ได้ก้าวขึ้นอีกขั้น  คือสามารถที่จะสร้างสรรค์  สิ่งต่าง ๆ ขึ้นได้อย่างซับซ้อน  โดยอาศัยความรู้ทางวิทยาศาสตร์สาขาต่าง ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  สาขาอิเล็คทรอนิค  ที่ทำให้เขาสามารถสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้นใช้ได้  คลื่นลูกนี้ได้ก่อตัวขึ้นเป็นที่ชัดเจน  ในปี  ..  1955
                พระเอกของคลื่นลูกที่สามคือ เครื่องคอมพิวเตอร์ มันเป็นเครื่องมือมหัศจรรย์ที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น สามารถใช้ในงานต่าง ๆ ได้ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ในโลกนี้และอวกาศ มันทำให้โลกกลายเป็นโลกใบจิ๋ว  ทำให้ห้องสมุดขนาดใหญ่ที่อยู่อีกซีกโลกหนึ่งกลายเป็นห้องสมุดที่อยู่บนจอเล็ก ๆ  มันใช้สำหรับการคำนวนที่จะต้องใช้คนนับร้อยและเสียเวลามากกว่าหนึ่งเดือน ให้ได้ผลลัพธ์ออกมาภายในไม่กี่ชั่วโมง  มันเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมนุษย์  เพราะโดยคอมพิวเตอร์  มนุษย์สามารถจะส่งจดหมายถึงกันได้ภายในเสี้ยววินาทีเดียวที่เรียกว่า E-mail   มนุษย์สามารถสั่งซื้อสิ่งของต่าง ๆ จากอีกซีกโลกหนึ่งได้โดยนั่งอยู่ที่บ้านที่  เรียกว่า E-commerce  มนุษย์สามารถจะติดต่อกับหน่วยราชการได้เกือบทุกหน่วยที่  เรียกว่า E-Goverment แต่ในเวลาเดียวกันคอมพิวเตอร์ก็เป็นเครื่องมือที่มนุษย์ไม่สามารถที่จะยับยั้งความเหี้ยมโหดและศีลธรรมได้ จึงเกิดมี        อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ขึ้น  หนังสือโป๊ที่ถือว่าเป็นภาพลามกไม่เหมาะสมนั้น  อาจเปิดมาดูได้โดยไม่จำกัดและก็ยังสั่งซื้อได้ด้วย  หนุ่มสาวที่ติดต่อโต้ตอบทางคอมพิวเตอร์ จบลงด้วยการเสียเนื้อเสียตัวหรือแต่งงานกันได้โดยไม่ต้องใกล้ชิดกันมาก่อน  ดังนั้นคอมพิวเตอร์จึงมี   บทบาทสำคัญ ในกระแสโลกาภิวัฒน์ 
                ยุคสมัยของคอมพิวเตอร์นั้น  เรียกว่ายุคข้อมูลข่าวสารที่อาศัยหรือเกิดขึ้นโดยความรู้ทางเทคโนโลยี Information Technology หรือที่รู้จักกันว่า เป็นเทคโนโลยีสารสนเทศน์ ในกระแสนี้ ผู้ใดที่มีข้อมูลข่าวสาร หรือสามารถครอบครองสารสนเทศน์ได้มาก  ผู้นั้นก็คือผู้ที่มีอำนาจ
                นักปราชญ์ นักคิด และนักวิชาการ  ที่เข้าใจกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงของคลื่นลูกที่หนึ่ง ที่สอง และที่สาม  ต่างลงความเห็นว่าคลื่นลูกที่สี่กำลังจะตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้  เรียกว่าคลื่นแห่งความรู้และปัญญา  ความรู้นั้นก็คือ การที่มนุษย์สามารถจะตีความ แปลความ  ข้อมูลข่าวสารที่เขาได้จากคอมพิวเตอร์นั้นแล้วเห็นช่องทางที่จะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ อย่างชนิดที่ใช้สำหรับการแข่งขันอย่างรุนแรงกับผู้อื่นต่อไปในวงการต่าง ๆ และเมื่อได้ความรู้แล้วก็สามารถที่จะจัดเป็นกลุ่มเป็นพวกเป็นประเภท  เพื่อให้เห็นความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ของกันและกันระหว่างองค์ความรู้ที่จะช่วยให้เขาได้เห็นช่องทางที่จะสร้างนวตกรรมต่าง ๆ ได้ต่อไป
                เราได้เห็นแล้วว่าโลกของเรากำลังอยู่ในคลื่นลูกที่สี่ เช่นประเทศสิงคโปร์ ที่เป็นเพียงแท่งหินก้อนหนึ่งขนาดเล็กกว่ากรุงเทพฯไม่มีทรัพยากรธรรมชาติใด ๆ เลย  แต่ด้วยความรู้ที่เขาได้มาและจัดสรรให้เป็นองค์ความรู้  เขาจึงมองเห็นลู่ทางอื่น ๆ ที่เขาได้นำมาใช้ได้ในด้านต่าง ๆ สิงคโปร์จึงได้ชื่อหรือเป็นที่รู้จักกันอีกว่าเป็นเกาะแห่งปัญญา  มีผู้คนไปท่องเที่ยวมากมาย  ทั้ง ๆ ที่รู้กันดีว่าสิงคโปร์ไม่มีอะไร  สิงคโปร์กลายเป็นประเทศที่ร่ำรวยชาติหนึ่งของโลก  เพราะเขาได้ใช้คอมพิวเตอร์ให้เป็นประโยชน์  เศรษฐกิจของเขานั้นเป็นการแข่งขันระดับโลก 
                สิงคโปร์ได้เริ่มตื่นตัวในเรื่องคอมพิวเตอร์หรือ  ไอที  มาก่อนหน้านี้นานแล้ว  เขาได้วางแผนในการพัฒนาประเทศที่จะมุ่งเข้าสู่ไอทีและประกาศใช้เป็นแผนพัฒนาประเทศปี ค..  1981-1985   คอมพิวเตอร์เข้าไปอยู่ในทุกวงการและทุกบ้าน  แผนพัฒนาประเทศปี 1986-1990 ปรากฎว่าเป็นเหตุให้สิงคโปร์สามารถส่งออกสินค้าไอทีไปทั่วโลกและเป็นเครื่องใช้สำหรับทุกคนและทุกวงการ
                คอมพิวเตอร์หรือไอที เป็นเพียงข้อมูลข่าวสาร  แต่ไม่ใช่ความรู้  นอกจากจะมีความสามารถที่จะนำความรู้นั้นมาตีความหรือแปลความได้เท่านั้น   ต่อจากนั้นก็ต้องจัดให้เป็นประเภทที่จะนำไปใช้ได้  ถ้าข้อมูลข่าวสารที่มีอยู่ล้นโลกนั้นไม่มีความรู้ที่จะนำมาใช้ได้แล้วเราก็เรียกข้อมูลข่าวสารนั้นว่า  ข้อมูลขยะ  ซึ่งขณะนี้โลกกำลังสำลักข้อมูลข่าวสารกันอยู่ 
                ตัวเร่งที่ทำให้เกิดกระแสโลกาภิวัฒน์นั้นคือ  คอมพิวเตอร์  หรือ ไอที  เพียงแค่นี้ไม่ได้สร้างความเลวร้ายใด ๆ ให้กับโลก  แต่มนุษย์ได้ใช้เครื่องมือเหล่านี้ในกระแสโลกาภิวัฒน์ให้ไปในทางที่ไม่เหมาะสม  เกิดกิเลส  สามารถที่จะทำให้คุณค่าของความเป็นมนุษย์ตกต่ำได้  นี่คือสิ่งที่เราจะต้องระมัดระวัง   คือบรรดาผลร้ายที่เกิดขึ้นจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในบ้านของเรา  เด็ก ๆ อาจตกเป็นเหยื่อของคอมพิวเตอร์  และความสัมพันธ์ในครอบครัวอาจถูกทำลายลงได้
                เรื่องเหล่านี้ไม่มีอะไรที่จะขัดกับความเชื่อของคริสเตียนแท้จริงคริสเตียนควรจะเป็นผู้ที่ก้าวเข้าสู่คลื่นลูกที่สี่ คือ คลื่นแห่งความรู้และปัญญา  เพื่อจะมีความสามารถนำมาใช้ได้ในการงานส่วนตัว การเป็นพยาน  การประกาศ  และงาน     ส่งเสริมศีลธรรมจรรยาได้
                ความเชื่อของคริสเตียน เป็นความเชื่อที่ไร้พรมแดนมาแล้วตั้งแต่บน     ไม้กางเขนที่พระเยซูถูกตรึง บนไม้กางเขนนั้นมีข้อความประจานพระองค์อยู่ถึงสามภาษา  คือภาษาฮิบรู  ภาษากรีก  และภาษาลาติน  ซึ่งเป็นภาษาสำคัญของโลกในสมัยนั้น 
                พระกิตติคุณทั้งสี่เล่มจบลงด้วยคำสั่งของพระเยซู  ให้ออกไปทั่วทั้งโลก  ที่เรียกว่าWORLD MISSION ท่านเปาโลเองเป็นผู้หนึ่งที่เดินทางไปทั่วโลกในสมัยนั้น  และท่านก็ได้สอนถึงว่า  โดยพระเยซูคริสต์เราเป็นหนึ่งเดียวกัน  ไม่มีตะวันออก  ตะวันตก และทิศเหนือ ทิศใต้ “...เพราะเหตุว่าคนที่รับบัพติสมาเข้าร่วมในพระคริสต์แล้ว ก็จะสวมชีวิตพระคริสต์ จะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยพระเยซูคริสต์” (กาลาเทีย 3:27-28)  โดยความเชื่อนั้น  ท่านเปาโลว่า  “...ก่อนที่ความเชื่อมานั้น  เราถูกธรรมบัญญัติกักตัวไว้  ถูกกั้นเขตไว้จนความเชื่อจะปรากฏ  เพราะฉะนั้น  ธรรมบัญญัติจึงควบคุมเราไว้จนพระคริสต์เสด็จ  เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ  แต่บัดนี้ความเชื่อนั้นได้มาแล้ว เราจึงมิได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว” (กาลาเทีย  3:23-25)
                โลกาภิวัฒน์  เป็นกระแสที่สร้างสรรค์โลก  ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งโลก  แต่ในเวลาเดียวกัน  เราก็ต้องคอยเฝ้าดูผลร้ายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมา  เช่น  การเอารัดเอาเปรียบกันทางเศรษฐกิจ  โลกที่มีอำนาจมีพลังก็จะมีโอกาสเอาเปรียบส่วนของโลกที่ยังตามไม่ทันได้  กลายเป็นโลกของปลาใหญ่กินปลาเล็ก  และโลกของคนที่มีกำลังมีความสามารถเท่านั้นจะอยู่ได้  ส่วนคนอ่อนแอก็จะต้องตายไป  โลกได้กลายเป็นที่แข่งขันกันในทุกด้าน  โดยอ้างว่า  โลกหรือประเทศนั้น ๆ ต้องเปิดเสรี  เป็นโลกที่ขึ้นอยู่กับอำนาจของทุนนิยมเสรี   เป็นโลกที่วัตถุกลายเป็นพระเจ้า
                โลกาภิวัฒน์  คอมพิวเตอร์  เทคโนโลยี  สารสนเทศน์  สิ่งเหล่านี้ไม่มีพิษมีภัยในตัวมันเอง    แต่มันมีคุณประโยชน์มหาศาลถ้าเรารู้จักใช้มัน  และรู้จักที่จะควบคุมมันให้มันเป็นผู้รับใช้เรา  สิ่งเหล่านี้อาจกลายเป็น  การทดลอง  ที่ทำให้มนุษย์ตกลงไปเป็นเหยื่อได้ง่ายดาย  แต่การทดลองนั้นไม่ใช่ความบาป  การที่ตกลงไปในการทดลองต่างหากคือความบาป











6.  โจ๋ไม่ ชอบรุนแรง

                เด็กชายพนัสกลับมาจากโรงเรียน หลังจากที่ได้ฉลองคริสตมาสไปแล้ว   ที่โต๊ะอาหารเย็นวันนั้น  ทุกคนในครอบครัวยิ้มแย้มแจ่มใสสนุกสนาน  แต่เด็กชายพนัสนั่งเงียบและซึมเศร้า  พ่อสังเกตเห็น ก็สงสัยว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเขาที่ โรงเรียน  จึงถามไปว่า  ลูก  มีอะไรเกิดขึ้นที่โรงเรียนหรือ?”
                  ครูตีผมด้วยไม้เรียว  เด็กชายพนัสตอบด้วยเสียงแผ่วเบาและสั่นเครือ  ครูตีเจ็บหรือ  พ่อถาม 
                เด็กชายพนัส เงยหน้าขึ้นตอบพ่อว่า ไม่เจ็บครับ  แต่ครูไม่ได้ฟังเหตุผลเสียก่อน  ผมจึงเจ็บที่ใจ  และเสียใจว่า  คุณพ่อไม่เคยตีผม  ทำไมคนอื่นต้องมา     ตีผม
                เรื่องครูตีเด็ก  จะจัดเข้ากับเรื่องของความรุนแรงได้หรือไม่  นี่เป็นคำถามที่เรามักจะได้ยินเสมอ  ในประเทศที่เจริญแล้ว  เช่นสหรัฐอเมริกา   การตีเด็กจะเป็นครูหรือพ่อ แม่ ก็ตาม  ถือว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย สามารถแจ้งให้ตำรวจจับได้  ในประเทศไทยของเรา   เรื่องการที่ครูตีเด็กถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เป็นการกระทำที่ควรหลีกเลี่ยง  นี่คือบรรทัดฐานที่ยึดถือกันในปัจจุบัน  ด้วยเหตุผลสำคัญว่า  การตีเด็กนั้นเป็นการทำร้ายจิตใจเด็ก  แม้จะได้ผลแต่ระยะแรก ๆ ที่เราเชื่อว่าเป็นการสร้างวินัยให้กับเด็กก็ตาม  แต่ผลร้ายที่ตามมานั้นมีมากมายหลายประการ
                ดังกรณีของเด็กชายพนัสนั้น  เขาบอกพ่อของเขาว่า  เขาไม่เจ็บที่ก้น  แต่เขาเจ็บที่ใจ ซึ่งเป็นความจริงทางจิตวิทยาว่าการที่เขาถูกตีครั้งนั้นได้สร้างบาดแผลที่อยู่ในใจของเขาไปอีกนานหรืออาจจะตลอดชีวิตก็ได้
                เด็กชายพนัสรู้สึกว่า  เขาได้เสียความภาคภูมิใจในตัวเขาไป  เพราะพ่อไม่เคยตีเขาเลย  โดยที่เขาได้ทำตัวเป็นคนดีเมื่ออยู่ที่บ้าน  แต่ทำไม ใครที่ไหน จึงมาตีก้นเขา  ซึ่งเป็นการทำลายความตั้งใจดีที่เขาเคยพยายามจะทำมาตลอด  เป็นการทำลายเกียรติและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
                เด็กชายพนัส  เสียใจเพราะครูไม่ฟังเหตุผล  การตีเด็กเป็นความรุนแรงอย่างหนึ่ง  ถ้าการตีนั้นไม่ได้ออกมาจากความรักและความพยายามที่จะใช้ไม้เรียว    เพื่อการอบรมสั่งสอนแก้ไขนิสัยที่ผิดของเด็ก  การที่ตีเด็กโดยใช้อารมณ์นั้น  ซึ่งอาจเป็นการกระทำของครูหรือพ่อแม่ก็ตาม  ย่อมไม่เกิดผลดี  ในกรณีของเด็กชายพนัสนี้  เขาเสียใจเพราะ ครูไม่ได้ให้ความยุติธรรมแก่เขา  ซึ่งก็คงจะเป็นเพราะครูได้ใช้อารมณ์ลงโทษเขา
                สิ่งที่เลวร้ายที่อาจตามมาก็คือ   เด็กชายพนัสหรือผู้ใดก็ตามที่ถูกกระทำโดยความรุนแรง  จะกลายเป็นสำนึกฝังแน่นในจิตใจของเขา  แล้วกระทำเช่นเดียวกันนั้นกับผู้อื่นต่อไปซึ่งอาจเป็นลูกของนายพนัสวันหนึ่งหรือภรรยาของเขา  หรือคนในสำนักงานเดียวกันก็ได้
                ความรุนแรงเป็นเรื่องที่มีอยู่ในทุกระดับ นับตั้งแต่พี่น้องที่คลานตามกันมา  ระหว่างคู่รัก ดังเช่นนักศึกษาแพทย์ผู้หนึ่ง มีปากเสียงกับแฟนของตัวถึงกับฆ่าแฟนสาวแล้วหั่นศพเป็นชิ้น ๆ  ความรุนแรงมีอยู่ในสังคมดังที่เราได้ยินเสมอถึงเรื่องเพื่อนฆ่าเพื่อน เพื่อล้างแค้นที่ถูกหักหลัง  ความรุนแรงในระหว่างชาติต่อชาติ  ดังที่ครั้งหนึ่งประเทศมหาอำนาจในสมัยอาณานิคม บุกไปยึดประเทศที่อ่อนแอ กว่าไว้เป็นเมืองขึ้น เราปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องของความรุนแรงนั้นมีปรากฏอยู่ในทุกศาสนา  พันธสัญญาเดิมมีเรื่องความรุนแรงอยู่มากมาย  พันธสัญญาใหม่มีเรื่องของคริสเตียนหรือผู้ที่อยู่ฝ่ายพระเยซูคริสต์จะถูกการกดขี่ข่มเหงด้วยความรุนแรง   สงครามครูเสด (Crusades)  เป็นเรื่องของศาสนจักรโรมัน ยกไปรบกับพวกมุสลิม  ระหว่างศตวรรษที่ 11 12 13  เพียงเพื่อต้องการจะไปยึดกรุงเยรูซาเล็มคืน  เป็นเหตุการณ์ที่ชีวิตมนุษย์ต้องสูญเสียไปมากมาย  สงคราม  30 ปี  ซึ่งเป็นสงครามอันยาวนานในยุโรปสู้รบกันระหว่างคาทอลิคกับโปรเตสแตนท์  ระหว่างปี  .. 1618-1648 และแม้แต่ในปัจจุบัน คาทอลิคกับโปรเตสแตนท์ก็ยังรบกันอยู่ในไอร์แลนด์เป็นต้น
                การใช้ความรุนแรงที่ดูจะเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อสร้างสันติภาพให้เกิดขึ้นก็มี  ดังเช่นการที่อิรัคยึดครองประเทศคูเวตแบบสายฟ้าแลบ  จนกระทั่งอเมริกันเข้ามา  แก้ไขเหตุการณ์ โดยบีบบังคับให้อิรัคยอมปล่อยให้คูเวตเป็นอิสระอีกครั้งหนึ่ง  และเช่นเดียวกันกับความรุนแรงที่โคโซโว  ชีวิตมนุษย์ได้ล้มตายไปมากมาย  กองกำลังนาโตจึงเข้ามาแก้ไขเหตุการณ์ให้สงบลง ในทั้งสองกรณีนั้นเป็นการใช้ความรุนแรงด้วยยุทโธปกรณ์   เป็นการทำสงคราม
                ความรุนแรงดูจะเป็นความจำเป็นสำหรับการลงโทษอาชญากร ด้วยการ    จำคุกหรือประหารชีวิต เพื่อจะให้สาสมกับความผิดที่ผู้นั้นได้กระทำ และมีจุด       มุ่งหมายที่จะให้ผู้ที่กระทำผิดนั้นสำนึกแล้วจะได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมชีวิตของตนเสียใหม่  พันธสัญญาเดิมก็สนับสนุนในเรื่องนี้ดังที่ปรากฏในสุภาษิต 13:24 “บุคคลที่สงวนไม้เรียวก็เกลียดบุตรชายของตน  แต่ผู้ที่รักเขาพยายามตีสอนเขา 
                ความรุนแรงส่วนใหญ่เป็นการกระทำที่ออกมาจากความแค้น  ความอิจฉาริษยา ความโลภ และเป็นการแสวงหาอำนาจที่ต้องการจะมีอยู่เหนือผู้อื่น ความ       รุนแรงเป็นการสร้างความบาดหมางให้เกิดขึ้นกับทั้งสองฝ่ายอย่างไม่สุดสิ้น เป็นการวางแบบอย่างที่ไม่ดีสำหรับผู้เยาว์หรือลูก ๆ   ดังเช่น กรณีที่พ่อแม่ขัดเคืองกันหรือ ขัดแย้งกัน เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ก็ใช้กำลังต่อกัน  พ่อใช้กำลังทุบตีแม่ต่อหน้าลูกๆ การกระทำเช่นนั้น เป็นการสร้างบาดแผลในจิตใจของเด็กซึ่งจะมีผลร้ายตามมาและอาจเป็นวิธีการที่ลูกๆ นำไปใช้ต่อเมื่อเขามีครอบครัว โดยเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง  เพราะเขาได้เห็นจากพ่อของเขา 
                ความรุนแรงมักจะเกิดขึ้นอยู่ทุกวี่ทุกวัน ดังที่เราเห็นพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ  เพราะเป็นเรื่องราวที่นำความตื่นเต้นมาสู่ผู้อ่าน  หนังสือพิมพ์เองก็ต้องการขายได้จำนวนมาก ๆ จึงสรรหาเรื่องที่รุนแรงพิลึกพิลั่นมาลงไว้พร้อมกับรูปที่อุจาดตา  ดังนั้นในจิตใจของคนไทยทั่ว ๆ ไป  ก็นิยมชมชอบเรื่องของความรุนแรง  ชอบกีฬาชกมวย  พอใจที่ได้เห็นฝ่ายหนึ่งถูกน๊อคเลือดโซม  คนไทยดูจะเป็นคนเมตตาปราณี  แต่ก็นำสัตว์มาสู้กันโดยวิธีรุนแรง  เช่นชนวัว  ชนไก่     ชนกว่าง  เอาเต่ามาแข่งกันโดยใช้ไฟสุมบนหลังเต่าเป็นต้น   พฤติกรรมเหล่านี้มันขัดกับประโยคที่ว่ายิ้มสยามหรือคนไทยใจดี  จึงยากที่จะเข้าใจว่าจิตใจของคนในปัจจุบันนี้เป็นเช่นไร  เรายังสนับสนุนส่งเสริมให้นักมวยต่อสู้กันและกันเพื่อ     ชิงแชมป์  ในขณะที่หลายประเทศในยุโรปถือว่ากีฬาชกมวยเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย  เพราะทั้งสองฝ่ายต่างใช้ความรุนแรงไม่ต่างอะไรกับการต่อสู้ของสิงห์สาราสัตว์
                มีพวกคริสเตียนบางพวกที่จะยืนหยัดไม่ยอมร่วมกับสิ่งใดหรือวิธีใดที่ใช้ความรุนแรง  เช่นพวกแมนโนไนท์  และพวกเควกเกอร์   พวกนี้เป็นพวกที่นิยมสันติหรือแปซิฟิก Pacific  พวกเขาจะไม่ยอมเป็นทหาร  แต่ยินดีที่จะทำงานอื่น ๆ ที่เป็นการรับใช้สังคมแทน  มีบางคนที่ไม่ยอมรับเงินเดือนสูง  เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษี  เพราะภาษีเป็นการทำให้รัฐบาลมีรายได้จากเขาไปซื้ออาวุธหรือทำสงคราม 
                มาตรฐานหรือแบบอย่างของการกระทำที่ไม่เป็นการรุนแรงนั้น มีปรากฏชัดในพันธสัญญาใหม่ที่เราจะยึดถือเป็นบรรทัดฐานสำหรับปฏิบัติ เพื่อหลีกเลี่ยงความรุนแรง  พระเยซูคริสต์ไม่เคยใช้ความรุนแรง  เมื่อพระองค์ทำพันธกิจของพระองค์ในโลก  พระองค์ยอมตายบนไม้กางเขนและได้เคยสั่งสอนเรื่องนี้ ไม่ให้ตอบแทนหรือไม่กระทำรุนแรงไว้มากมาย  ดังเช่น
 ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า  ตาแทนตา และฟันแทนฟัน  ฝ่ายเราบอกท่านว่า  อย่าต่อสู้คนชั่ว  ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน  ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย  ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาลเพื่อจะปรับเอาเสื้อของท่านไป  ก็จงให้เสื้อคลุมแก่เขาด้วย  ถ้าผู้ใดจะเกนท่านให้เดินทางไปหนึ่งกิโลเมตรก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร  ถ้าเขาจะขอสิ่งใดจากท่านก็จงให้ อย่าเมินหน้าจากผู้ที่อยากขอยืมจากท่าน   
 ( มัทธิว 5 : 38 – 42 )
พระธรรมตอนนี้เป็นบรรทัดฐานใหม่ที่พระเยซูได้ให้แก่โลก  ซึ่งแตกต่างกับมาตรฐานของพันธสัญญาเดิมและมาตรฐานทั่ว ๆ ไปของโลก  เราถือว่า     พระเยซูคริสต์เป็นผู้ที่มีสิทธิอำนาจสูงสุด  ในความเชื่อของเรา  เพราะโดยทางพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่พระเจ้าทรงสำแดงน้ำพระทัยสูงสุดของพระองค์ที่มีต่อเรา   นอกจากนั้นพระธรรมตอนนี้ยังเป็นสิ่งที่ดลใจท่าน มหาตมะ  คานธี  ที่ให้ท่านสามารถเอาชนะอำนาจอาณานิคมอันยิ่งใหญ่ของอังกฤษได้ โดยวิธีของอหิงสธรรม  มหาตมะ คานธี  มีพระคริสตธรรมคัมภีร์อยู่ใกล้ตัวและที่ท่านชอบจนจำได้ขึ้นใจก็คือ  คำเทศนาบนภูเขาของพระเยซูคริสต์
เหตุการณ์เลวร้ายในเรื่องความรุนแรงนั้น  ได้เกิดขึ้นกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าเอง  ในคืนที่พระองค์ออกไปอธิษฐานที่สวนเกทเสมนี  ยูดาสได้นำกองกำลังมาจับพระองค์  มีบันทึกไว้ว่า
ขณะนั้น ยูดาส จึงมาหาพระเยซู  ทูลว่า  สวัสดีพระอาจารย์  แล้วจูบคำนับพระองค์  พระเยซูได้ตรัสกับเขาว่า  สหายเอ๋ย มาที่นี่ทำไม  คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระเยซูและคุมไป      ขณะนั้นมีคนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซู  (คือเปโตร) ยื่นมือชักดาบออกฟันหูทาสคนหนึ่งของมหาปุโรหิตประจำการขาด  พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า จงเอาดาบของท่านใส่ฝักเสีย  ด้วยว่าบรรดาผู้ถือดาบจะต้องพินาศเพราะดาบ  (มัทธิว  26:49-52)
                ท่านเปาโล ได้แสดงถึงความจงรักภักดีต่อธรรมบัญญัติ  โดยถือว่าได้กระทำเพื่อปกป้องคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งจะต้องเป็นที่พอพระทัยพระเจ้าด้วยการข่มเหงและฆ่าผู้ที่ติดตามพระเยซู  แต่เมื่อท่านได้พบกับองค์พระเยซูคริสต์เจ้าบนถนนที่ไปเมืองดามัสกัสชีวิตของท่านก็เปลี่ยนไป จากการใช้วิธีรุนแรงกลายเป็นวิธีที่สร้างสันติ  ท่านเองต้องทนทุกข์ทรมานมากมายจากการกระทำของผู้มีอำนาจ  เป็นการบังคับขู่เข็นต่าง ๆ นานา   ท่านได้สอนพวกคริสเตียนในสมัยนั้นให้หลีกเลี่ยงจากการตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง ดังเช่น
จงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงให้พรอย่าแช่งด่าเลย    จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องให้กับผู้ที่ร้องให้ จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  อย่าใฝ่สูงแต่จงถ่อมใจลง  ยอมทำการต่ำ  อย่าถือว่าตัวฉลาด  อย่าทำชั่วตอบแทนชั่วแก่ผู้หนึ่งผู้ใดเลย  แต่จงมุ่งกระทำสิ่งที่ใคร ๆ ก็เห็นว่าดี  (โรม.  12:14-17)














7.  โจ๋อยู่ในภาวะสงคราม


                สงครามโลกผ่านไปแล้วสองครั้ง สงครามเย็นก็สิ้นสุดลงแล้ว แต่สงครามที่จะยังไม่ยุติ คือ สงครามจิตวิญญาณ  เป็นการต่อสู้กันระหว่างความสว่างกับความมืด ความดีกับความชั่ว สงครามจิตวิญญาณเป็นสงครามที่มนุษย์จะต้องเลือกต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ฝ่ายใด  คือฝ่ายพระเจ้าหรือฝ่ายพญามาร
                เราทั้งหลายอยู่ในภาวะสงครามจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเป็นวัยโจ๋หรือว่าวัยอื่น ๆ ก็ตาม เป็นสงครามที่จะไม่ยุติลงจนกว่าพระเจ้าจะเสด็จมา  ท่านเปาโลได้กล่าวถึงเรื่องสงครามนี้ว่า  เราต่อสู้มิใช่กับอำนาจหรือระบบต่างๆ ของโลกเท่านั้น แต่เราต่อสู้กับอำนาจของพญามารที่อยู่เหนือกว่าอำนาจใด ๆ ในโลก และพญามารก็มียุทธวิธีอย่างแยบยลที่จะใช้อำนาจหรือสิ่งต่าง ๆ ในโลกที่มนุษย์มีอยู่นั้นเป็นการทำลายมนุษย์และโลก  ท่านได้ให้ทางออกไว้อย่างดีที่เราทั้งหลายจะยึดถือได้ สำหรับเป็นแนวทางปฏิบัติในการดำเนินชีวิตของเรา  เพื่อเราจะไม่ต้องตกไปเป็นเหยื่อของมหาสงครามนี้ ดังที่ท่านได้เขียนไว้ในจดหมายที่ส่งไปยังชาวเอเฟซัส ว่า  
สงครามจิตวิญญาณ
สุดท้ายนี้ข้าพเจ้าขอเตือนความทรงจำของท่านทั้งหลายว่า
จงเสริมสร้างพละกำลังของท่านให้เข้มแข็ง
โดยอาศัยฤทธิ์อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงสวมยุทธภัณฑ์ของพระเจ้า
เพื่อจะสามารถยืนหยัดต่อสู้ยุทธวิธีและกลอุบาย
ของพญามารได้อย่างปลอดภัย
ทั้งนี้เพราะเรามิได้สู้รบกับมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยเนื้อเลือดด้วยกันเอง
หากแต่สู้รบกับผู้มีบรรดาศักดิ์  ผู้มีอำนาจกับวิญญาณชั่ว
และเจ้าแห่งความมืดทั้งหลายในอวกาศที่ครอบครองโลกนี้อยู่
ฉะนั้น  จงสวมอาวุธยุทธภัณฑ์ทุกอย่างของพระเจ้า
เพื่อเข้าต่อสู้เมื่อถูกหมู่มารจู่โจม
แล้วท่านจะยืนหยัดได้อย่างมั่นคงไม่พ่ายแพ้
จงเตรียมตัวของท่านไว้ให้มั่นดังนี้ เอาสัจธรรมต่างเข็มขัดคาดเอวไว้ 
เอาความบริสุทธิ์ยุติธรรมเป็นเกราะป้องกันอก
ยึดมั่นบนรากฐานแห่งข่าวประเสริฐว่าด้วยความร่มเย็นเป็นสุข
ของเจ้าต่างรองเท้า  เอาความศรัทธาต่างโล่ป้องกันศรเพลิงของพญามาร
เอาความรอดต่างหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ
และใช้ดาบที่พระวิญญาณพระราชทานให้
คือ  พระธรรมคำสั่งสอนของพระเจ้าไว้ฟาดฟันศัตรู
จงอธิษฐานอยู่เสมออย่าได้ขาด  ทูลขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า
ตามที่พระวิญญาณทรงแนะนำ 
(เอเฟซัส 6: 10-18  จากพระคริสตธรรมคัมภีร์ ฉบับอมตธรรมเพื่อชีวิต)

                พระธรรมตอนนี้เหมาะสมสำหรับการดำเนินชีวิตในโลกปัจจุบันอย่างยิ่ง  ตอนแรกท่านเปาโลได้บรรยายให้เราเห็นสภาพของโลกที่เราอยู่ว่า มีอำนาจอะไรบ้าง  ตอนที่สองเป็นข้อแนะนำในการปฏิบัติตน เพื่อเราจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในภาวะที่อยู่ใต้อำนาจเหล่านั้น  โดยท่านได้ใช้ภาพพจน์ของการทำสงครามของพวกโรมัน  เราทุกคนเป็นเหมือนนักรบที่เข้าสู่สนามรบ  เราจึงต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดเช่นเดียวกับทหารโรมันที่มีเครื่องแต่งตัวสำหรับป้องกันตัวเอง  เพื่อจะสู้รบกับศัตรูได้
                พระธรรมตอนนี้  ช่วยให้เราเข้าใจตัวเราเองได้ว่าเราจะชนะพญามารได้อย่างไร
                ชัยชนะในสงครามนั้น จะเป็นของเราได้เมื่อเราสามารถที่จะจับได้ว่าใครเป็นศัตรูของเรา  เพื่อเราจะได้ต่อต้านการจู่โจมของศัตรูได้  เมื่อรู้แล้วว่าใครเป็นศัตรู  ต่อจากนั้นก็เริ่มต้นหันหน้าสู้  สหรัฐอเมริกาผ่านสงครามมาหลายครั้ง  แล้วก็เป็นผู้ชนะไปทุกครั้ง  มีเพียงครั้งเดียวที่ประวัติศาสตร์โลกต้องจารึกไว้ว่าอเมริกันแพ้สงครามเวียตนาม   เพราะถึงแม้อเมริกันจะมียุทโธปกรณ์มากมายที่ทันสมัยและที่จะทำอะไรก็ได้ตามต้องการ  แต่อเมริกันกลับเป็นฝ่ายที่ต้องผิดหวังที่สุด  เพราะสภาพพื้นที่ซึ่งเป็นเนินเขา  ปกคลุมด้วยป่าไม้หนาทึบ  จึงยากยิ่งที่จะจับได้ว่าศัตรูอยู่ที่ไหน  พวกเวียตนามใช้ยุทธวิธีของจรยุทธ์  ซึ่งเป็นสงครามนอกแบบเป็นการยากยิ่งที่อเมริกันจะสู้ได้   ในเวลากลางวันชาวเวียตนามทำนาทำไร่อยู่ในทุ่งในสวนของตนอย่างสงบสันติใกล้ ๆ กับที่ตั้งของทหารอเมริกัน  แต่พอถึงเวลาค่ำคืนพวกเขาสวมชุดพรางกลายเป็นทหารเวียดกง  แล้วก็บุกค่ายทหารอเมริกันที่พวกเขาอยู่ใกล้ ๆ นั่นเอง  โดยไม่มีร่องรอยที่บอกได้ว่าพวกเขามาจากไหน  ทหารอเมริกันล้มตายมากมายในแนวรบ  คนอเมริกันที่อยู่แนวหลังต้อง  สูญเสียลูกหลานพี่น้องของตนไป  จึงเป็นเหตุให้เกิดมติมหาชนต่อต้านสงครามนั้น  ส่วนพวกทหารที่อยู่ในสนามรบก็เสียขวัญ
                สงครามจิตวิญญาณก็เช่นเดียวกัน พญามารได้ใช้วิธีการที่แยบยลหลอก ลวงมนุษย์โดยทำตัวเองให้ปรากฏเป็นเทวทูตแห่งความสว่าง (2 โครินธ์ 11:14) มารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงโตคำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้          (1 เปโตร 5:8)  เพราะคนอย่างนั้นเป็นอัครทูตเทียม เป็นคนงานที่หลอกลวงปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระคริสต์ การกระทำเช่นนั้นไม่ประหลาดเลย  (2 โครินธ์  11:13-15)  จะต้องใช้สติปัญญาและความรอบคอบที่จะจ้องจับตัวข้าศึกเหล่านี้ให้ได้ แล้วเราจะได้ป้องกันตัวเองจากการจู่โจม
                ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้ป้องกันตัวเองไว้  ก็เพราะพวกเขาประเมินผิดไปถึงอำนาจลึกลับเหล่านั้นและก็ยังปฏิเสธถึงสงครามจิตวิญญาณที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ด้วย  เรื่องพญามารนั้นเป็นเรื่องหนังหลอกเด็กและถือว่าเป็นเรื่องงมงาย แม้แต่        คริสเตียนจำนวนมากก็พลอยเป็นไปด้วยจึงทำให้เขาต้องเป็นผู้พ่ายแพ้ในสงคราม 
                เอเฟซัส  6:10-18  ตัวเราไม่รู้ว่าสงครามจิตวิญญาณนั้นเป็นเรื่องจริง   พระเจ้าได้ทรงประทานสรรพาวุธทุกชนิดที่เราต้องการ  ไม่เพียงแต่เพื่อจะป้องกันตัวเองเท่านั้น  แต่เพื่อเราจะเป็นฝ่ายที่จะทำการต่อสู้เอาชนะเหนือพลังแห่งความมืดได้ด้วย
การเตรียมที่พักพร้อมเท่านั้นที่จะชนะได้
                สงครามอ่าวเปอร์เชีย  สงครามโคโซโว  สงครามอัฟกานิสถาน  เป็นสงครามที่อเมริกันต่อสู้โดยใช้อาวุธที่ร้ายแรง  ซับซ้อน  บังคับโดยคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีทางอิเล็คทรอนิค ซึ่งไม่เคยมีมาก่อนเลยในการสู้รบของมนุษยชาติ  เครื่องมือไฮเทคก็ใหม่ ทหารก็ใหม่แต่ชัยชนะเกิดขึ้นได้ก็เพราะความพรักพร้อมเพื่อพร้อมรบ   ส่วนแม่ทัพนั้นก็รู้ตัวดีว่า ถ้าท่านมิได้ตระเตรียมให้ดีแล้วก็หมายถึงความพ่ายแพ้  ท่านจึงต้องทำทุกอย่างที่จะให้กองทัพ คือทั้งทหารและยุทโธปกรณ์พร้อมที่จะทำสงครามเพื่อชัยชนะ 
                เช่นเดียวกันในการทำสงครามจิตวิญญาณนั้น จะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับการเตรียมพร้อมของตัวท่าน ท่านจะต้อง เข้มแข็งในพระเจ้า  จงเสริมสร้าง   พละกำลังของท่านให้เข้มแข็ง โดยอาศัยฤทธิ์อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า  ต้องจำไว้เสมอว่า ในสงครามจิตวิญญาณนั้นท่านจะชนะลำพังด้วยตัวท่านเองไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเลือดและเนื้อหรือมนุษย์เท่านั้น แต่เราต่อสู้กับอำนาจของพญามาร  ดังนั้นเราจึงต้องอาศัยพึ่งพาในองค์พระผู้เป็นเจ้า  เราจึงจะชนะได้  และตัวท่านเองก็จะต้องสวมเครื่องยุทธภัณฑ์ที่ครบชุด  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะเป็นพละกำลังของท่าน แต่ตัวท่านเองก็จะต้องทำตัวให้พร้อม โดยอาศัยพลังอำนาจแห่งจิตวิญญาณ มุ่งมั่นที่จะเอาชัยชนะให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยจนกระทั่งสงครามเกิดขึ้น ถ้าท่านไม่ได้สวมยุทธภัณฑ์ไว้ก็มีหวังว่าลูกศรของศัตรูนั้นจะพุ่งมาปลิดชีวิตท่านได้ ถ้าท่านขาดการอธิษฐาน  การนมัสการ  การศึกษาพระคัมภีร์ อันเป็นวินัยของความเชื่อศรัทธา  ท่านก็มิอาจที่จะหวังได้ว่าจะเป็นผู้ชนะเมื่อเผชิญกับ    คู่ต่อสู้  ไม่มีทหารคนใดที่รู้ว่าชีวิตของตัวนั้นสำคัญและมีค่า  จะเข้าสู่สนามรบโดยไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม 
                จงเตรียมตัวให้พร้อม  สวมยุทธภัณฑ์ไว้ให้ครบชุดเพื่อพร้อมอยู่เสมอที่จะเผชิญกับศัตรู













8.  โจ๋ถามว่า เปลี่ยนแปลงคนทำได้อย่างไร

                มีคนที่ติดเหล้า เมาได้ทั้งวัน แม้จะลดละแล้วก็ยังไม่เลิก บางคนมองโลกเป็นลบ จะคิด จะคบค้าใครก็ให้ระแวงสงสัย โลกนี้มืดมนไปหมด บางคนเป็นทาสของวัตถุนิยม พระเจ้าของเขาก็คือวัตถุ เป็นรูปเคารพประจำใจของเขาที่จะต้องปรนนิบัติ บูชา ตั้งแต่ตื่นจนหลับไปอีก
                คำถามที่ครูบาอาจารย์และพ่อแม่ต้องพูดบ่อยๆ เมื่อมองดูลูกหลานหรือลูกศิษย์ประพฤติผิดเป็นอาจิณก็คือ ไม่รู้จักเปลี่ยนแปลง แล้วก็ต้องครุ่นคิดต่อไปอีกว่าคนพวกนี้จะเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร จะมีวิธีไหนที่จะเปลี่ยนแปลงเขาได้เพื่ออนาคตของเขาเอง
                ในพระคริสตธรรมคัมภีร์ โดยเฉพาะในภาคพันธสัญญาใหม่ ก็มีเรื่องราวเดียวกันนี้ปรากฏอยู่หลายแห่ง พระเยซูเป็นผู้ที่ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตคน ในขณะที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจของพระองค์ในโลก และอิทธิพลนั้นก็ยังปรากฏอยู่หลังจากที่พระองค์เสด็จกลับสู่สวรรค์แล้ว และก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดประวัติศาสตร์ แม้กระทั่งทุกวันนี้
                วิธีของพระองค์นั้น ไม่ใช่วิธีให้  ลด ละ เลิก แต่ต้อง เปลี่ยนแปลงทิศทางการดำเนินชีวิตอย่างฉับพลัน   หรือพูดอย่างผู้ที่ติดเหล้าติดยาว่า ต้องโดยวิธีหักดิบ เท่านั้น
                พระวจนะของพระองค์ที่ตรัสกับนิโครเดมัสว่า ท่านต้องบังเกิดใหม่เป็นกุญแจดอกสำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิต คือจะต้องเกิดใหม่เลยทีเดียว คำอุปมาของพระองค์เรื่องบุตรน้อยเสเพลที่ใช้ชีวิตเหลวแหลกจนสุดสุดแล้ว เขาก็ยังไม่หมดมานะ ดื้อดั้นต่อไปจนถึงกับต้องไปเป็นลูกจ้างเลี้ยงหมูเพื่อจะมีชีวิตอยู่ได้ เขานั่งมองดูหมูกินข้าวแล้วเขาก็อิจฉาหมู เมื่อชีวิตสุดสายป่านแล้วเขาจึงรู้สึกตัว มีความอ่อนน้อมถ่อมตนพอที่จะลุกขึ้น หันหลังให้กับทุกสิ่งทุกอย่างแล้วกลับบ้าน เพื่อขอสิทธิที่จะเป็นคนใช้ของพ่อเท่านั้น นี่คือเรื่องของการกลับใจใหม่ ที่เรามักนิยมพูดเป็นภาษาอังกฤษว่า CONVERSION  คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เป็นการหันหลังให้กับอดีต ไปสู่อนาคตใหม่ ท่านเปาโลผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในพระคัมภีร์ก็มีประสบการณ์เช่นนั้น เขาได้เปลี่ยนชีวิตจากเซาโลผู้ตามฆ่าอย่างฉับพลัน กลายเป็นเปาโลผู้ยอมรับใช้พระเยซูคริสต์ ท่านเองได้ออกสั่งสอนว่าคริสเตียนคือผู้ที่บังเกิดใหม่
                อย่าคิดว่าเราจะเปลี่ยนชีวิตจากคนเดิมเป็นคนใหม่ได้ด้วยความสามารถของตนเอง แต่พระกิตติคุณที่มีฤทธิ์อำนาจสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้เท่านั้นที่เราจะต้องศึกษาค้นคว้าหาวิธีการที่จะนำมาใช้กับตัวเรา เพราะโดยมาตรฐานของพระกิตติคุณ จะช่วยให้เรารู้ตัวว่าเราเป็นคนบาป ผิดพลาดอะไรบ้าง    และโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่จะช่วยเราได้ ถ้าเราทูลขอ

คำถามให้คิด


1.             ท่านคิดว่าจะเกิดความเสียหายอย่างไร ถ้าหากคริสตจักรของเรามองข้ามหรือไม่เอาใจใส่ในการทำพันธกิจกับคนหนุ่ม-สาวในยุคปัจจุบัน

2.             ท่านคิดว่าที่คริสตจักรจะเริ่มต้นทำพันธกิจกับคนหนุ่ม-สาว ในสถาบันการศึกษา อย่างไร จึงจะเหมาะสมกับยุคสมัยปัจจุบันนี้

3.             ท่านเห็นว่า คนหนุ่ม-สาว ในปัจจุบันอยู่ในวิกฤติทางศีลธรรมและ    จริยธรรมอย่างไร ที่มีผลกระทบกระเทือนต่อความเชื่อศรัทธาของเขา




















No comments:

Post a Comment